บทที่ 280 ชิงอาหารจากปากพยัคฆ์
สีหน้าของต้นไม้ยักษ์ในร่างมนุษย์หม่นลงทันทีที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพพูดจบ
ประมุขสำนักหรี่ตาลง รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างขึ้นราวกับมั่นใจในชัยชนะของตนอย่างเต็มเปี่ยม
“ข้ารู้จักต้วนมู่ฉือและวิธีการของเขาเป็นอย่างดี บุรุษผู้นั้นคลั่งไคล้การมีแผนสำรอง แผนแรกของเขาคือวิธีที่เขาใช้ในการควบคุมเจ้า ซึ่งยังคงเป็นปริศนาอยู่ ส่วนแผนที่สองนั้นข้าเองก็ยังไม่อาจจะคาดเดาได้…
“หรืออาจจะเป็น…ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกระมัง!” ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่น ก่อนจะยกมือขวาขึ้นอย่างฉับพลัน ในมือขวาของเขามีหมอกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น!
หมอกกลุ่มนั้นทอประกายสีรุ้งสดใส ทันทีที่หมอกปรากฏขึ้น มันก็แปรสภาพกลายเป็นศีรษะมังกรเจ็ดสีจำนวนมาก ดูเหมือนมังกรจริงๆ ไม่ผิดเพี้ยน พวกมันต่างส่งเสียงคำรามยาวนานพลางกระจายตัวออกมา
ทันทีที่เหล่ามังกรขยับตัว ปราณวิญญาณน่าสะพรึงกลัวที่กดทับทุกคนเอาไว้อย่างรุนแรงก็แพร่กระจายออกมา พลังของมังกรเหล่านั้นเหนือกว่าอาวุธเวทระดับเจ็ดของหวังเป่าเล่อไปหลายเท่าตัว อันที่จริงแล้วไม่มีพลังใดที่หวังเป่าเล่อรู้จักที่พอจะเทียบเคียงกับระดับพลังนั้นได้เลย เสมือนตัวเขาเป็นหิ่งห้อยตัวเล็กจ้อยที่หวังจะทาบรัศมีกับดวงจันทร์ก็ไม่ปาน!
อาวุธเวทระดับเก้า! ต้นไม้ยักษ์ในร่างมนุษย์ถึงกับผงะ นัยน์ตาของเขาหรี่ลงจนเล็กจ้อย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกตื่นกลัวถึงเพียงนี้ ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพนั้นศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่าคำสอนของพระพุทธองค์ ประมุขสำนักยังคงพูดจี้ใจดำต้นไม้ยักษ์ต่อไป ราวกับว่าสามารถจะอ่านใจเขาได้กระนั้น!
“สหายต้นหอมหมื่นลี้เอ๋ย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ากลัวอะไร เจ้ากลัวว่าต้นแม่จะถูกทำลายกระนั้นหรือ หรือเจ้ากลัวการตื่นขึ้นของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกันเล่า หรือว่าทั้งสองเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นขึ้น ต้นแม่ของเจ้าก็จะถูกทำลาย…นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ต้วนมู่ฉือยอมให้เจ้าเข้าร่วมแผนการ และมั่นใจนักหนาว่าอย่างไรแผนการนี้ก็จะสำเร็จลุล่วงตามที่เขาตั้งใจเอาไว้!
“ข้าเองก็ทำทั้งสองอย่างนั้นได้เหมือนกัน! ฉะนั้นข้าจะยื่นข้อเสนอของข้าเดี๋ยวนี้ ผลไม้ครึ่งผลสำหรับตัวข้าเอง และอีกสองในสิบส่วน ข้าจะขอรับเอาไว้ในนามของตระกูลนภาห้าสมัย เจ้าจะตกลงหรือไม่ก็ได้…แต่จงรู้เอาไว้ ว่าข้ายินดีจะสละอาวุธเวทชิ้นนี้ของข้า เพื่อทำลายต้นแม่ของเจ้าและปลุกกองทัพซากศพโบราณขึ้นมา ความพินาศย่อยยับจะบังเกิดบนแผ่นดินนี้ และเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะไม่มีผู้ใดได้ ผลไม้ลูกนี้ไปแม้แต่คนเดียว!”
