บทที่ 184 อาวุธลับ!
“ไม่ใช่เพียงปลีกตัวออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่มาเข้ารับตำแหน่งในกองทัพนักรบตลอดไป!” ดวงตาของแม่ทัพโจวลุกโชน เสียงของเขาทุ้มและดูน่ากลัวเป็นวิสัย
“ข้า…” หวังเป่าเล่ออึ้งหลังจากฟังคำของอีกฝ่ายจบ ทุกอย่างดูกะทันหันไปหมด ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าจะมีจุดประสงค์อื่นซุกซ่อนอยู่ภายใต้สงครามที่เกิดขึ้น
หากมองในมุมของสหพันธรัฐ ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น เขาเองก็ควรจะเสียสละเพื่อส่วนรวม หวังเป่าเล่อศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาก่อนจึงพอเข้าใจได้ แต่อย่างไรก็ดี ในฐานะผู้น้อยคนหนึ่งที่ผูกพันกับสหายนักรบทั้งหลาย ชายหนุ่มจึงชิงชังการเสียสละนั้นเหลือเกิน
หากข้าเป็นผู้นำสหพันธรัฐ ข้าจะตัดสินใจอย่างไรหนอ…หวังเป่าเล่อเงียบงัน แม้จะทำนายอนาคตไม่ได้ แต่เชื่อมั่นว่าหากวันนั้นมาถึง เขาจะเลือกทำตามหัวใจของตัวเองแน่นอน
ราวกับว่าแม่ทัพโจวไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายต้องตัดสินใจทันที เขาจึงมองเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ข้ารู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เจ้าต้องตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน ฉะนั้น เจ้าไม่ต้องรีบให้คำตอบข้าหรอก”
แม่ทัพโจวแจกแจงข้อดีข้อเสียไปหมดแล้ว จากนี้หวังเป่าเล่อจะเลือกทางใด ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาแล้ว ฉะนั้นพอเห็นหวังเป่าเล่อมีทีท่าลังเลและถามคำถาม เขาจึงกระตือรือร้นจะอธิบายเพิ่มทันที
“ท่านแม่ทัพโจว เอ่อ…หลังจากเข้าร่วมในกองทัพนักรบแล้ว ในอนาคตข้าจะยังสามารถขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐได้อยู่หรือไม่ขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ” แม่ทัพโจวผงะ สีหน้านั้นดูฉงน
“ผู้นำสหพันธรัฐน่ะขอรับ” ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่แม่ทัพโจวตอบกลับมา ชายหนุ่มก็รีบยั้งปากไม่ให้หลุดเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านั้น ก่อนเอ่ยย้ำอีกครั้งและมองอีกฝ่ายด้วยความคาดหวัง
“…กองทัพนักรบไม่อาจมาข้องเกี่ยวกับการเมืองได้ ถ้าอยากขึ้นไปเป็น ผู้นำสหพันธรัฐ เจ้าก็ต้องทำการปฏิวัติเท่านั้น เจ้าวางแผนจะก่อการปฏิวัติอย่างนั้นหรือ” แม่ทัพโจวตอบกลับอย่างสุขุมในชั่วครู่หนึ่ง
เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำตอบ ก็ตัวสั่นเทิ้มแล้วหัวเราะเจื่อนๆ
“ท่านกล่าวว่าการเข้าร่วมกองทัพนักรบนั้นมิใช่เรื่องด่วน เพราะฉะนั้น…ข้าขอไปคิดให้ดีก่อนแล้วกันขอรับ”
แม่ทัพโจวนิ่งเงียบมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“หวังเป่าเล่อ กองทัพนักรบไม่ได้มีดีแค่ที่เจ้าเห็นหรอกนะ รู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงบอกว่าต่อให้สหพันธรัฐเกิดความขัดแย้งวุ่นวาย กองทัพนักรบก็ยังลอยตัวเหนือปัญหาได้”
