Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 145

A World Worth Protecting 145

บทที่ 145 คู่หูปริศนา

ตอนนี้ไม่มีใครสนใจวัตถุเวทของข้า แต่ข้าจะทำของที่ทุกคนต้องอยากได้ต่อให้ราคาแพงสักเท่าไรหลังการประลอง!

หวังเป่าเล่อทำหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ แต่เขาก็ถูกบีบให้ต้องทำเช่นนี้มาเสมอ เขารู้สึกชินกับสภาพไร้เงินติดตัวไม่ลง เปรียบได้กับเศรษฐีที่เคยใช้ชีวิตมาอย่างฟุ่มเฟือยเกิดต้องกลายเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน

ความรู้สึกนั้นบีบให้หวังเป่าเล่อพิจารณาหาทางขายวัตถุเวทของตนให้ออก      เขาตบต้นขาฉาดแล้วลุกขึ้นหลังสูดลมหายใจลึกๆ เมื่อเดินวนไปมาได้ราวสองถึง    สามรอบถ้ำที่พัก เขาก็จมอยู่ในความคิดอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อวิเคราะห์แล้วจำลองแผนตนในหัว พลางสรุปว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรมากมาย

ข้าจะใช้วิธีนี้! หวังเป่าเล่อกัดฟัน หยิบเอาแหวนสื่อสารออกมาติดต่อหาจั่วอี้ฟานทันที

“นี่ อี้ฟาน ข้าได้ยินมาว่าตำหนักการยุทธ์จะจัดการประลอง เจ้าเตรียมตัวเป็นอย่างไรแล้วบ้าง เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไรไหม ถ้ามีข้าอยู่ด้วย อ่า รับรองเจ้าต้อง…หือ เจ้ามีคนช่วยสำหรับรอบประลองของเจ้าแล้วรึ อ้อ”

จั่วอี้ฟานเสียดายอย่างยิ่ง เดิมทีเขาอยากร่วมกลุ่มกับหวังเป่าเล่อแต่กลัวหวังเป่าเล่อปฏิเสธ พอลังเลอยู่พักใหญ่ เขาจึงไม่ติดต่อหาหวังเป่าเล่อแล้วไปหาคนอื่นแทน

หลังหวังเป่าเล่อบอกให้จั่วอี้ฟานรู้ว่าตนเข้าใจเหตุผลของเขา เขาก็วางแหวนสื่อสารลง เขาไม่ยอมแพ้ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้จะทำทุกอย่าง แม้วัตถุเวทของเขาจะยังไม่มีความน่าเชื่อหรือชื่อเสียงรับรองใดๆ เขาก็จะสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง!

ทางดีที่สุดที่จะสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ คือทำให้ทุกคนตะลึงว่าวัตถุเวทของเขาทรงพลังเพียงใดต่อหน้าผู้สังเกตการณ์ เป้าหมายคือ ทำให้ทุกคนต้อง          อ้าปากค้างไม่อยากเชื่อว่าจะมีวัตถุเวทชั้นเยี่ยมหาใครเทียมอยู่จริงในโลก จนทุกคนประทับใจไม่รู้ลืมแล้วอยากเป็นเจ้าของกันมากขึ้น

กล่าวง่ายๆ ก็คือ โฆษณาสินค้านั่นเอง!

ส่วนสำหรับสถานที่จะโฆษณาวัตถุเวทเหล่านั้น หวังเป่าเล่อก็ได้ตัดสินใจไว้แล้ว คือที่ที่จะจัดการประลองตำหนักการยุทธ์ขึ้น ไม่มีที่ไหนจะรวบรวมความสนใจไว้ได้มากเท่างานนี้ หวังเป่าเล่อวางแผนจะใช้การประลองสร้างอิทธิพลใหญ่โตให้ชื่อเขาเพื่อขายวัตถุเวท!

