บทที่ 147 จื่อหาว อัดมันเลย! ไม่ต้องกลัว!
“เจ้าอ้วนที่ดูหน้าตาเลิ่กลั่กไม่น่าไว้ใจนั่นน่ะหรือ คือหวังเป่าเล่อคนที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยม” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงบนอัฒจันทร์ลอยฟ้า สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อลอบมองมาจึงอมยิ้ม
ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ข้างกายเขา ที่หวังเป่าเล่อไม่ได้เพ่งมองให้ชัดว่าเป็นใคร คือผู้อาวุโสประจำตำหนักอาวุธเวท ที่เคยมอบวัตถุเวทให้เขาเนื่องจากทำผลงานได้ ดีเยี่ยม เมื่อครั้งยังอยู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง
รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าของผู้อาวุโส ขณะมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ท่านตอบชายวัยกลางคนข้างกายอย่างอารมณ์ดี “ถูกต้องแล้ว ท่านรองประมุขสำนัก”
ทันทีที่ผู้อาวุโสจากตำหนักอาวุธเวทพูดจบ ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งก็ถามด้วยความสงสัย “มีคนเคยบอกข้าว่าเจ้าหนุ่มอ้วนนี่หลงตัวเองเป็นอันมาก แถมยังพกกระจกเอาไว้ ส่องดูตนเองตลอดเวลา นี่จริงหรือไม่”
รองประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกท่าน ที่นั่งอยู่ข้างหลังชายวัยกลางคนในชุดแดงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจเช่นกัน “ข้าได้ยินเรื่องเจ้าหนุ่มอ้วนนี่มาบ้างเหมือนกัน ได้ยินว่าเจ้านี่คลั่งไคล้เรื่องการเป็นเจ้าพนักงาน แถมยังฝันอยากเป็นผู้นำสหพันธรัฐด้วย!”
“เจ้าเด็กนี่น่าสนใจดีแฮะ!”
“ฮ่าๆ ข้าว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดน่าจะชอบเขานะ”
เสียงหัวเราะดังก้องออกมาจากฝูงชนบนอัฒจันทร์ ผู้ที่คู่ควรพอได้นั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสจากตำหนักต่างๆ ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง โดยปกติแล้วจะไม่มีใครได้เจอพวกเขาเหล่านี้มากนัก และถึงเจอก็จะเป็นในลักษณะท่าทางเป็นการเป็นงานมากกว่า แต่เมื่อมารวมตัวกัน ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็พูดคุยกันด้วยบรรยากาศสนุกสนาน ต่างแหย่กันไปมาขณะมองดูหวังเป่าเล่อ บรรดาผู้อาวุโสมองเขาด้วยสายตาชื่นใจ เหมือนผู้ใหญ่รุ่นก่อนหน้าที่มองเด็กรุ่นหลังด้วยความภาคภูมิใจ
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่อัฒจันทร์ฝั่งกองทัพ ชายร่างท้วมในชุดคลุมสีดำ มีรอยแผลเป็นพาดยาวกลางใบหน้า กำลังมีสีหน้าอ่านยาก ขณะละสายตาจาก หวังเป่าเล่อมามองแม่นางข้างๆ
“โจวลู่ นั่นน่ะหรือคือ คนที่เจ้าบอก”
“ท่านแม่ทัพ ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตามที่ข้าได้หาข้อมูลมา ชายผู้นี้เหมาะสมที่สุดใน การทำภารกิจให้สำเร็จ เรียกได้ว่าชายผู้นี้อาจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังของ พวกเราก็เป็นได้ ท่านจะมั่นใจมากขึ้นหลังจากได้รับชมความสามารถของเขาใน การประลองนี้ หวังเป่าเล่อไม่เพียงเก่งกาจในการหลอมวัตถุเวท แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งแซงหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปมากอีกด้วย!” โจวลู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ชายร่างบึกบึนพูดด้วยสีหน้าเรียบ แม้ว่าท่านแม่ทัพจะเป็นท่านลุงของนางเอง แต่นางก็มักแสดงความเคารพท่านอย่างถึงที่สุดเสมอ เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยทะเลาะกับเจ้าหวังเป่าเล่อนี่ใช่หรือไม่” ท่านแม่ทัพโจวในชุดดำหันมามองหน้าโจวลู่
