บทที่ 190 การทดสอบองครักษ์อาวุธเวท
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นมากจนอยากลองยิงอีกสักสองสามนัด ร่างกายนั้นสั่นเทิ้ม ด้วยความสุข ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายสดใส
ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ว่าพลังยิงของสมบัติเวทชิ้นนี้ จะไม่เทียบเท่ากับปืนใหญ่สวรรค์ของจริงเพราะมันเป็นขนาดพกพา แต่ทว่ามันก็ มีคุณสมบัติอันทรงคุณค่าอย่างล้นเหลือ
ต่อให้มีสมบัติเช่นนี้อยู่เกลื่อนกลาดทั่วไป แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ในระดับ สี่หรือห้า พลังลูกไฟของพวกมันน่าทึ่งก็จริง แต่ก็ผลาญพลังงานไปมากโขเช่นกัน หากเทียบกันแล้วพวกมันไม่อาจทัดเทียมกับปืนใหญ่เป่าเล่อของข้าได้เลย! หวังเป่าเล่อยิงมันอีกนัดและจบการทดลองด้วยความประทับใจ ก่อนลูบปืนใหญ่ อีกสองสามครั้งแล้วเก็บลงกำไลคลังเวท เขาครวญเพลงและกลับสู่ถ้ำที่พักของตนในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงด้วยความเบิกบานใจ
ชายหนุ่มคำนวณเวลาและตระหนักว่าการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทนั้นจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น จึงตัดสินใจถอดแยกชิ้นส่วนของปืนใหญ่เป่าเล่อออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นในวันสำคัญที่กำลังจะมาถึง เพราะเคยรู้มาว่า มีศิษย์เอกบางคนถูกสั่งให้สร้างสมบัติเวทขึ้นใหม่ระหว่างการทดสอบ
หวังเป่าเล่อหลอมสมบัติเวทแยกชิ้นส่วนไว้ชุดหนึ่งสำหรับหลอมปืนใหญ่เป่าเล่อ เผื่อว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมวัตถุดิบและส่วนผสมให้เพียงพอสำหรับกรณีเลวร้ายที่สุดหากเขาจะต้องหลอมปืนใหญ่ตรงนั้นอีกครั้ง หลังจากเตรียมการเสร็จสิ้น จึงพักผ่อนเพื่อรอเข้าร่วมการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท อย่างสมศักดิ์ศรี
วันแห่งการทดสอบใกล้เข้ามามากขึ้น ทำให้บรรดาศิษย์เอกจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงซึ่งลงสมัครไว้ต่างเริ่มเตรียมตัวก่อนถึงวันจริง
โดยเฉพาะหลินเทียนหาว ตั้งแต่เขาย้ายออกจากถ้ำที่พักข้างๆ หวังเป่าเล่อ ก็มิได้ทะเลาะกับอีกฝ่ายเลย ถึงกระนั้นความเกลียดชังที่รอวันแก้แค้นยังคงฝังลึกในจิตใจ ชายหนุ่มมุ่งมั่นเพื่อจะผ่านการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท ก่อนจะหาโอกาส ชำระหนี้แค้น
เขาเตรียมตัวสำหรับการทดสอบอย่างรัดกุม โดยมิได้ตั้งเป้าหมายไว้เพียงแค่ ผ่านการทดสอบ แต่ต้องการเป็นที่หนึ่งเท่านั้น!
นับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผู้มีความสามารถระดับเขา ที่จะประสบความสำเร็จ ในเวลาอันสั้น แต่ด้วยตระกูลของชายหนุ่มมั่งคั่งนัก เขาจึงสามารถมุ่งมั่นหลอม สมบัติเวทได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย มิหนำซ้ำทางตระกูลยังเชิญปรมาจารย์จากสหพันธรัฐมาช่วยชี้แนะให้เป็นการส่วนตัวอีกต่างหาก ความพยายามนั้นจึงเป็นสาเหตุทำให้หลินเทียนหาวก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ข้าเลือกใช้ขวดดวงดาราเป็นสมบัติเวท สมบัติเวทนี้เป็นสมบัติเวทอันดับต้นๆ ของรายชื่อประเภทสมบัติเวทระดับสาม ซึ่งขึ้นชื่อว่าหลอมยากที่สุด! หลินเทียนหาวนั่งในถ้ำที่พักและศึกษาเกี่ยวกับขวดดวงดาราสีหยกซึ่งส่องแสงระยิบระยับตรงหน้ามาอย่างมั่นใจ เขาได้ยินมาว่าหวังเป่าเล่อลงสมัครการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท ครั้งนี้ด้วย จึงต้องจริงจังกับมันมากขึ้น สายสืบจากนอกสำนักศึกษาของเขาแจ้งว่าอีกฝ่ายเอาแต่สะสมเขี้ยวอสูรตลอดสงครามที่ป้อมปราการ
ในเมื่อเจ้านั่นต้องการเขี้ยวอสูร เพราะฉะนั้นคงคิดจะหลอมเขี้ยวมังกรเป็น สมบัติเวทสำหรับการทดสอบกระมัง!