เพราะการประลองตำหนักการยุทธ์กลายเป็นจุดสนใจของทั้งเกาะมหาปราชญ์แล้ว ผู้คนจำนวนมากจะมาสังเกตการณ์ ดังนั้นตราบใดที่อาวุธเวทมีโอกาสได้เฉิดฉายในการประลอง ก็ย่อมทำให้ทุกคนประหลาดใจและสร้างความน่าเชื่อถือขึ้นมา!

ที่จริงแล้ว นอกจากหวังเป่าเล่อก็ยังมีคนอีกมากในตำหนักอื่นคิดใช้วิธีโฆษณาเช่นนี้ แม้พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่ก็ยังเชี่ยวชาญงานของตัวเอง สำหรับคนเหล่านี้ เงินระยะสั้นไม่มีความหมายเท่าความน่าเชื่อถือ การประลองประจำปีของตำหนักการยุทธ์จึงเป็นโอกาสให้พวกเขาได้สร้างความน่าเชื่อถือขึ้นมา

เป้าหมายที่พวกเขาคอยสนับสนุนศิษย์ตำหนักการยุทธ์ทางด้านวัตถุเวท       โอสถ หรือวงแหวนปราณ รวมถึงทำตามคำขอต่างๆ ทั้งหมดก็เพื่อใช้การประลองเป็นที่โฆษณาและเพิ่มมูลค่าให้ของที่พวกเขาหลอม

ศิษย์ตำหนักการยุทธ์เองก็ยินดี ทุกฝ่ายมีแต่ได้กับได้ ขณะเดียวกัน                 ทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ตั้งกฎห้ามแต่อย่างใด จึงมีโอสถ วัตถุเวท และ    วงแหวนปราณใหม่ๆ โผล่ให้เห็นช่วงการประลองตำหนักการยุทธ์ทุกปี

แต่แผนของหวังเป่าเล่อต่างจากของคนอื่นเล็กน้อย หวังเป่าเล่อตัดสินใจจะเข้าร่วมการประลองด้วยเพื่อความปลอดภัยและหาทางรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อระหว่างการประลอง จะได้รับประกันว่าเขาจะขยายฐานชื่อเสียงและโฆษณาสำเร็จลุล่วง!

ถ้าทำเช่นนี้ เขาจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตามสถานการณ์จริงได้ ต่อให้มีสิ่งเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น เขาก็จะยังแก้ไขทันและโฆษณาวัตถุเวทของเขาสู่สาธารณชนได้อย่างเต็มที่

พอคิดถึงเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็เตรียมพร้อม เขากำแหวนสื่อสารไว้แน่นแล้วนึกถึงผู้สมัครที่เหมาะสม

ในเมื่อจั่วอี้ฟานไม่ได้ เช่นนั้นเฉินจื่อเหิงนั่นแหละที่เหมาะ!

เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อเร่งส่งข้อความเสียงไปหาเฉินจื่อเหิง แต่ไม่นานเขาก็ได้ทราบว่าเฉินจื่อเหิงมีกลุ่มสนับสนุนแล้วเช่นกัน

หวังเป่าเล่อหงุดหงิดยิ่งนัก

ที่จริงแล้วเฉินจื่อเหิงก็เหมือนกับจั่วอี้ฟาน เขาคิดจะร่วมกลุ่มกับหวังเป่าเล่อเช่นกัน แต่ในความคิดของพวกเขา หวังเป่าเล่อนั้นเหนือชั้นกว่ามาก และเฉินจื่อเหิงเป็นคนมีศักดิ์ศรีที่กลัวโดนปฏิเสธ เขาจึงไม่ได้มาชวนหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเริ่มวิตกกังวลและรีบติดต่อไปหาศิษย์ตำหนักการยุทธ์ที่ตนรู้จักมักจี่ แต่เขาก็ต้องอึ้งค้างไปด้วยว่าเขาช้าไปก้าวหนึ่ง อีกไม่กี่วันจะถึงการประลองแล้ว     แทบทุกคนต่างมีกลุ่มสนับสนุนกันหมด