นางไม่ตอบ เพียงแต่หยิบแผ่นหยกออกมาส่งให้ท่านแม่ทัพโจวเท่านั้น แผ่นหยกนั้นเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับหวังเป่าเล่อที่นางรวบรวมมา หลังจากอ่านเรียบร้อย แม่ทัพโจวก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าเป็นสงสัยใคร่รู้
“อย่างนั้นลองมาดูกันก่อนเถิดว่าฝีมือเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านแม่ทัพโจวหัวเราะ เก็บแผ่นหยกเข้ากระเป๋า และหันไปสนใจการประลอง
เมื่อการประลองประจำตำหนักการยุทธ์ใกล้เริ่มต้นขึ้น เสียงประกาศเรียบก็ดังขึ้นอีกครั้งเพื่อแจ้งกฎ
กฎนั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน บริเวณทิศตะวันออกคือสนามประลองของผู้ฝึกตนที่มีลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่ง ทิศตะวันตกมีไว้สำหรับขั้นที่สอง ไล่ไปตามลำดับ ส่วนที่ตรงกลางนั้นเป็นสนามประลองสำหรับผู้ฝึกตนที่มีลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่ห้า
ทั้งห้าสนามนี้จะจัดขึ้นพร้อมกัน ในแต่ละบริเวณมีภูเขาอยู่ทั้งหมด 32 ลูก ภูเขาแต่ละลูกเปรียบเสมือนสนามประลองขนาดเล็กสำหรับแต่ละคู่ เมื่อต่อสู้กัน เสร็จเรียบร้อย ผู้ชนะที่ได้พิชิตภูเขาลูกนั้นจะมีเพียงหนึ่ง!
เมื่อการประลองรอบแรกเสร็จสิ้นแล้ว จะได้ผู้ชนะทั้งหมด 32 คนจากแต่ละขั้น ผู้ชนะ 32 คนนั้นจะเข้าห้ำหั่นกันต่อที่นัดที่สอง เพื่อจัดลำดับความแข็งแกร่ง สุดท้ายแล้วจะได้ออกมาเป็นผู้ชนะขั้นที่หนึ่งถึงห้า
การประลองสนามที่สองนั้นไม่อนุญาตให้มีผู้ช่วยเหมือนสนามแรก หลังจากนั้นจะเป็นการต่อสู้ของศิษย์ตำหนักการยุทธ์ล้วนๆ นี่ก็เพราะเป้าหมายหลักของ การประลองนี้ คือ การค้นหายอดฝีมือภายในตำหนักการยุทธ์นั่นเอง
สนามแรกเป็นการต่อสู้ของแต่ละภูเขา ภูเขาแต่ลูกจะมีทางเข้าอยู่ 64 ทาง โดยจะมีประตูอยู่ 16 ทางในแต่ละด้านของภูเขาทรงสามเหลี่ยมสี่ด้าน แต่ละทางเข้านี้จะมีถนนเป็นของตนเอง ซึ่งนำทางไปสู่ยอดเขา
ถนนแต่ละเส้นจะมีจุดตัดกันทั้งหมดแปดจุด และถนนที่ตัดกันจะรวมเข้าเป็น หนึ่งเดียว!
ที่ทางแยกนั้น สองกลุ่มที่มาเจอกันต้องต่อสู้กัน
กลุ่มที่แพ้จะถูกตัดสิทธิ์ ผู้ชนะเท่านั้นที่จะไปต่อได้ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มใหม่ที่เจอ ที่ทางแยกต่อไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา จากสิบหกกลุ่มที่ห้ำหั่นกัน จะมีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้พิชิตด้านหนึ่งของภูเขาสามเหลี่ยมสี่ด้าน และจะต้องเข้าไปสู้กับผู้ชนะจากอีกสามด้าน ในการประลองนัดผู้พิชิตยอดเขา
เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ หน้าที่ของผู้ช่วยจะยุติลง ผู้ร่วมประลองจะต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อไปต่อให้ได้ ผู้ชนะจากนัดผู้พิชิตยอดเขาจะได้เข้าไปประลองในนัดที่สองต่อไป!