ต้นไม้ยักษ์ในร่างมนุษย์เผยสีหน้าเศร้าหมองอย่างหนัก ขณะที่ชั่งน้ำหนักเหตุการณ์อย่างถี่ถ้วน เป็นจริงดังที่อีกฝ่ายว่าไว้ทุกประการ แม้ว่าเขาจะร่วมมือกับ ต้วนมู่ฉือและอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายครึ่งตัวแล้ว แต่ต้นไม้ยักษ์ก็ยังมีเป้าหมายเป็นของตัวเองและไม่ต้องการจะตกเป็นเสือรองบ่อนอยู่ตลอดไป เขาตั้งใจว่าจะเล่นตามแผนของต้วนมู่ฉือและใช้แผนนั้นเกื้อหนุนตัวเขาเองให้ไปถึงขั้นจุติวิญญาณให้ได้
เพราะสิ่งนี้เองทำให้เขาไม่เปิดวงแหวนปราณ ปล่อยให้ผู้คนจากภายนอกเข้ามาสู่เขตจันทราเวทตามแผน ทว่าเรื่องที่น่ากังวลที่สุดที่ออกมาจากปากของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ก็คือแผนสำรองของต้วนมู่ฉือ
สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่บุรุษชุดดำเกรงกลัวเป็นที่สุด เมื่อใดก็ตามที่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นขึ้นมา มันก็จะเริ่มดูดกลืนเอาพลังชีวิตไปจากต้นแม่เองโดยสัญชาตญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะพังทลายจนหมดสิ้น!
ขณะที่บุรุษชุดดำนิ่งคิดอยู่นั้น จิตใจของหวังเป่าเล่อก็ปั่นป่วนในบัดดล ชายหนุ่มยังคงตกตะลึงทั้งจากอาวุธเวทระดับเก้า เรื่องแผนสมคบคิดและการซ้อนแผนกันไปมาที่เพิ่งจะถูกเปิดเผย และยังเรื่องของผลไม้ยักษ์อีก เขากลั้นหายใจขณะที่ความคิดหลายหลากประเดประดังกันอยู่ในสมองจนสะท้อนออกมาทางดวงตา แต่แทนที่จะรีบหนีไปจากตรงนั้น หวังเป่าเล่อกลับวิ่งฝ่าตรงเข้าไปในถ้ำ เข้าหาทุกคนที่รวมตัวกันอยู่
ขณะที่หวังเป่าเล่อวิ่งตรงเข้าไปนั้น ชายหนุ่มก็หยิบเอาประคำหมอกเวทเคลื่อนย้ายทั้งหมดที่เขามีและหุ่นเชิดแปดตัวออกมาเตรียมไว้ด้วย เขาเอาประคำใส่มือหุ่นเชิดทุกตัวแล้วส่งพวกมันวิ่งล่วงหน้าไปก่อน
โชคชะตาจะเข้าข้างผู้กล้าเท่านั้น ข้าโชคดีที่มีหน้าตาหล่อเหลาและมีจิตใจดี คุณลักษณะเหล่านี้จะส่งให้ข้าทำสำเร็จอย่างแน่นอน!
ขณะที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงนั้น มนุษย์ต้นไม้ยักษ์ยังคงนิ่งงันอยู่ หลังจากผ่านไปอีกหลายอึดใจ เขาจึงลอบถอนหายใจและพูดออกมาว่า
“เจ้าจะเอาผลไม้ไปถึงเจ็ดในสิบส่วน ส่วนที่เหลือนั้นน้อยกว่าที่ต้วนมู่ฉือสัญญาว่าข้าจะได้เสียอีก…อย่างไรเสียก็มีพวกเราอยู่ที่นี่สามคน ตระกูลนภาห้าสมัย เจ้า และก็ตัวข้า เมื่อแบ่งกันสามฝ่ายแล้ว ข้ากลับได้น้อยนิดนัก
“ข้าจะยอมแบ่งผลไม้แค่กับเจ้าคนละครึ่งเท่านั้น…” บุรุษชุดดำพูดอย่างหนักแน่น ขณะที่พูดนั้นสายตาเขาก็เหลือบมองไปยังทางเข้าของถ้ำอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
คนอื่นก็ดูราวกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้เช่นกัน ทว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในย่อมไม่ใส่ใจนักเมื่อรู้ว่ามีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นอยู่ตรงนั้น หนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลนภาห้าสมัยผู้เพิ่งผ่านสถานการณ์ตึงเครียดมานั้น ไม่รอช้ารีบยกมือขวาขึ้นซัดคาถาเวทออกไปยังปากทางเข้าถ้ำในทันที!
