Skip to content

A World Worth Protecting 189

บทที่ 189 ปืนใหญ่เป่าเล่อ

หวังเป่าเล่องุนงงและสั่นเทิ้มครั้นเห็นบรรยากาศแปลกประหลาดของสถานที่ตรงหน้า ชายหนุ่มสังเกตเห็นเงาตะคุ่มของเหล่าผู้ฝึกตนซึ่งนั่งประจำอยู่คนละยอดเจดีย์ประมาณเจ็ดถึงแปดองค์ พวกเขาเองก็เป็นสานุศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงผู้ปรารถนาจะบรรลุปราณทั้งสิ้น

สายฟ้าแลบพร้อมเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง พวกเขาต้านทานสายฟ้าเหล่านั้นได้   มากน้อยแตกต่างกัน บางคนต้านทานการโจมตีได้ แต่บางคนก็หายวับออกจากมิติเวทไปทันที

น่ากลัวนัก! หวังเป่าเล่อหนังตากระตุก รู้สึกลังเลพลางกัดฟันกรอด ก่อนจะสะบัดร่างกายไปมาและทะยานขึ้นไปยืนตรงยอดเจดีย์ใกล้ๆ องค์หนึ่งอย่างไม่สนใจผู้ใด  และแหงนหน้ามองสรวงสรรค์ด้านบน

มีสายฟ้าทั้งหมดสี่สิบครั้ง…ทุกครั้งที่มันฟาดผ่าลงมาจะรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้าเสมอ ในทุกแปดสายฟ้าที่ต้านทานได้ ผู้ฝึกตนจะค้นพบหนึ่งกระบวนเวทจากสายฟ้าเหล่านั้น! คำอธิบายสั้นๆ จากที่เคยอ่านในเครือข่ายวิญญาณผุดขึ้นมาในหัวของ     หวังเป่าเล่อ ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าลึกและเริ่มโคจรปราณภายในร่างกาย

ทันใดนั้น เกิดเสียงฟ้าร้องกึกก้องสวรรค์ สายฟ้าจากท้องนภาฟาดลงมาโดย      มุ่งหมายจะทำลายทุกสิ่งด้วยความเร็วอันน่าตกใจ เป้าหมายของมันคือ…หวังเป่าเล่อ!

ลำแสงนั้นราวกับเป็นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ฟาดร่างของชายหนุ่มอย่างรวดเร็วทันทีที่มองเห็น

เสียงฟ้าคำรามดังลั่นในอากาศ เขาเบิกตากว้าง ตัวสั่นสะท้านไปทั่วแบบไม่อาจควบคุมได้ มีเสียงอื้ออึงดังอยู่ในหัว สายฟ้าฟาดนั้นราวกับเป็นวิญญาณงูทองคำซึ่งเลื้อยผ่านทั่วร่างกายโดยไม่หยุดพัก ทำให้ปราณวิญญาณผลึกในกายของเขาปั่นป่วนจนสลายไปอย่างรวดเร็ว

ได้ผล! หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความระทึกขวัญจากการโดนไฟดูด จนขนหัวลุกชันและดวงตาเปิดกว้าง

สายฟ้านั้นทรงพลังมาก แต่ชายหนุ่มสามารถทนทานไหวเพราะถูกไฟดูดมาบ่อยครั้งในมิติเวท จนคิดว่ามันไม่เจ็บปวดมากนัก โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ว่าผลึก      ภายในกายนั้นกำลังแตกสลาย

สายฟ้าฟาดทำลายผลึกนั้น ส่งผลให้ปราณวิญญาณแผ่กระจายจนเติมเต็มร่างกายโดยพุ่งผ่านเส้นปราณ กระแสปราณวิญญาณนั้นค่อยๆ ไหลรวมกันกลายเป็น       แม่น้ำกว้าง

นอกจากผลึกภายในกายจะทลายลงจนปลดปล่อยปราณวิญญาณออกมาแล้ว แรงกระตุ้นจากสายฟ้าฟาดยังทำให้กายภาพของหวังเป่าเล่อดูดกลืนปราณวิญญาณเพื่อบำรุงร่างกายจนแข็งแกร่งขึ้นไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

ชายหนุ่มหายใจหอบถี่อย่างตื่นเต้นและร่าเริงยิ่งขึ้น ก่อนเงยหน้าและชี้นิ้วขึ้น  ท้องนภาราวกับเป็นสายล่อฟ้า

“แน่จริงก็ฟาดลงมาอีกครั้งสิ!”