ชายหนุ่มไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเลยแม้แต่น้อย จึงได้แต่ส่ายหน้าสับสน แต่ครั้นเห็นแม่ทัพโจวมั่นใจขนาดนั้น ก็รู้สึกเชื่อมั่นในชายผู้นี้ขึ้นมาบ้าง
แม่ทัพโจวหันกลับมามองแผนที่ โดยไม่สนใจสีหน้าของอีกฝ่าย ก่อนเอามือ ไขว้หลังและพูดขึ้นอย่างสงบ
“แม้ว่าจำนวนของผู้ฝึกตนในกองทัพจะน้อยกว่ากองกำลังอื่นๆ และสมบัติสืบทอดของเราไม่ได้มั่งคั่งนัก แต่เรามีอาวุธลับซุกซ่อนอยู่!” แม่ทัพโจวหันมองหวังเป่าเล่อหลังจากพูดจบประโยค และรอให้ชายหนุ่มถามต่อ
ความจริงแล้ว เขาไม่คิดจะบอกข้อมูลมากมายนักเกี่ยวกับเรื่องอาวุธลับนี้ เพียงแค่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าการเข้าร่วมกับกองทัพนักรบนั้นเป็นทางเลือกที่ ถูกต้องแล้ว แล้วค่อยทำทีเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อชายหนุ่มซักไซ้ จงใจจะกระตุ้น ความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายเท่านั้น เพราะเขาเองก็เคยเป็นเด็กวัยรุ่นอยากรู้อยากเห็นมาก่อน
ทว่าหวังเป่าเล่อกลับนิ่งเฉย เขารู้ว่าอาวุธลับที่แม่ทัพโจวเอ่ยถึงทำให้สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ชายหนุ่มรู้ทันกลยุทธ์ยั่วให้อยากแล้วจากไปเช่นนี้มาตั้งแต่ สามขวบ และคาดเดาได้ว่าหากถามกลับ แม่ทัพโจวจะต้องพยายามพูดอะไรเป็นปริศนากว่านี้อีกแน่ ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่ หวังเป่าเล่อจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไรกลับไป
แม่ทัพโจวคอยอยู่อย่างนั้นจนทนไม่ไหว เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ถามกลับดั่งที่คาดไว้ตอนแรก
ชายหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป จึงถอนหายใจ และรู้ว่าชายผู้นี้เก่งกล้าสามารถมากกว่าตนนัก จึงไม่อาจยอมแพ้และเสียหน้าได้ ชายหนุ่มจึงยอม เปิดปากถาม “อาวุธลับนั่นคืออะไรหรือขอรับ”
แม่ทัพโจวสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินคำของหวังเป่าเล่อ และพอจะมองเล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่ายออก แต่คิดว่าอย่างไรหวังเป่าเล่อก็จำเป็นต้องรับรู้ถึงอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่แห่งกองทัพนักรบอยู่ดี จึงเงยหน้าทอดสายตาราวกับมองทะลุผ่านผนังของกระโจมออกไปยังท้องฟ้าไกล ก่อนจะเริ่มพูดอย่างใจเย็น
“ตั้งแต่มีปราณวิญญาณปรากฏขึ้น ปฏิกิริยานิวเคลียร์ต่างถูกรบกวน จนทำให้ระเบิดปรมาณูทั้งหลายบนโลกไม่อาจทำงานได้ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทัพนักรบสามารถสร้างระเบิดหลุมดำชั้นรองขึ้นมาได้สำเร็จสองลูก อานุภาพของมันรุนแรงยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก
“ระเบิดหลุมดำชั้นรองทั้งสองลูก คืออาวุธลับของกองทัพนักรบนั่นเอง!”