หลังจากที่ทุกคนทำความเข้าใจกฎการประลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลุ่มผู้เข้าแข่งขันระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่ง ก็กระจายตัวไปตามภูเขาลูกต่างๆ ตามที่ตำหนักการยุทธ์จัดสรรให้ ลู่จื่อหาวไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ขณะหันตัวกลับและพุ่งไปข้างหน้าเพื่อออกนำ
เมื่อเห็นว่าลู่จื่อหาวใจร้อนขนาดไหน หวังเป่าเล่อก็ทำได้แค่ส่ายหน้า
หมอนี่ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ… หวังเป่าเล่อคิดดังนี้ก็ค่อยๆ เดินตามไป จนถึงภูเขาที่กลุ่มของเขาต้องเข้าแข่งในที่สุด หลังจากที่เลือกทางเข้าเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินขึ้นเขาตามๆ กันไป
ในเวลาเดียวกันนั้น บนท้องฟ้าของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงประจำสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ วงแหวนปราณขนาดมหึมาก็แปรสภาพไปเรียบร้อย หน้าจอนับพัน ผุดขึ้นมาแทนที่ ลอยอยู่บนฟากฟ้าเพื่อถ่ายทอดสดการต่อสู้ทุกนัดบนภูเขาทุกลูก ให้สานุศิษย์แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงหลายหมื่นคนได้รับชม ทุกคนเฝ้าติดขอบ อย่างใจจดใจจ่อจนตาแทบติดหน้าจอ
ตามกฎแล้วเมื่อกลุ่มใดแพ้ หน้าจอของกลุ่มนั้นจะดับลงทันที จนท้ายที่สุดจะมีหน้าจอที่เหลืออยู่เพียงห้าหน้าจอเท่านั้น ที่เป็นผู้ชนะในแต่ละระดับปราณ!
“เริ่มแล้วๆ!”
“ฮ่าๆ ใครชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือ ของเล่นใหม่ๆ ที่เอามาอวดกันต่างหาก ทั้งโอสถ วัตถุเวท วงแหวนปราณ ไปจนถึงอสูร แค่คิดข้าก็ตื่นเต้นแล้ว!”
สานุศิษย์หลายหมื่นคนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ต่างจดจ่อไปกับฉากการต่อสู้บนหน้าจอ ลู่จื่อหาวที่เดินนำทางอยู่ก็เห็นว่ากลุ่มของตนมุ่งหน้าเข้าใกล้ทางแยกแล้ว เขาค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลงและนิ่วหน้าเมื่อหันไปมองหวังเป่าเล่อที่กำลังเดินชมนกชมไม้มาตลอดทาง
“หวังเป่าเล่อ ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือของเจ้า นี่เป็นการต่อสู้ของข้า เข้าใจไหม!”
“ใจเย็นน่า ข้าไม่ได้จะมาเพื่อแข่งกับเจ้า แต่ลู่จื่อหาว แค่เจ้าเลิกพ่นลมแบบเย่อหยิ่งก่อนเปิดปากพูดนี่มันยากมากหรือ เจ้านี่ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!” หวังเป่าเล่อปรายตามองลู่จื่อหาวด้วยความไม่พอใจ เขายกมือขึ้นคว้าเอากระบี่เหาะเหินห้าเล่มมาไว้ในมือก่อนที่ลู่จื่อหาวจะได้ตอกกลับ
“เอาไปสิ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังล่ะว่าข้าไม่ช่วยเจ้า กระบี่เหาะเหินเยือกแข็ง ห้าเล่มนี่ทรงพลังพอที่จะทำให้เจ้าชนะนัดแรกแบบสบายๆ แต่หากเจ้าพ่นลมแบบ ไร้มารยาทแบบนั้นอีก ข้าจะยึดมันคืน” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็น ก่อนโยน กระบี่เหาะเหินห้าเล่มนั้นให้ลู่จื่อหาว ด้วยท่าทีเหมือนโยนผักโยนปลา
ลู่จื่อหาวเดือดทันทีที่ได้ยินคำพูดยียวนนั่น และกำลังจะปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่ก็รู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากกระบี่เหาะเหินห้าเล่มนั้น ไอเย็นนั้นทรงพลังและ น่าตื่นตาตื่นใจมากจนเขาอดประหลาดใจไม่ได้ ชายหนุ่มเลือดร้อนสูดหายใจเข้าลึก ก่อนยื่นหน้าเข้าไปพิจารณาดูใกล้ๆ เขาเห็นทันทีว่าสิ่งที่ตนเองถืออยู่นั้นคือ อาวุธเวทระดับสองคุณภาพเยี่ยม!