เขาเอ่ยเสียงดัง จนบรรดาศิษย์อีกสองสามคนรอบข้างซึ่งกำลังต้านทานสายฟ้าอยู่ได้ยินเข้าและหันมามองอย่างผวา แต่ก็ไม่อาจหันมาสนใจได้นานนัก เพราะต้องรีบกลับมาต้านทานสายฟ้าของตนเองต่ออย่างมุ่งมั่น

ไม่นานนักหวังเป่าเล่อก็ถูกสายฟ้าฟาดซ้ำเป็นครั้งที่สอง แรงปะทะนั้นรุนแรงยิ่งกว่ารอบแรกนัก

ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน พลันรู้สึกตื่นเต้นเมื่อผลึกแก้วแตกสลายเพิ่ม           เขายอมรับความเจ็บปวดอย่างดื้อด้าน ก่อนจะทนถูกสายฟ้าฟาดเป็นรอบที่สามและสี่ติดต่อกัน

สายฟ้าฟาดผ่านร่างกายนั้นก่อให้เกิดความเจ็บปวดทวีขึ้นราวกับเป็นมีดกรีดภายใน

สุดท้ายแล้ว หลังจากโดนสายฟ้าฟาดไปสี่ครั้งก็ไม่อาจต้านทานต่อไปได้           แม้ผิวหนังจะหนาทนและปราณวิญญาณจะเปี่ยมล้นเพียงใด แต่ก็ต้องยอมแพ้       และหายวับออกไปจากมิติเวทเขตอัสนีก่อน หวังเป่าเล่อหลบกลับมานั่งขัดสมาธิใน  ถ้ำที่พัก แล้วดูดกลืนปราณวิญญาณจากผลึกภายในกายของตนแทน

สองสามวันต่อมา หวังเป่าเล่อฟื้นฟูพลังกลับมาอย่างล้นเหลือ และรู้สึกได้ว่าระดับการฝึกตนของตัวเองนั้นก้าวกระโดดอย่างมาก หลังจากฟื้นคืนสภาพสมบูรณ์แล้ว เขาจึงมุ่งหน้ากลับไปยังมิติเวทเขตอัสนีอีกครั้งอย่างร่าเริง

ชายหนุ่มวนเวียนอยู่กับความท้าทายในมิติเวทเขตอัสนีวันแล้ววันเล่า และต้านทานสายฟ้าฟาดเพื่อทลายผลึกภายในกายได้มากขึ้น โดยจะอดทนจนถึงขีดสุด แล้วกลับมาปลดปล่อยปราณวิญญาณเพื่อดูดกลืนอย่างเร่งรีบภายหลัง

ระดับการฝึกตนของเขาค่อยๆ สูงขึ้น เช่นเดียวกับร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้อดทนต่อความรุนแรงของสายฟ้าฟาดได้มากขึ้น จนต้านทานสายฟ้าฟาดได้ถึงเจ็ดครั้งในคราเดียว!

การปรากฏตัวในมิติเวทเขตอัสนีของชายหนุ่มกลายจุดสนใจของใครหลายคน พวกเขามองว่าการต้านทานพลังสายฟ้าฟาดได้ถึงหกหรือเจ็ดครั้งของหวังเป่าเล่อนั้นน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง

เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักจะทนสายฟ้าฟาดได้เพียงแค่สองครั้ง หรือมากสุดก็     สามครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาลองใหม่เป็นครั้งที่สองทันที ส่วนใหญ่จะรอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อน แต่ในช่วงแรกๆ เขากลับหายไปเพียงสามสี่วัน      ก่อนจะกลับมาทดลองอีกครั้ง แล้วระยะเวลาก็ค่อยๆ สั้นลง จนมาบ่อยแทบทุกวัน…

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างไม่อยากจะเชื่อ

“เหตุใดเขาต้องมาทุกวันด้วย”

“ร่างกายของเจ้านั่นทนได้อย่างไรกัน”

“ลองดูสีหน้าประหลาดนั่นสิ เหมือนกับ…เจ้าบ้าเอ้ย เหตุใดเขาจึงดูสนุกขนาดนั้น!”

หวังเป่าเล่อรู้สึกผ่อนคลายภายใต้สายตาฉงนของฝูงชนทั้งหลาย แม้ว่า        สายฟ้าฟาดในตอนท้ายจะทวีความรุนแรงอย่างสูง แต่ปราณวิญญาณซึ่งหลั่งไหลจากการสลายของผลึกภายในกายก็ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดลง ระดับการฝึกตนและพละกำลังนั้นเพิ่มพูนขึ้นจนกล้าแกร่ง ทำให้ต้านทานสายฟ้าฟาดได้อย่างดี

และยังคงเป็นเช่นนั้นวนไปเรื่อยๆ จนครบหนึ่งเดือน เขาสามารถรับมือกับ   สายฟ้าฟาดได้เจ็ดครั้งติดต่อกัน ผลึกภายในกายสั่นไหว ก่อนปลดปล่อย             ปราณวิญญาณออกมา ทำให้ระดับการฝึกตนของชายหนุ่มเลื่อนไปอีกหนึ่งขั้น!