หวังเป่าเล่อซึ่งตอนแรกวอกแวกอยู่ กลับตื่นตัวขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งที่แม่ทัพโจวบอก ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง และอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง
“มันคืออะไรหรือขอรับ”
แม้ว่าชายหนุ่มจะเกิดในยุคกำเนิดวิญญาณ และไม่เคยเห็นยุคปฏิวัติเทคโนโลยีก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณจะพุ่งมาปักดวงตะวัน แต่เขาก็พอจะเข้าใจความรุนแรงและพลานุภาพของระเบิดปรมาณู จากการอ่านตำราประวัติศาสตร์ของท่านพ่อ ท่านแม่อยู่บ้าง
หวังเป่าเล่อคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่าปราณวิญญาณจะเปลี่ยนองค์ประกอบของ วัตถุสสาร และกลายสภาพมันเป็นพลังรูปแบบใหม่ พลังนั้นทำให้วิทยาการส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปจากยุคกำเนิดวิญญาณ ดังนั้นคำพูดของแม่ทัพโจวจึงฟังดูแปลกประหลาดและน่าสงสัย
“ระเบิดหลุมดำชั้นรองที่ข้าพูดถึงคือ ระเบิดชนิดหนึ่งที่ถ้าระเบิดขึ้นพร้อมกัน สักยี่สิบลูก ก็สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดและแบ่งโลกออกเป็น สองส่วนได้เลยทีเดียว…นี่ละคืออานุภาพของระเบิดหลุมดำชั้นรอง!” เมื่อเห็นว่า หวังเป่าเล่อชะงักไป แม่ทัพโจวก็รู้สึกโล่งอก เขาผายมือออกแล้วเอ่ยอย่างสุขุม
“น่าเสียดายที่กระบวนการหลอมระเบิดหลุมดำชั้นรองช่างท้าทายและยากเย็นนัก วัตถุดิบในการหลอมก็หายากยิ่ง ทำให้หลายปีที่ผ่านมานั้น พวกเราสามารถหลอมมันได้สำเร็จเพียงสองลูกเท่านั้น แถมยังไม่ทรงพลังเท่าระเบิดหลุมดำของจริง และไม่มีอานุภาพเพียงพอที่จะกวาดล้างเหล่าอสูรได้ มีอสูรชั่วร้ายอยู่รายล้อมไปทั่ว และอาจมีอสูรในตำนานหลงเหลืออยู่ด้วยเช่นกัน…
“กระนั้น ระเบิดหลุมดำชั้นรองทั้งสองลูกก็ยังคงมีพลานุภาพช่วยปราบปราม พวกมันได้ บางครั้งมีไว้ไม่ได้ใช้ กลับมีประสิทธิภาพมากกว่าหยิบมาใช้จริงๆ เสียอีก!
“ข้าเพิ่งเล่าให้เจ้าฟังเองว่าชายแดนของสหพันธรัฐนั้นปลอดภัยมาถึงยี่สิบปี นั่นก็เป็นผลมาจากระเบิดหลุมดำชั้นรองทั้งสองลูกนี้เช่นกัน”
หวังเป่าเล่อหายใจติดขัดเล็กน้อย จิตใจของเขาปั่นป่วน เริ่มรู้สึกว่าแม่ทัพโจว ตรงหน้ายิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งกว่าเก่า แถมกองทัพนักรบก็ดูลึกลับน่าค้นหาขึ้นถนัดตา
ท่าทีประหลาดใจของชายหนุ่มหลังได้ยินเรื่องราว ทำให้แม่ทัพโจวพอใจ ก่อนพูดขึ้นอย่างช้าๆ อีกครั้ง
“จงอย่าดูหมิ่นความเก่งกาจทางวิทยาการของสหพันธรัฐ แม้ว่าการกำเนิด ปราณวิญญาณจะเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างก็จริง แต่ปัจจุบันสหพันธรัฐ กำลังศึกษาวิธีหลอมรวมปราณวิญญาณเข้ากับระเบิดหลุมดำชั้นรอง ประกอบกับความรู้ทางอาวุธเวทเพื่อสร้างระเบิดปฏิสสารของจริง หรือในอีกชื่อก็คือระเบิด หลุมดำนั่นเอง ไม่สิ เรียกว่าระเบิดปฏิวิญญาณน่าจะเหมาะสมกว่า!