คุณภาพล้ำเลิศของดาบที่อยู่ในมือนั้น มากพอที่จะทำให้ลู่จื่อหาวกลืนคำปฏิเสธลงคอไป เขาให้เหตุผลกับตนเองว่า เนื่องจากหวังเป่าเล่อเป็นผู้ช่วยในกลุ่มของตน จึงไม่ผิดกฎอะไรที่จะรับกระบี่เหาะเหินนี้มา ลู่จื่อหาวรีบรับอาวุธคุณภาพเยี่ยมนั้น ไว้แต่โดยดี แม้เขาจะอยากพ่นลมออกทางจมูกสักอีกรอบเพื่อแสดงความทะนงตน แต่ก็นึกถึงสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดออกมาเมื่อก่อนหน้าได้ จึงยอมเงียบไปแต่โดยดี ด้วยเหตุนี้ลู่จื่อหาวจึงเชิดหน้าหันหลังกลับและก้าวเดินต่อไป ตาก็มองไปที่ ทางแยกนั้นเขม็ง
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นท่าทีของลู่จื่อหาวที่พยายามจะสะกดความยโสเอาไว้ ก็อดขำคนเดียวในใจไม่ได้ เขาคิดกับตนเองว่าท่าทีของตนที่โยนกระบี่เหาะเหินไปให้ลู่จื่อหาวแบบไม่สนอกสนใจนั้น ช่างแสนน่าประทับใจเสียนี่กะไร และดูเหมือนฉากนั้นจะทำให้เขาคุมลู่จื่อหาวได้อยู่หมัด ในที่สุดหวังเป่าเล่อและลู่จื่อหาวก็เดินมาเยียบ ทางแยกทางแรกของพวกเขา
ทั้งสองยืนอยู่ตรงจุดที่ถนนสองสายมาบรรจบกันพอดิบพอดี บริเวณนั้นไม่ได้กว้างใหญ่อะไร ทั้งสองมองเห็นฉากโปร่งแสง ที่กันไม่ให้พวกเขาข้ามไปยังถนนที่รวมสายเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าต้องเอาชนะอีกกลุ่มให้ได้ก่อน ฉากโปร่งแสงนั้นจึงจะเปิดออกให้พวกเขาไปต่อได้
ทันทีที่คู่หูทั้งสองเดินมาถึงทางแยกนั้น ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากถนนอีกสาย มวลพลังของผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ทวีความรุนแรงขึ้นขณะคู่ต่อสู้คืบเข้ามาใกล้
“สองคนนั้นเป็นรุ่นพี่จากตำหนักการยุทธ์!” ลู่จื่อหาวเอ่ยด้วยความคุ้นหน้า ทั้งสองเป็นอย่างดี เขาปลุกผนึกในมือเพื่อปากระบี่เหาะเหินเยือกแข็งทั้งห้าเล่มออกไปด้วยความเร็วสูง เพื่อเตรียมตัวเข้าประมือกับคู่ต่อสู้ ทันใดนั้นไอเย็นเยือกก็โหมซัดเข้ามาในบรรยากาศ
“จื่อหาว อัดมันเลย! ไม่ต้องกลัว! ข้าจะช่วยให้เจ้าโด่งดังเอง หลังจากการประลองนี้จบลง เจ้าจะต้องกลายเป็นคนดังในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง!” หวังเป่าเล่อตะโกน เสียงดังเพื่อปลุกใจลู่จื่อหาว ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ชายหนุ่มหัวเราะ อย่างเมามัน ก่อนจะสะบัดมือหยิบเอาถังใบเล็กออกมาหนึ่งใบจากกำไลคลังเวท และโยนมันขึ้นไปในอากาศ