หวังเป่าเล่อทนรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ เขาจึงเข้าไปดูในเครือข่ายวิญญาณเพราะจำได้ว่าเคยเห็นคนตามหาสมาชิกกลุ่มสนับสนุนอยู่ในนั้น

จนในที่สุด หลังจากค้นหาอย่างหนัก เขาก็เจอศิษย์ตำหนักการยุทธ์คนที่ทั้งเหนียวเรื่องราคาสินค้าและยังท่าทางยโสโอหังเอาการ

“ข้ากำลังฝึกตนสำหรับการประลอง ไม่มีเวลาไปพบเจ้าหรอก ข้าไม่อยากรู้จักเจ้า ไม่ต้องการให้เจ้ามารู้จักข้า ดังนั้นไปเจอกันที่สนามแข่งเมื่อถึงเวลาเลยแล้วกัน        เจ้าไม่ต้องเตรียมอะไรไปทั้งนั้นเพราะข้าแค่ต้องการเจ้าไว้ให้ครบจำนวนคน ที่จริง    ถ้าไม่ใช่เพราะกฎนั่น และเพราะข้าอายไม่อยากให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จับคู่ให้   ข้าก็คงไม่ต้องการสมาชิกกลุ่มสนับสนุนหรอก!”

คนที่หวังเป่าเล่อติดต่อไปหาส่งข้อความมาเช่นนี้ ทางนั้นดูไม่สนใจจะพูดจาให้ดีด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อจ้องมองข้อความ รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายโดนเตะเจาะเป้ามาถึงได้น้ำเสียงน่าตลกนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเองก็ไม่มีตัวเลือกอื่น เขาคงไปหาคนอื่นแทน

แต่ในเมื่อการประลองกำลังจะเริ่มต้น คนปกติก็มีกลุ่มสนับสนุนกันหมดแล้ว    คนที่ยังหาไม่ได้ล้วนมีเพียงพวกคนบ้าที่เหมือนโดนเตะกล่องดวงใจมา หรือพวกที่คิดจะให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จัดหาคู่ให้เองตามระเบียบ

“ใครมันเตะเจ้าหมอนี่เสียหนักจนออกอาการหยาบคายปานนี้นะ” หวังเป่าเล่อบ่นงึมงำ แต่เขาก็ไม่ทางเลือกอื่น มีแต่ต้องจับคู่กับคนผู้นี้

เขากำลังคิดว่าในเมื่อชายคนนี้ยโสโอหังนัก เขาก็คงไม่ต้องการแรงสนับสนุน ดังนั้นหวังเป่าเล่อย่อมพุ่งความสนใจไปที่งานโฆษณาวัตถุเวทได้ ปัญหาเดียวที่รบกวนจิตใจเขาคือ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ความร่วมมือ ก็มีความเป็นไปได้ว่าทางนั้นจะไม่ใช้วัตถุเวทของเขาด้วย

“ข้าต้องเตรียมตัวไปสำหรับทุกสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เขายิ่งรู้สึกว่าชายปริศนาจากตำหนักการยุทธ์รายนี้             มีอะไรแปลกพิกล แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ได้แต่เอาวัตถุเวททั้งหมดออกมาจากกำไลคลังเวทแล้วคิดแผนดีๆ

แม้เขาจะไม่มีศิลาวิญญาณเหลือแล้ว แต่เขายังมีวัตถุดิบเหลืออยู่บ้าง เขาจึงปรับแต่งวัตถุเวทไว้ตามจุดเริ่มต้นของแผน ยกตัวอย่างเช่น เขาค่อนข้างมั่นใจว่า      ตนจะต้องเจอกับอสูรดุร้ายจากตำหนักฝึกอสูร เขาถึงได้คิดดัดแปลงเชือกวัตถุเวทเป็นตะกร้อ เขาเพิ่มกระทั่งผงที่ทำให้หมดสติเข้าไปด้วย เขาซื้อผงเหล่านั้นมาจากบนเครือข่ายวิญญาณ