ตอนนี้เขาบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สอง และขึ้นสู่ขั้นที่สามเป็นที่เรียบร้อย!

เมื่อบรรลุการฝึกตนแล้ว ปราณวิญญาณภายในเส้นปราณของร่างกายจึงแปรเปลี่ยนจากกระแสน้ำขนาดเล็กกลายเป็นลำธารอันกว้างขวาง ซึ่งไหลผ่านร่างกายอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่แทนที่จะหายตัวหนีไป หวังเป่าเล่อกลับรอคอยด้วยแววตากระหายแทน…และแล้วสายฟ้าก็ฟาดลงมาเป็นครั้งที่แปด!

สายฟ้าฟาดลูกที่แปดนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ มันมีสีแดงก่ำ เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ฝึกตนอยู่ในบริเวณนั้นต่างตื่นตระหนกเมื่อมองสายฟ้าสีแดงเข้มนี้พุ่งมาจาก          สรวงสรรค์ ก่อนฟาดใส่ร่างหวังเป่าเล่อเต็มๆ

ร่างของชายหนุ่มกระตุกราวกับถูกฉีกขาด และรู้สึกว่าผลึกภายในกายแตกสลายอย่างรุนแรง ชั่วขณะนั้นเอง จู่ๆ กระบวนท่ากวัดแกว่งอัสนีก็ปรากฏขึ้นมาในหัวโดยทันที

เสมือนว่ากระบวนท่ากวัดแกว่งอัสนีนี้ฝังเข้าในร่างกายและประทับลงบน          จิตวิญญาณของเขาโดยตรง กลายเป็นอักษรปราณที่ยังไม่สมบูรณ์ผุดขึ้นในใจเขา!

หากใครไม่เคยศึกษามาก่อน คงไม่มีทางเข้าใจอักษรปราณที่ส่องแสงริบหรี่อยู่    นี้ได้ แต่หลังจากความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมาจางหายไป หวังเป่าเล่อก็เหมือนจะเข้าใจความหมายของอักษรปราณนี้ได้โดยสัญชาตญาณ

มันคือ…หนึ่งในกระบวนเวททั้งห้าของมิติเวทเขตอัสนี!

ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องอึกทึก ชายหนุ่มไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป จึงรีบหายตัวออกจากมิติเวทเขตอัสนีทันที เขาเดินตุปัดตุเป๋จนสะดุดล้ม เลือดกระอักออกจากปาก แต่ทว่าดวงตานั้นกลับสดใสเบิกบาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงดัง

ข้าทำสำเร็จ! หวังเป่าเล่อยันตัวลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นพลางลูบบั้นท้ายตัวเอง ก่อนจะยกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นคลื่นประกายไฟขนาดเล็กจิ๋วปรากฏขึ้นที่นิ้วมือ ภายในนิ้วนั้นมีพลังงานไฟฟ้าประจุอยู่ภายใน เหล่าศิษย์หลายคนซึ่งยืนออกันตรงทางเข้ามิติเวทต่างพากันตกใจ บางคนถึงกับตะโกนร้องสุดเสียง

“ประกายสายฟ้า!”

ประกายสายฟ้าคือ กระบวนเวทแรกสุดของกระบวนเวททั้งห้าจากมิติเวทเขตอัสนี   ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั้นมีผู้ที่เคยได้รับกระบวนเวทนี้น้อยคนนัก ดังนั้นเมื่อมีใครครอบครองมันได้สำเร็จ จึงมักจะตกเป็นจุดสนใจเสมอ!