เสียงระเบิดดังสนั่น ถังใบเล็กนั้นกระจุยออกกลางอากาศ พลุสีสันสวยงามสว่างไสว ก็พลันระเบิดขึ้น ทันใดนั้น ความสนใจของผู้ชมบนอัฒจันทร์ก็พุ่งมาทางเขาทั้งสองคนในทันที เมื่อพลุสีสันสวยงามของหวังเป่าเล่อระเบิดขึ้นกลางอากาศ หน้าจอที่แสดงภาพของหวังเป่าเล่อและลู่จื่อหาวก็เต็มไปด้วยแสงสีตระการตา โดดเด่นออกมาจากทะเลหน้าจอนับพัน นี่ทำให้ทุกคนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงหันมาจ้องพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนจุดพลุ! ตาข้าไม่ได้ฝาดไปใช่ไหมนี่”
“หมอนั่นตั้งใจทำอะไรกันนะ”
ความประหลาดใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในหมู่ผู้ชมบนเกาะ แต่ยังกระจายตัวไป ทั่วกลุ่มเหล่าทัพและเจ้าพนักงานระดับสูงจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนอัฒจันทร์กลางอากาศด้วย เหล่าเจ้าพนักงานจากสหพันธรัฐก็แปลกใจไม่แพ้กัน ทุกคนเป็นขาประจำของการประลองประจำตำหนักการยุทธ์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มี คนทำอะไรแปลกๆ แบบนี้
เมื่อความสนใจของทุกคนพุ่งตรงมา แน่นอนว่าศิษย์รุ่นพี่ทั้งสองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“หมอนั่นมันทำบ้าอะไรเนี่ย”
“มันจะใช้เล่ห์กลกับเราอย่างนั้นหรือ”
ทั้งสองตกใจแบบไปต่อไม่ถูก หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก ขณะที่กระบี่เหาะเหินเยือกแข็ง พุ่งเข้ามาใกล้ ทั้งสองก็ปลุกทักษะเวทเพื่อให้การเคลื่อนไหวของตนเร็วขึ้นหลายเท่า แม้กระบี่เหาะเหินจะเฉียดพวกเขาไปจนเป็นรอยถลอก แต่ทั้งสองก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อในทันที
ดูก็รู้ว่าศิษย์รุ่นพี่ทั้งสองไม่รู้จักหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นชายหนุ่มปล่อยวิชาพลุที่ดู ทรงพลังออกมา ทั้งสองจึงตัดสินใจจัดการเจ้าอ้วนนี่ก่อน ค่อยหันกลับมากำจัด ลู่จื่อหาวที่ดูโค่นยากกว่า
เมื่อเห็นว่าไม่เป็นไปตามแผน หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระสับกระส่าย ระยะเวลาที่พลุของเขาใช้งานได้มีอยู่จำกัด หวังเป่าเล่อตั้งใจดึงดูดความสนใจของฝูงชนให้พุ่งมาที่ลู่จื่อหาว เพื่อให้เขาได้แสดงกระบวนท่าน่าประทับใจจากกระบี่เหาะเหินเยือกแข็ง เมื่อเห็นว่าปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ไม่ได้ เขาจึงก้าวถอยหลังไปและตะโกนว่า “อย่าได้วู่วามเลย ศิษย์พี่ทั้งสอง! ข้ามาจากตำหนักอาวุธเวท มีหน้าที่เพียงหลอมอาวุธเพื่อช่วยกลุ่มของข้าในการแข่งเท่านั้น พวกเจ้าหันไปต่อสู้กับ ลูกชายข้าเถอะ!”