บทที่ 1292 สองปี
ดวงดาราแปลกหน้า ท้องนภาไม่คุ้นเคย มหาทวีปแปลกใหม่ โลกแปลกตา บนท้องฟ้า แสงอาทิตย์ทั้งเก้าสายสาดส่องหมื่นจั้ง
แต่มหาทวีปนี้กลับไม่ได้ร้อนระอุเพราะดวงอาทิตย์ทั้งเก้าเลย หนึ่งปีมีสี่ฤดู แบ่งแยกชัดเจนในที่แห่งนี้ เพราะว่า ดินแดนเซียนนั้น ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง ดูเหมือนว่าต่อให้มีพระอาทิตย์เก้าดวงฉายแสงเจิดจ้าก็ไม่อาจส่งผลอะไรต่อมันได้แม้แต่น้อย ราวกับว่าเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์เหล่านั้นแล้ว ตัวมันต่างหาก…ที่มีการคงอยู่เป็น นิรันดร์
ส่วนอาทิตย์ก็มีหน้าที่โคจรล้อมรอบมันเท่านั้น ในจุดนี้ กลับตาลปัตรจากสิ่งที่ หวังเป่าเล่อได้รู้ในโลกแห่งศิลาทั้งสิ้น และด้วยความรวดเร็ว เขาก็ได้เข้าใจ ภายในดินแดนเซียนอันกว้างใหญ่ไพศาล แบ่งออกได้เป็น 72 เขต ในอาณาเขตทุกแห่งนั้น มี 8,000 แดนดิน ทุกอาณาแดนมีแบ่งใหญ่เล็กใหญ่เล็ก ที่ใหญ่นั้นใหญ่ยิ่งกว่า โลกแห่งศิลา ดังนั้นการเปรียบเทียบว่า “ไพศาล” ราว “จักรวาล” ใช้สองคำนี้มาอธิบาย เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก
ในเวลาเดียวกัน ทุกดินแดนก็มีเมืองใหญ่นับร้อยหัวเมืองตั้งอยู่ เมืองใหญ่เช่นนี้ลักษณะคล้ายกับอสูรยักษ์ที่กำลังจำศีล รูปลักษณ์ของพวกมันแต่ละตัวแตกต่าง ราวกับมีชีวิตจริงๆ ราวกับดำรงอยู่จริง เพียงแต่กำลังนิทรา หากอสูรเหล่านี้ตื่นขึ้น ย่อมน่าสะพรึงสะท้านฟ้าดิน ตำนานกล่าวขานว่า อสูรยักษ์ทุกตัวเหล่านี้ แท้จริงแล้ว มีชีวิต แต่ถูกผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งดินแดนเซียนดึงเอาพลังชีวิตไป จากนั้นจึงผนึกพวกมันเอาไว้ให้กลายเป็นเมือง
ทว่าดินแดนที่ยิ่งใหญ่สะท้านใจคนนี้ ในนั้นกลับมีจิตวิญญาณแห่งชีวิตอยู่ แม้มีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็เป็นจำนวนที่ยากเกินกว่าจะใช้ตัวเลขทางดาราศาสตร์ ไปคิดคำนวณได้ ด้วยเหตุอันไพศาลนานัปการ ผนวกเข้ากับพลังวิญญาณหนาหนัก ทำให้การฝึกตนในที่นี้เป็นเรื่องสามัญ
ส่วนเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์…จากจำนวนที่นับได้ในตอนนี้ ก็นับว่าถือกำเนิดมาไม่น้อย อีกทั้งหลังจากกาลเวลาผ่านพ้นและประวัติศาสตร์ได้เข้าที่เข้าทาง จำนวนของ ผู้เยี่ยมยุทธ์ย่อมมากขึ้นเป็นธรรมดา และสิ่งที่เป็นตัวแทนได้เหมาะสมที่สุด…ก็คือ ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าบนฟากฟ้า
“เทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำสะท้อนออกมาในแดนดินที่ 8,000 ของเขตแดนแรก บนยอดเขาเดียวดายนอกเมือง เวลานี้ผ่านไปแล้วสองปีนับตั้งแต่ ที่เขามาถึงดินแดนแห่งเซียน