“หากเราหลอมมันได้สำเร็จ สหพันธรัฐจะมีอำนาจล้นพ้นประหนึ่งพระเจ้าเลยทีเดียว!” หลังจากพูดจบ น้ำเสียงของแม่ทัพโจวก็ดูผ่อนคลายลง เขาหันมอง หวังเป่าเล่อซึ่งยังคงนิ่งงันด้วยความตกตะลึง ก่อนหัวเราะร่าแล้วยื่นเหรียญตราหยกเหรียญหนึ่งให้แก่ชายหนุ่ม
“เหรียญตรานี้เป็นสัญลักษณ์แทนมิตรภาพจากพวกเรากองทัพนักรบ เจ้าสามารถใช้เหรียญตรานี้เรียกขอความช่วยเหลือจากปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด รวมถึงตัวข้าเป็นอะไรก็ได้หนึ่งครั้ง ตราบใดที่ไม่ละเมิดกฎของสหพันธรัฐ!”
หวังเป่าเล่อหายใจถี่ระรัวขณะรับเหรียญตรานั้นมา ชายหนุ่มยังคงงุนงงไม่หาย หัวสมองของเขายังคงตะลึงกับสิ่งที่แม่ทัพโจวเอ่ยขึ้นก่อนหน้าเกี่ยวกับระเบิดหลุมดำชั้นรอง เขาหายใจเข้าลึก แม้ยังคงสับสน แต่สงบจิตใจลงได้บ้าง ก่อนมองดู เหรียญรางวัลในมือ และรับรู้ได้ทันทีว่ามันมีค่ายิ่ง
ข้าสามารถขอความช่วยเหลือจากปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด หรือแม่ทัพโจวได้ หนึ่งครั้งอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มหรี่ตาลง เพิ่งตระหนักว่าตนได้รับรางวัลใหญ่ ประดุจเครื่องรางของขลังก็ไม่ปาน ต่อให้ไม่ได้ใช้สิทธิพิเศษที่ได้รับ เขาก็ยังสามารถใช้ เหรียญตรานี้ขู่คนอื่นได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงหายใจเข้าลึกก่อนประสานมือคารวะ แม่ทัพโจว
“ขอบพระคุณขอรับ แม่ทัพโจว!”
แม่ทัพโจวยิ้มเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเห็นถึงคุณค่าของเหรียญตราหยกนั้น
“ข้าจะบันทึกความดีความชอบของเจ้าเอาไว้ แล้วส่งฉบับหนึ่งไปให้สหพันธรัฐ และอีกหนึ่งฉบับจะส่งให้กับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม” หลังพูดจบ เขาเหมือนคิดอะไรบางอย่างก่อนถามชายหนุ่มต่อ
“หวังเป่าเล่อ เจ้าดัดแปลงปืนใหญ่สวรรค์อย่างไรหรือ”
ชายหนุ่มรีบดึงแผ่นหยกออกจากกำไลคลังเวทและยื่นให้แม่ทัพโจวอย่างไม่ลังเล เขาเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มานาน เพราะรู้ว่าผู้คนต่างพากันสนใจพลังของ ปืนใหญ่สวรรค์ แม้ว่าเขาเองยังไม่แน่ใจนักว่าตัวเองควบคุมความเปลี่ยนแปลงของมันได้อย่างไร แต่ก็ได้บันทึกบรรดาอักขราจารึกบนปืนใหญ่สวรรค์หลังจากดัดแปลงแล้วได้เกือบครบถ้วน
หวังเป่าเล่อไม่คิดปกปิดข้อมูลเหล่านั้น เพื่อให้ป้อมปราการทั้งหลายสามารถเพิ่มกำลังการสู้รบได้ ชายหนุ่มจึงบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับอักขราจารึกเอาไว้ทั้งหมด
แต่กระนั้น เขาก็รู้ว่าการดัดแปลงอาวุธเวทและทำความเข้าใจกลไกของ ปืนใหญ่สวรรค์ในเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยากและท้าทาย ต้องใช้เวลาในการทดลองหลายครั้งกว่าจะสำเร็จผล
หวังเป่าเล่อคิดว่าจะอธิบายวิธีการหลอมดัดแปลงของตนให้คนอื่นเข้าใจได้ ต้องไม่ลงรายละเอียดมากเกินไป สิ่งสำคัญคือแรงบันดาลใจและโชคชะตา อย่างไรเขาก็เป็นเพียงนักหลอมอาวุธเวทประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ที่รู้รอบใน ตัวอักขราจารึกเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น