เขี้ยวมังกรอาจจะเป็นสมบัติชั้นดีก็จริง แต่ก็ยังเทียบชั้นขวดดวงดาราไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นคุณภาพของวัตถุดิบยังส่งผลอย่างมากต่อความแข็งแกร่งของเขี้ยวอสูร มากกว่าอักขราจารึกเสียอีก ถ้าหวังเป่าเล่อเลือกเขี้ยวอสูรมาใช้ในการทดสอบ ก็ต้องพ่ายแพ้ข้าอย่างแน่นอน! หลินเทียนหาวยิ้มเยาะอย่างมั่นอกมั่นใจ
เหล่าศิษย์เอกต่างมุ่งมั่นกับการทดสอบและรีบเร่งเตรียมการให้พร้อมอย่างฮึกเหิม จนในที่สุดวันทดสอบองครักษ์อาวุธเวทก็มาถึง
เสียงระฆังดังก้องกังวาน ทำให้หวังเป่าเล่อซึ่งนั่งขัดสมาธิในถ้ำที่พักอยู่นั้น ลืมตาขึ้นทันที ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกไป
ตำแหน่งสูงสุดขององครักษ์อาวุธเวทต้องเป็นของข้า! ดวงตาของชายหนุ่มแน่วแน่และมีความกระตือรือร้นอยู่เต็มหัวใจ เขาขับเรือบินแล่นตรงไปยังยอดเขากลาง!
การทดสอบองครักษ์อาวุธเวทนั้นจัดขึ้นตรงจัตุรัสยอดเขากลางในตำหนักอาวุธเวท ใจกลางของจัตุรัสแห่งนี้มีกลองศึกตั้งเด่นสะดุดตาตั้งอยู่ ซึ่งเป็นกลองใบเดียวกับที่ หวังเป่าเล่อเคยเห็นตอนเดินผ่านตอนที่มีการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทครั้งก่อนหน้านี้ กล่าวขานกันว่าองครักษ์อาวุธเวทเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ใช้กลองเรียกผู้อาวุโส!
เนื่องจากไม้กลองที่ใช้เรียกผู้อาวุโสจะต้องได้รับการหลอมขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น ไม้กลองนั่นยังถือว่าเป็นสมบัติเวทระดับสาม ที่มีเพียงองครักษ์อาวุธเวทเท่านั้นสามารถหลอมขึ้นได้ เหล่าศิษย์เอกอาวุธเวททั่วไปนั้นไม่มีทางหลอมได้สำเร็จ
ตรงบริเวณจัตุรัสยอดเขากลางในขณะนั้น มีคนประมาณสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่หน้ากลองสงคราม พวกเขาคือ เหล่าศิษย์เอกที่เข้าร่วมในการทดสอบองครักษ์ อาวุธเวทในครั้งนี้ ทุกคนต่างยืนรอในความเงียบ ไม่มีใครสุงสิงพูดคุยกัน
เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงจัตุรัสยอดเขากลางก็เห็นบรรดาผู้ท้าชิง ก่อนจะจับจ้องไปยังหลินเทียนหาวด้วยความรู้สึกหยามเหยียดในใจ
เจ้างั่งเข้าร่วมการทดสอบอย่างนั้นหรือ หลอมสมบัติเวทเป็นด้วยเหรอเนี่ย ชายหนุ่มฟึดฟัด ก่อนคิดว่าควรยึดมั่นในตนเองและควรสร้างมิตรไว้ เขาจึงเดินไปทางกลองสงคราม โดยเมินเฉยต่อหลินเทียนหาว
แต่กลับกัน อีกฝ่ายกลับเหลือบมองหวังเป่าเล่ออยู่ชั่วครู่ด้วยแววตาเยาะเย้ย
บรรดาศิษย์จากตำหนักอาวุธเวทเริ่มมาถึงและยืนออรอบๆ จัตุรัสเพื่อรอรับชมการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำหรับของตำหนักอาวุธเวท พวกเขาต่างก้มหน้าพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
“ใครจะคิดว่ามีคนเข้าร่วมการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทมากมายขนาดนี้ สงสัยนักว่าอันดับหนึ่งจะเป็นใคร”
“การทดสอบองครักษ์อาวุธเวทในทุกครั้ง องครักษ์อาวุธเวทที่ได้อันดับหนึ่งจะมีสิทธิ์เลือกสังกัดของตนเองได้ และหากมีตำแหน่งว่างอยุ่แล้ว ก็จะได้เลื่อนขั้น เข้าทำงานโดยทันที!”