สองปีก่อนหน้า เขาติดตามสองพ่อลูกมาถึงมหาทวีปแล้ว จากนั้นก็ถูกเชิญไปยังบ้านของหวังอีอี ดูผิวเผินแล้วเหมือนบ้านธรรมดาแห่งหนึ่ง แต่บนยอดเขากลับมี ถ้ำหนึ่งอยู่ด้วย ในถ้ำแห่งนี้ ในนั้นมีโลกใบหนึ่ง และนั่นคือบ้านของหวังอีอี
ในที่นั้น หวังเป่าเล่อได้พบกับมารดาของหวังอีอี สตรีผู้อบอุ่นอ่อนโยน นัยน์ตาของนางราวกับสามารถเอ่ยคำพูดได้ นางปฏิบัติต่อเขาด้วยความอบอุ่น ดวงตา ทอประกายความเมตตา นัยน์ตานี้เมื่อทอดมองเขาและหวังอีอี ยิ่งเจือความอ่อนโยน
ในที่แห่งนั้น หวังเป่าเล่อได้รับรู้ว่าหวังอีอีมีพี่ชายคนหนึ่ง จากบ้านไปหลายปี ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกและยังไม่กลับมา ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงบิดามารดาและคิดถึงน้องสาวตนเอง ที่ยังดีนั้นคือ พวกเขาทั้งหมดยังอยู่ แม้ว่าจะอยู่ในมิติที่อยู่กลางฝ่ามือหนึ่ง แต่ก็นับว่าปลอดภัยดี
หลังจากที่พำนักอยู่บ้านตระกูลหวังมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หวังเป่าเล่อก็ปฏิเสธ เรื่องที่ท่านแม่หวังจัดแจงอย่างมีมารยาท เขาออกเดินทางคนเดียว เพื่อต้องการแสวงหาสถานที่ที่ศิษย์พี่จะกลับชาติมาเกิด
ในเวลาเดียวกัน เขาอยากไปดู อยากจะเดินไปในโลกอันไม่คุ้นเคยนี้ เขาจำได้ตลอดว่า ก่อนออกเดินทาง ท่านพ่อหวังได้เอ่ยกับเขาประโยคหนึ่ง
“เจ้าในตอนนี้ แม้ว่ามีคุณสมบัติจะก้าวสู่สวรรค์ อีกทั้งยังมีพลังต่อสู้ที่สามารถทะยานสู่สวรรค์ได้ แต่…จิตเต๋าของเจ้าและห้วงการยึดติด ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ ในตอนที่เจ้าเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว สามารถมาพบข้าได้ ข้าจะเบิกทางสู่สวรรค์ให้แก่เจ้า”
หวังเป่าเล่อค้อมตัวลงต่ำ เขาบอกลาภูเขา บอกลาถ้ำแห่งนี้และคนตระกูลหวัง เขาออกเดินทางในโลกแห่งนี้ ทว่า…ดินแดนเซียนกว้างใหญ่เกินไป ต่อให้อาศัย พลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อ ก็ยากที่จะสำรวจพื้นที่ทั้งหมดได้ในเวลาสองปี
ดังนั้นหลังจากที่เดินชมทัศนียภาพโดยคร่าวๆ ของมหาทวีปแล้ว ก่อนเวลา จะครบสิบเดือน หวังเป่าเล่อก็เลือกสถานที่นี้ให้เป็นเป็นสถานที่ที่ศิษย์พี่กลับชาติ มาเกิด
สถานที่นี้ เขานำวิญญาณของศิษย์พี่ออกมา แล้ววาดเค้าหน้าเป็นรูปลักษณ์ของชาติที่แล้ว อาศัยวิชาเต๋าของตนเปิดวัฏสงสาร ส่งอีกฝ่ายเข้าไปข้างใน ให้ถือ กำเนิดใหม่ในเมืองใต้ภูเขาข้างล่าง เพราะความมึนงงในครรภ์นั้น ต้องรอจนกว่า พลังฝึกปรือของศิษย์พี่จะถึงระดับหนึ่งก่อนเขาจึงจะได้ความทรงจำของชาติก่อนกลับมา
แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบ ทุกวันเขานั่งอยู่บนยอดภูเขาแห่งนี้ ความคิดคำนึงล่องลอย สภาวะจิตจับจ้องแต่ในเมือง ในตระกูลคหบดีที่ไม่นับว่าร่ำรวยมากมายตระกูลหนึ่ง หลังสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จุติในร่างมารดาแล้ว ลมปราณจึงค่อยๆ นิ่งสงบ นี่ราวกับเป็นความเคยชินของหวังเป่าเล่อและกลายเป็นสิ่งที่เขายึดมั่น
ในเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังเต๋าซึ่งอยู่ในทุกแห่งหนของดินแดนเซียน ในสายตาของเขา ดินแดนเซียนยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด มีวังวนน่าสะพรึงอยู่หลายสิบแห่ง ในบรรดานั้นที่แข็งแกร่งที่สุดมีเก้าแห่ง ทั้งหมดนี้เกาะเกี่ยวกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าทั้งเก้า ในดวงอาทิตย์ทั้งเก้านี้ทุกดวงล้วนมีพลังที่จะก้าวขึ้นสู่สวรรค์
โดยเฉพาะสองดวงในบรรดานั้น หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีเจตนาอันตราย ในส่วนของวังวนอื่นๆ แบ่งตัวกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ พลังฝึกปรือไม่นับว่าอยู่ขั้นสี่ แต่ก็ล้วนอยู่สูงสุดของขั้นสาม อยู่ในจุดที่เตรียมจะย่างขึ้นขั้นสี่แล้ว แต่ก็มีข้อยกเว้น มีวังวนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไม่ได้แขวนตัวอยู่บนฟ้า
แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ วังวนที่อยู่ในทิศเหนือของมหาทวีปนี้ มีขุมพลังที่ ไม่ด้อยไปกว่าพลังของดวงอาทิตย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนภา คนผู้นี้…เห็นชัดว่าอยู่ขั้นสี่
“สิบท่านงั้นหรือ” หวังเป่าเล่อแหงนหน้า มองดูดวงอาทิตย์ทั้งเก้า คนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของดินแดนเซียน รอบกายของพวกเขาทุกคนแฝงไปด้วยร่องรอยแห่งเต๋าอันสะท้านสะเทือนใจ ภายหลังจากรู้แจ้ง ภายหลังจากสูดลมหายใจ ก็ดึงเอาพลังเต๋าภายในจักรวาลเข้ามาหาตน ด้วยเหตุนี้จึงก่อเกิดวังวนขึ้น
ทว่าในยามนี้หวังเป่าเล่อทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า ระดับจักรพิภพในโลกแห่งศิลานั้น แท้จริงแล้วหากเทียบกับภายในดินแดนเซียนแล้ว เป็นเพียงขั้นสามเท่านั้น และ ขั้นสามเช่นนี้ ในดินแดนเซียน…มีจำนวนไม่น้อยเลย
เขาเพ่งมองก้อนที่เหมือนพระอาทิตย์ทั้งเก้าบนท้องฟ้าและวังวนที่ปรากฏอยู่ หวังเป่าเล่อเข้าใจกระจ่าง เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ก็เล็งเห็นตัวเองกลายเป็นวังวนหนึ่งเช่นกัน! เพราะว่าพลังฝึกปรือของเขา ไม่ว่าจะพูดจากความเข้าใจใด ก็กลายเป็น ระดับขั้นที่สี่แล้ว กระทั่งในบรรดาขั้นที่สี่ด้วยกัน ระยะห่างระหว่างชั้นก็มีแตกต่าง แค่ระดับหนึ่ง แต่ที่เป็นเอกลักษณ์และหาได้ยากคือผู้ที่ได้แรงหนุนจากจักรวาล