หวังเป่าเล่อไม่ตั้งใจจะเผยตัวโอ้อวดอะไรท่ามกลางความตื่นตระหนกของฝูงชนนั้น    จึงรีบขับเรือบินทรงหยดน้ำของตนกลับถ้ำที่พัก ณ ตำหนักอาวุธเวท พลางพินิจดู     ฝ่ามือซึ่งมีประกายสายฟ้า ก่อนจะพลิกไปมาจนเกิดเป็นเปลวเพลิงลุกโชน เขาตื่นเต้นเกินกว่าจะบรรยาย และรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นกล้าแกร่งขึ้นมาก

ตอนนี้ข้ามีวิทยายุทธสังหารอันยิ่งใหญ่ถึงสามแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนเวทเพลิงปะทุ กระบวนเวทประกายสายฟ้า และกระบวนท่าดัชนีเมฆา! ชายหนุ่มพึงพอใจอย่าง  เปี่ยมล้น และรู้สึกถึงปราณวิญญาณพลุ่งพล่านผ่านเส้นปราณราวกับแม่น้ำสายใหญ่ จนสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนนั้นแข็งแกร่งขึ้น ก่อนหัวเราะลั่นอย่างคุมไม่อยู่

ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สาม! ชายหนุ่มดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณห้าขวดรวดอย่างคึกคัก จากนั้นจึงเช็ดปากและลูบหน้าท้องเบาๆ ก่อนจะหยิบอาวุธเวทซึ่งจำเป็นต้องใช้สำหรับการหลอมปืนใหญ่สวรรค์ขึ้นมาด้วยแววตาเปี่ยมพลัง            ขณะกำลังนั่งขัดสมาธิ

ขั้นตอนต่อไปคือ การหลอมรวมสมบัติเวทให้สมบูรณ์เพื่อใช้ในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท! เขาหายใจเข้าลึกเพื่อสงบความร่าเริงในหัวใจ แล้วจึงเริ่ม       หลอมสมบัติเวท

ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า และแล้วก็เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ก่อน   การทดสอบองครักษ์อาวุธเวทจะเริ่มต้น แต่แล้วกลางดึกของคืนหนึ่งนั้น จู่ๆ ประตูถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อก็เปิดโพล่งออกในทันที โดยมีเจ้าของถ้ำที่พักวิ่งแจ้นออกมาจากด้านใน

ผมเผ้าของชายหนุ่มยุ่งเหยิง และดูเหน็ดเหนื่อย แต่ทว่าดวงตากลับฉายประกายสดใสเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะขับเรือบินแล่นออกจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง    ไปทางพงไพรซึ่งอยู่นอกนครศักดิ์สิทธิ์

หวังเป่าเล่อยืนบนเรือบินซึ่งลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเหนือเขตพงไพร            แล้วโบกมือขวาหนึ่งครั้งเพื่อเผยให้เห็นกระบอกยาวหนาเท่าแขนกระบอกหนึ่ง       เขาประคองมันไว้ในมือ สิ่งนี้มีสีดำและดูคล้ายกับกระบอกปืนใหญ่ ทั้งยังแผ่มวลพลังลึกลับอันเข้มข้นออกมา

นี่คือ ปืนใหญ่สวรรค์ดัดแปลงที่ข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือ! หวังเป่าเล่อลูบ    กระบอกปืนใหญ่อันเยือกเย็นนั้น ก่อนเล็งไปยังเนินเขาเบื้องล่างอย่างตื่นเต้นจน  ปราณวิญญาณในร่างกายของชายหนุ่มท่วมท้นออกมาภายนอก

ทันใดนั้น ปืนใหญ่กระบอกนั้นก็ยิงลำแสงจ้าออกมาจากภายใน ทำให้พื้นดิน     สั่นสะท้านจนเกิดเสียงกระหึ่มก้องท้องฟ้า ปืนใหญ่นั้นปลดปล่อยระเบิดแสงสีม่วงออกมา แรงปะทะจากการยิงนั้นสะท้อนกลับจนไหล่สั่นเทิ้ม แม้แต่เรือบินที่เขาโดยสารอยู่ยังกระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร

ลูกไฟพุ่งเข้าใส่เนินเขา ก่อนจะเกิดแรงระเบิดดังสนั่นไปทั่วอากาศจนหุบเขาสั่นสะเทือน แรงระเบิดกระแทกลงมาจากมุมสูง เกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์กว้างกว่า  สองเมตร!

หวังเป่าเล่อมองพลังทำลายล้างของปืนใหญ่ดัดแปลงนี้อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

พลานุภาพเช่นนี้…สูงเกินกว่าสมบัติเวทระดับสามขั้นสมบูรณ์ด้วยซ้ำ จัดเป็นระดับสี่ยังได้เลย!

ข้าจะขนานนามให้มันว่า…ปืนใหญ่เป่าเล่อ! ชายหนุ่มยืนบนเรือบินด้วยความภาคภูมิใจเปี่ยมล้น ก่อนชูปืนใหญ่สวรรค์นี้ขึ้นสู่ฟ้าด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

“เมื่อปืนใหญ่เป่าเล่อปรากฏขึ้นในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทนั้น จะมีผู้ใดต่อกรได้กันเล่า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version