“คนเขาอิจฉาตาร้อนกันก็เพราะอย่างนี้ หลายคนได้ขึ้นเป็นองครักษ์อาวุธเวทเพียงในนาม แต่ไร้พลังอำนาจก็มี”
เวลาเดินไปอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่เหล่าสานุศิษย์พูดคุยกันอย่างออกรสชาติ หลังจากนั้นไม่นาน ระฆังก็ดังนั้นสามครั้ง ก่อนเผยร่างของชายห้าคนเดินออกมาจากโถงหลักยอดเขากลาง หนึ่งในนั้นเดินนำ โดยอีกสี่คนเดินตาม
ชายคนแรกคือ เจ้าตำหนักแห่งตำหนักอาวุธเวท ซึ่งสวมชุดคลุมสีม่วง วางตัวเรียบร้อยและดูสง่าผ่าเผย ส่วนอีกสี่คนด้านหลังเป็นชายสูงวัยหนึ่งคน และวัยกลางคนอีกสามคน ทุกคนแผ่มวลพลังของผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ขั้นสุดยอด ซึ่งอีกไม่นานคงบรรลุสู่ขั้นรากฐานตั้งมั่นได้!
พวกเขาเหล่านี้คือ รองเจ้าตำหนักทั้งสี่แห่งตำหนักอาวุธเวทนั่นเอง
รองเจ้าตำหนักจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพนับถือ ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะระดับการฝึกตนของพวกเขาเท่านั้น แต่ทั้งสี่ท่านนี้ยังมีจุดแข็งอันโดดเด่นเป็นพิเศษหรือไม่ก็มีความสามารถใน การหลอมอาวุธเวท ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขึ้นเป็นรองเจ้าตำหนักแห่ง ตำหนักอาวุธเวท
ขณะเดียวกันพวกเขาต้องมีความเหมาะสมและควรค่าแก่คำยกย่องชื่นชม กล่าวคือ รองเจ้าตำหนักทั้งสี่ท่านนี้ มีภูมิหลังอันน่าทึ่งของตนเอง อีกทั้งการเลื่อนขั้นจากองครักษ์อาวุธเวทสู่รองเจ้าตำหนักนั้นจะต้องมีความพิเศษเหนือใคร
และนั่นเป็นเพียงกรณีของรองเจ้าตำหนัก สำหรับการขึ้นเป็นเจ้าตำหนักนั้น ยิ่งมีปัจจัยอีกเยอะแยะ
หลังจากชายทั้งห้าคนมาถึงจัตุรัสยอดเขากลาง ผู้คนก็เงียบเสียงลงทันใด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดขณะเผยประกายในดวงตา ผู้เข้าแข่งขันทุกคนรวมถึงชายหนุ่มมองตรงไปยังเจ้าตำหนักทั้งห้าคนนั้น
“กฎและข้อบังคับสำหรับการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทของตำหนักอาวุธเวท แห่งนี้นั้นมีไม่มาก พวกเจ้าทุกคน…ต้องนำเสนอสมบัติเวทที่ตนเตรียมมาสำหรับ การทดสอบ เพื่อให้เราทั้งห้าคนประเมินและสอบถามดูแบบไล่เรียงทีละคน ก่อนจะประกาศว่าผ่านหรือตกรอบ และผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งนี้ จะมีสิทธิพิเศษในการเข้าทำงาน!” เจ้าตำหนักในชุดคลุมม่วงชี้แจ้งอย่างใจเย็น ก่อนเหลือบมองหลังเป่าเล่อรวมถึงคนอื่นๆ หลังจากพูดจบ แล้วชี้ตัวหนึ่งในนั้น
“เริ่มจากเจ้าก่อนเลยแล้วกัน”
หลังจากศิษย์มากประสบการณ์ผู้นั้นได้ยินคำของเจ้าตำหนักก็พยักหน้า และหยิบกระจกเงาเก่าๆ หน้าตาธรรมดา แต่มีรังสีวิญญาณแผ่ออกมาอย่างรุนแรงจนฝูงชนพากันสนใจ ทั้งยังพากันกลั้นหายใจโดยถ้วนหน้า
ศิษย์มากประสบการณ์ผู้นี้ดูพึงพอใจกับปฏิกิริยาที่ทุกคนมีต่อกับกระจกเงา ของตน ก่อนยื่นมันให้กับเจ้าตำหนักด้วยความเคารพ
“ขอแสดงความนับถือแด่ท่านเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักทุกท่านขอรับ นี่คือคันฉ่องปฐพีจรดสวรรค์ที่ข้าหลอมขึ้นเพื่อขอให้ท่านประเมินดูขอรับ!”