เต๋าเช่นนี้ เมื่อเดินไปจนสุดทางก็กลายเป็นต้นกำเนิดพลังและเป็นขั้นที่สี่ และการสนับสนุนทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วเป็นการขยายกำลัง สามารถทำให้ผู้ฝึกตน ต่ำกว่าขั้นหกในมหาทวีปแห่งนี้ได้ และมีพลังฝึกต่อสู้แข็งแกร่งมากขึ้น
หากคิดอยากทำให้ได้จุดนี้ แท้จริงแล้วมีหนทางหลายวิธี การเหยียบขึ้น สะพานสู่สวรรค์ก็นับเป็นหนทางหนึ่ง
ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างยิ่ง หากตนเองเหยียบเข้าสู่สะพานสู่สวรรค์ เช่นนั้นพลังฝึกตนของเขาก็จะยิ่งทะยานสูง อีกทั้งพลังการต่อสู้จะเพิ่มระดับขึ้น อีกมาก
แต่เขากลับเข้าใจดีว่า ท่านพ่อหวังกล่าวได้ถูกต้องแล้ว จิตเต๋าความยึดมั่น ของตนยังไม่หายไป เขาต้องการอยู่เป็นเพื่อนศิษย์พี่ เดินบนเส้นทางของมนุษย์สัก ช่วงระยะหนึ่ง
อยากจะอยู่เคียงข้างบิดามารดาในโลกกลางฝ่ามือนั้น ไปเที่ยวเทียนหลุนเล่อ อีกสักครั้ง แล้วยังมีเจ้าเยี่ยเหมิง โจวเสี่ยวหยาและหลี่หว่านเอ๋อร์… ยังมี…แม่นางน้อย เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่เขายังไม่อาจตัดขาดได้ ดินแดนเซียนมอบความรู้สึกสงบนิ่งให้แก่เขา ทำให้มีโอกาสที่จะตัดขาดจาก
อีกทั้งผู้คนในที่นี้ ไม่ได้มีความคิดเป็นอื่นใด ด้านหนึ่งเนื่องจากเขาเป็นแขก อีกด้านหนึ่งคือท่านพ่อหวังเป็นผู้พามา กอปรกับเหตุที่ว่าเขาคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหวังอีอีแล้ว ทำให้ตั้งแต่เริ่มจนจบ เจตจำนงของดินแดนเซียนรวมไปถึงความแข็งแกร่งจำนวนมากล้วนเต็มไปด้วยไมตรีต่อเขา
ในเวลาเดียวกัน ระหว่างเวลาสองปีมานี้ นอกจากหวังอีอีที่ออกมาข้างนอกบ่อยๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์ในดินแดนเหล่านี้ รวมถึงพระอาทิตย์ที่อยู่กลางท้องนภา ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่อาศัยวิธีการต่างๆ นานา มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขา และจะมาก จะน้อยแต่ละคนก็เก็บซ่อนประกายตาประหลาดใจและความคิดที่จะต้องการประเมินอย่างล้ำลึก
ราวกับว่า…กำลังดูลูกเขยที่มาเยี่ยมบ้าน โดยเฉพาะในบรรดานี้มีอยู่คนหนึ่ง ท่ามกลางลมฝน ก็มาอยู่หลายครั้ง… อย่างเช่นในช่วงเวลานี้…ท้องฟ้าที่สดใสแต่เดิม ก็มีฝนโปรยลงมา น้ำเสียงเปี่ยมความห้าวหาญ เจือมากับเสียงหัวเราะท่ามกลาง เม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากที่ไกลๆ
“เต๋าสวรรค์ของดินแดนเซียนขี้โมโห ไม่ใช่เพราะปีนั้นข้าตะคอกเจ้าไปหน่อยหรือไง หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่ข้าโผล่ออกมาเจ้าจะต้องต้อนรับด้วยสายฝน?”
………