ยังมีวัตถุเวทอื่นๆ ที่เขาคิดขึ้นเองสำหรับสถานการณ์เฉพาะต่างๆ มีวัตถุเวทที่เรียกกันว่ากระบี่เหาะเหินเยือกแข็ง ซึ่งหวังเป่าเล่อคิดว่าจะกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในภายภาคหลัง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในช่วงที่หวังเป่าเล่อเตรียมตัว เหลืออีกเพียงสองวันก่อนการประลองจะเริ่ม เกาะเส้นทางสวรรค์ เกาะสุดท้ายของทะเลสาบป่าขจีแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ปกคลุมด้วยวงแหวนปราณเหมือนหมอกทำนองเดียวกัน บัดนี้เกิดความวุ่นวายอยู่เงียบๆ มีหลายร่างก้าวทะยานขึ้นไปบนหมู่เมฆให้เห็น เมื่อพวกเขาออกมาจากวงแหวนปราณรอบเกาะเส้นทางสวรรค์ วงแหวนปราณก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเส้นทางเดินกว้าง

นอกจากชายวัยกลางคนตรงกลางกลุ่มคนแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นผู้อาวุโส ทุกคนดูมากประสบการณ์ ระดับการฝึกตนสูงเสียดฟ้า แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมแดงผู้นั้นเปรียบดั่งกระบี่แหลมคมรอวันแผลงฤทธิ์ตัดพายุหมุนได้           ไม่ยากเย็น

พวกเขาต่างยืนอยู่เช่นนั้น คอยมองยังชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้า และเรือบิน   สีดำขนาดใหญ่สามลำที่เคลื่อนตัวอยู่บนผืนฟ้า ค่อยๆ มุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา!

เมื่อเรือบินลงจอด ก็มองเห็นคราบเลือดแห้งเกาะตัวกันเป็นชั้นบนพื้นดินด้านนอกเรือบินได้ทันที ดูคล้ายกับเป็นเลือดของคนที่ถูกเรือบินลำนั้นสังหารระหว่างเดินทางมาที่นี่ บนดาดฟ้าเรือมีคนนับร้อยใส่เครื่องแบบเดียวกันยืนอยู่

ทุกคนสีหน้าไร้อารมณ์ แผ่ไอสังหารกล้าแกร่งผิดปกติ ราวกับว่าหลายปีที่เอาชีวิตเข้าแลกสู้กับอสูรดุร้ายปั้นความสมบุกสมบันให้พวกเขา

เรือบินทั้งสามลำมาจากกองทัพของสหพันธรัฐ!

ผู้คนบนเรือบินต่างเป็นนักรบที่ประจำการที่ชายแดนของสหพันธรัฐ!

ชายวัยกลางคนตัวใหญ่บึกบึนสวมผ้าคลุมสีดำยืนอยู่ตรงยอดกลางเรือบิน         ใต้ผ้าคลุมสีดำคือ เครื่องแบบติดตราเกียรติยศมากมาย มีรอยแผลเป็นเด่นชัดแบ่ง  หน้าเขาเป็นสองซีก เขายืนสูงสง่าดั่งภูผา และมีไอน่ากลัวแผ่ออกมาตลอดเวลา         ดูน่าเกรงขามไม่แพ้ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมแดงจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

“โจวลู่ นั่นใช่เจ้าอ้วนที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า” ชายร่างบึกบึนเลื่อนสายตาจาก   ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมแดงบนเกาะเส้นทางสวรรค์ไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เขาเอ่ยอย่างสงบนิ่งกับสตรีข้างกายผู้ภายนอกดูเรียบร้อย

ข้างกายเขานั้นคือ ดรุณีรูปร่างผอมเพรียวแสนสวย อัดแน่นด้วยความดุร้ายยาก      จะขังไว้ นางคือโจวลู่ คนที่เคยโดนหวังเป่าเล่อเตะก้น และเป็นคนที่ทนรอล้างแค้นเขา  ไม่ไหวแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version