เหล่าคนดูต่างพากันกระซิบกระซาบเมื่อเห็นคันฉ่องปฐพีจรดสวรรค์บานนั้น
“การหลอมคันฉ่องปฐพีจรดสวรรค์นั้นค่อนข้างท้าทายสำหรับสมบัติเวท ระดับสามเลยทีเดียว”
“มันสะท้อนกระบวนเวทได้ดีระดับหนึ่ง แถมอักขราจารึกนั้นเหนือชั้นกว่า สมบัติเวทแบบอื่นๆ นัก”
หวังเป่าเล่อพิจารณาดูสมบัติเวทที่ผู้คนกำลังวิจารณ์กัน พลางรู้สึกมั่นใจอีกครั้งว่าปืนใหญ่เป่าเล่อของตัวเองมีคุณภาพกว่า แต่สายตาก็พิจารณาอย่างมุ่งมั่นมิได้ นิ่งนอนใจ ขณะที่เจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักทั้งสี่กำลังประเมินผล
เจ้าตำหนักหยิบกระจกบานนั้นขึ้นตรวจสอบอย่างรวดเร็วแล้วส่งต่อให้เหล่า รองเจ้าตำหนัก ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนอาวุธเวทและคุ้นเคยกับบรรดาสมบัติเวท หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง แต่ละคนก็ได้ข้อสรุป พวกเขาถามคำถามเกี่ยวกับกระบวนการหลอมกระจกเงา โดยศิษย์มากประสบการณ์ผู้นั้นก็ตอบอย่างลื่นไหลจนจบการทดสอบ
หลังจากหารือกันไม่นาน ผลก็ประกาศออกมาว่า
“เจ้าสอบผ่านและขึ้นเป็นองครักษ์อาวุธเวท ลำดับของเจ้าจะประกาศอีกครั้ง ในตอนท้าย” เจ้าตำหนักพูดอย่างสุขุมและชี้ไปยังอีกคนหนึ่ง การทดสอบองรักษ์ อาวุธเวทดำเนินไปเรื่อยๆ ตามนั้น โดยมีทั้งคนสอบผ่านและสอบตกคละกันไป
บางคนโดนตั้งคำถาม ขณะที่บางคนโดนสั่งให้หลอมชิ้นส่วนบางอย่างขึ้นใหม่ให้เห็นตรงหน้า สมบัติเวทมากมายถูกหยิบออกมานำเสนออย่างต่อเนื่อง มีเสียงฮือฮาจากฝูงชนดังขึ้นและเงียบลงสลับกัน
หวังเป่าเล่อมองดูสถานการณ์ จนค่อยๆ เข้าใจขั้นตอนของมัน
ทุกคนจะต้องตอบคำถาม แต่มีบางคนเท่านั้นที่โดนสั่งให้หลอมใหม่ คำถามที่ได้รับล้วนแต่มีลูกล่อลูกชนและท้าทายนัก ต้องเป็นคนหลอมสมบัติเวทขึ้นมาเองเท่านั้นจึงจะตอบได้ถูกต้อง
ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หลินเทียนหาวก็ถูกเรียกขึ้นไปพอดี เขาหยิบขวด ดวงดาราออกมา และทำให้เหล่าศิษย์รอบข้างปั่นป่วนขึ้นมาในทันที มีเสียงร้องด้วยความทึ่งดังขึ้น ทันใดนั้น ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็รีบหันไปมองขวดใบนั้นและชายหนุ่มทันที แม้แต่เจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักทั้งสี่ยังมีสีหน้าประหลาดใจ
“ขวดดวงดารา!”
“ว่ากันว่านี่คือสมบัติเวทระดับสามที่หลอมยากที่สุด ข้าเพิ่งเคยเห็นมันครั้งแรกเลย!”