แม่ทัพโจวรับแผ่นหยกมา และมองอีกฝ่ายพลางยิ้มอย่างอบอุ่น ชายหนุ่มทำ ความดีความชอบให้แก่ปราการแห่งนี้ และยังเป็นศิษย์เอกแห่งสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ดังนั้นต่อให้หวังเป่าเล่อไม่มอบแผ่นหยกนี้ให้ เขาก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายการฉกฉวยของของผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องน่าอับอาย ที่โจวเต๋อสี่ผู้นี้ไม่เคยคิดอยากจะทำ
เขาพูดคุยกับเด็กหนุ่มต่ออีกสักพักแล้วตัดจบบทสนทนา ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมามองแม่ทัพโจวเพื่อสอบถามข้อสงสัย
“เอ่อ…ท่านแม่ทัพโจวขอรับ ท่านพอมีเขี้ยวอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นสะสมไว้บ้าง รึเปล่าขอรับ ข้าอยากนำมันมาหลอมวัตถุเวท…”
แม่ทัพโจวหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนตวัดมือหนึ่งครั้ง เขี้ยวอสูรสีดำสามชิ้นพลันปรากฎให้เห็นลอยอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่าย
“อวัยวะทุกชิ้นส่วนของราชันอสูรนั้นเป็นสมบัติมีค่า ตอนนี้เมื่อได้รับการบันทึกลงในคลังแล้ว ข้าจึงไม่อาจมอบให้เจ้าได้ทันที จงรอไปก่อนอีกสักพักหนึ่ง แล้วข้าจะมอบเขี้ยวของราชันอสูรให้เจ้าเป็นการตอบแทน ตอนนี้ข้าจึงขอมอบเขี้ยวอสูร ขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสามชิ้นนี้ให้เจ้าก่อนแล้วกัน”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายทันทีที่เห็นเขี้ยวอสูรเหล่านั้น หลังจากน้อมรับ มันเอาไว้ ชายหนุ่มก็เอ่ยคำลาและจากไปอย่างร่าเริง เขาตามไปสมทบกับเฉินอวี่ถง และรีบโดยสารเรือบินกลับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับศิษย์พี่เฉิน โจวเผิงไห่ และซุนฟางทันที
ขณะที่เรือบินลอยขึ้นท้องนภาและพุ่งทะยานไป ทั้งสี่ยืนอยู่บนเรือบินมองดู ป้อมปราการด้านล่างค่อยๆ เล็กลงทุกที พวกเขาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน บ้างก็รู้สึกเศร้าและยังไม่อยากจากไป บ้างก็รู้สึกสับสนและขมขื่น ทุกคนต่างเป็นกังวล แม้ว่าเหตุการณ์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเริ่ม ส่อเค้าแล้ว
ขณะเดียวกัน แม่ทัพโจวเองก็เดินออกมานอกกระโจมนักรบ แล้วแหงนหน้ามองเรือบินของหวังเป่าเล่อและพรรคพวกอยู่เป็นเวลานานด้วยแววตาชื่นชม
เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนช่างคิด เข้าใจผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี ทั้งยังซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ แต่ก็เด็ดขาดและโหดเหี้ยม ดูเหมือนจะอารมณ์ร้อนพอตัวเหมือนกัน…ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว นี่สิคือเมล็ดพันธุ์ชั้นดี