“อักขราจารึกที่ใช้หลอมสมบัติชิ้นนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง แถมศิลาดวงดาราที่จำเป็นต่อการหลอมนั้นยังมีราคาสูงมากอีกด้วย…”
ขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความอึ้ง หวังเป่าเล่อเองก็เบิกตากว้าง เขารู้จัก ขวดดวงดารา แต่ด้วยจำนวนของศิลาดวงดารานั้นมีอยู่น้อยมากในสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นหากผู้ใดคิดจะหลอมสมบัติเวทนี้ จำเป็นต้องใช้ ความพยายามอย่างมากเพื่อหาซื้อจากภายนอก จึงเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่คิดจะหลอมมันตั้งแต่แรก และคิดจะหลอมอีกอย่างแทนซึ่งก็คือเขี้ยวมังกร สมบัติเวท ทั้งสองชนิดนี้หลอมยากพอๆ กัน ต่างกันตรงวัตถุดิบและส่วนประกอบที่จำเป็นต่อ การหลอม ซึ่งเขี้ยวมังกรอาจจะไม่ท้าทายเท่า
หลินเทียนหาวยื่นขวดดวงดาราแก่เจ้าตำหนัก โดยมิได้แสดงความร่าเริงกับ ชัยชนะที่ตนเองสัมผัสได้ เขาเพียงแต่เหลือบมองหวังเป่าเล่ออย่างสะใจอยู่ลึกๆ
ไอ้ไร้ค่าหน้าโง่ คิดจะมาแข่งขันกับข้าอย่างนั้นหรือ
หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมา เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยสีหน้า ไร้รอยยิ้ม พลางคิดว่า มันเป็นแค่ขวดดวงดาราแล้วอย่างไร ถ้าปืนใหญ่ของข้าเผยตัว หลินเทียนหาวก็ต้องพ่ายแพ้และเรียกข้าว่าบิดาอยู่ดีนั่นแหละ
เจ้าตำหนักรับขวดดวงดาราจากมือของชายตรงหน้าท่ามกลางสายตาตะลึงงันของเหล่าคนดู ชายชุดคลุมม่วงผู้นี้เผยให้เห็นสีหน้าแห่งการยอมรับขณะประเมินขวด หลังจากนั้นจึงพยักหน้า และส่งขวดนี้ต่อให้กับรองเจ้าตำหนักคนอื่นๆ
รองเจ้าตำหนักทั้งสี่คนยอมรับขวดดวงดารานี้อย่างชัดเจน พวกเขาพิจารณามัน ก่อนจะไถ่ถามหลินเทียนหาวอยู่สองสามคำถามอย่างไม่มีสะดุด และแล้วหนึ่งใน รองเจ้าตำหนักก็ขอให้ชายหนุ่มหลอมอักขราจารึกให้ดูตรงหน้า ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามโดยไม่ลังเล
เหล่าคนดูต่างตัวสั่นกับเหตุการณ์ตรงหน้า แม้แต่หวังเป่าเล่อยังมองหลินเทียนหาวด้วยแววตานับถือมากขึ้น เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่หลอมขวดดวงดาราสำเร็จ นับว่ามีความสามารถดีเลิศ อีกทั้งยังต้องร่ำรวยอีกด้วย
“เป็นสมบัติเวทที่น่าประทับใจนัก หลินเทียนหาวผ่านการทดสอบ และถ้าไม่มีเหตุขัดข้องอันใด เจ้ามีโอกาสได้อันดับหนึ่งสูงมากเลยทีเดียว” เจ้าตำหนักเอ่ยชื่นชมชายหนุ่ม หลินเทียนหายก้าวถอยหลังอย่างตื่นเต้น ดวงตาของเจ้าตำหนักกวาดมองบรรดาศิษย์ที่เหลือ แล้วชี้มาที่ยังหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ แสดงสมบัติเวทของเจ้าให้พวกเราดูที”
แม้ชายหนุ่มจะอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย แต่พอได้ยินเจ้าตำหนักขานชื่อ ก็รีบเดินเข้าไปหาทันที ก่อนจะพลิกมือขวาไปมาเพื่อเผยให้เห็นปืนใหญ่ปรากฏขึ้น!
เขาวางมันลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างสุขุม “สมบัติเวทที่ข้าหลอมชิ้นนี้มิได้อยู่ในรายชื่อของสมบัติเวทแห่งตำหนักอาวุธเวท เพราะเป็นสมบัติเวทที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเอง ชื่อของมันคือ…ปืนใหญ่หวังเป่าเล่อ ผู้ทรงพลัง หรือเรียกสั้นๆ ว่าปืนใหญ่เป่าเล่อขอรับ!”