หัตถ์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศก่อนพุ่งไปยังปากทางเข้าถ้ำ ราวกับจะตบผู้บุกรุกคนนั้นให้ตายคามือ
ทันทีที่หัตถ์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นและมุ่งไปทางปากทางเข้าถ้ำนั้น เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพที่เพิ่งอัญเชิญประมุขสำนักมา ก็เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล สีหน้าตกใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขาในทันที ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว…
ทุกคนทำได้แค่มองหุ่นเชิดแปดตัวของหวังเป่าเล่อกระโจนออกมาจาก ปากทางเข้า พวกมันพุ่งเข้าปะทะกับหัตถ์ขนาดยักษ์อย่างจัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว หุ่นเชิดทั้งแปดแหลกสลายเป็นผุยผงพร้อมเสียงระเบิดดังสนั่น แต่ขณะที่พวกมันกำลังจะสลายไปนั้นเอง ประคำหมอกเวทเคลื่อนย้ายนับร้อยลูกที่พวกมันถือติดมือมาด้วย…ก็ระเบิดตัวขึ้นพร้อมกันทันที!
บังเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหวสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณถ้ำ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนที่ดังจนแก้วหูแทบแตกร้าว ก่อนจะเสกเอากลุ่มหมอกหนาแน่นให้ ปรากฏขึ้น หมอกนั้นก่อตัวอย่างรวดเร็วและปกคลุมไปทั่วบริเวณในชั่วพริบตา!
ผู้อาวุโสทั้งสามจากตระกูลนภาห้าสมัยเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิด หมอกเข้าปกคลุมพวกเขาอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสอีกสามคนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพล่าถอยอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง หมอกพุ่งเข้าปกคลุมพวกเขาเช่นกัน
กระทั่งประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพในชุดคลุมสีแดงโลหิต ผู้อยู่ในชั้นมหาวัฏจักรของขั้นกำเนิดแก่นในเองยังแสดงอาการตื่นตระหนกขึ้นเป็นครั้งแรก เขาพยายามจะหลบหนีด้วยความเร็วเต็มขั้น มือปัดป่ายอาวุธเวทระดับเก้าในมือหมายจะแหวก กลุ่มหมอกนั้นออก กระนั้นแม้อาวุธเวทจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่อาจสลายกลุ่มหมอกหรือของเหลวได้ ยิ่งเป็นหมอกเวทเคลื่อนย้ายด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้!
การระเบิดพร้อมกันของกองทัพประคำหมอกเวทเคลื่อนย้ายไม่ใช่เรื่องที่จะมาดูเบากันได้!
หมอกเวทเคลื่อนย้ายที่อัดแน่นอยู่ในประคำนั้นแน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง ในถ้ำลึก ใต้ดินเช่นนี้ หากมิใช่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่สามารถจะเคลื่อนย้ายตนเองหนีได้แล้ว…ก็เห็นจะต้องถูกต้อนจนมุมอย่างไม่ต้องสงสัย!
ภายในพริบตาเดียว ทั้งถ้ำก็อันแน่นไปด้วยกลุ่มหมอกที่เคลื่อนไหวราวกับคลื่นปกคลุมไปทั่วบริเวณ หมอกนั้นห่อหุ้มร่างทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพ และต้นไม้ยักษ์กลายพันธุ์ในร่างบุรุษชุดดำ
กลุ่มหมอกที่หวังเป่าเล่อกักเก็บไว้ในประคำนั้นไม่มีต้นกำเนิด มันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วพอๆ กัน…หลังจากที่กลุ่มหมอกสลายตัวไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัย ผู้อาวุโสจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ หรือกระทั่งประมุขสำนักของพวกเขาก็หายลับไปจากถ้ำอย่างไร้ร่องรอยทันที…
ทุกคนจนปัญญาจะทัดทานเมื่อต้องเผชิญหน้าหมอกเวทเคลื่อนย้าย ต่างพากันถูกเคลื่อนย้ายหายไปจนหมด…
มีเพียงต้นหอมหมื่นลี้ยักษ์กับผลไม้ของมัน และบุรุษชุดดำผู้ตื่นตะลึงเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่
ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน ก่อนหน้านี้เพียงชั่วอึดใจพวกเขายังคงห้ำหั่นแย่งชิงผลประโยชน์กันอยู่ด้วยซ้ำ การตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียวอาจจะนำไปสู่การต่อสู้อย่างจริงจัง มาบัดนี้ผู้คนที่กำลังแย่งชิงผลไม้ยักษ์กับเขาอยู่นั้นพลันอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว
หมอกเวทเคลื่อนย้ายอย่างนั้นหรือ บุรุษชุดดำยังคงตะลึงอยู่ เขาเงยหน้ามองไปยังปากทางเข้าถ้ำ หวังเป่าเล่อเดินเข้ามาพร้อมสีหน้านิ่งสงบ
ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองต้นไม้ยักษ์ผู้รอดจากหมอกเวทเคลื่อนย้ายมาได้ เขาไม่ได้แปลกใจมากนัก เพราะอย่างไรเสียต้นไม้ยักษ์ก็เป็นเจ้าถิ่นบนดวงจันทร์แห่งนี้
“หวังเป่าเล่อ…” บุรุษชุดดำจ้องมองผู้มาใหม่ก่อนจะหรี่ตาลง เขาเริ่มหัวเราะลั่น ความบ้าคลั่งเจือปนอยู่ในเสียงหัวเราะนั้น เคล้าไปกับความสุขสมใจและตื่นเต้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บุรุษชุดดำไม่อาจจะอธิบายความฮึกเหิมที่เขารู้สึกอยู่ในขณะนี้ได้เลย เขายกมือขวาขึ้นหมายจะซัดหวังเป่าเล่อให้หายไปภายในกระบวน หมัดเดียว
ต้นไม้ยักษ์ไม่สนว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่หรือตาย แต่เพื่อเป็นการตอบแทนที่ ชายหนุ่มช่วยขจัดศัตรูให้ เขาตั้งใจว่าจะซัดเด็กหนุ่มให้กระเด็นพ้นไปก็เท่านั้น
หวังเป่าเล่อยังคงนิ่งเฉยเมื่อบุรุษชุดดำเงื้อมือขึ้น เขาเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า “ตื่นเถิด!”
เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยดังนั้น ดอกบัวสีเขียวในกายเขาก็พลันตื่นขึ้น บัดนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามดังสนั่นแทรกขึ้นมาจากพื้นดิน เสียงนั้นดังกลบเสียงกรนก่อนหน้าไปจนสิ้น พลังของมันเขย่าสวรรค์สะเทือนปฐพี แล้วยังแผ่แรงกระเพื่อมไปทั่วทั้ง เขตจันทราเวท แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ภายนอกก็ยังได้ยินเสียงนี้ชัดเจน ผู้คนมากมายที่ ได้ยินต่างก็ตัวสั่นงันงกไปตามๆ กัน
ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพถูกเคลื่อนย้ายไปปรากฏตัวอยู่ ณ พื้นที่ลุ่มต่ำบนด้านสว่างของดวงจันทร์ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีโลหิตส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาทันที
“บัดซบ! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!” เขาโมโหเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรู้ดีว่าต่อให้รีบมุ่งหน้ากลับไปที่นั่นในตอนนี้ก็คงสายเกินไปเสียแล้ว แผนการทั้งหมด การตระเตรียม ทุกอย่าง การอดกลั้นต่อแรงกดดันของสหพันธรัฐ
กระทั่งการลงทุนลงแรงไปกับการกระทำที่เสี่ยงว่าจะเป็นการก่อกบฏ เพื่อกดดันต้นไม้ยักษ์จนกระทั่งมันยอมแบ่งผลไม้ให้…
ผลไม้ลูกนั้นอยู่เพียงแค่เอื้อมแล้วแท้ๆ แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อหมอกนั้นปรากฏขึ้น…
ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพคิดถึงทุกสิ่งที่เขายอมเสียสละไป การเสียสละที่เขาจำใจยอมทำเพื่อให้แผนนี้ลุล่วงและผลประโยชน์ที่รอคอยอยู่ในอนาคต ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธจนแทบจะเสียสติ เขาถึงขั้นอยากจะทำลายอาวุธเวทของตนเพื่อปลุกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ในเมื่อเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็อย่า หวังเลยว่าจะมีใครได้ไป
ชายหนุ่มกำอาวุธเวทเอาไว้ในมือแน่น แต่ไม่อาจตัดใจทำลายมันได้ลง…ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีแรงทำเช่นนั้น…หากแต่เป็นเพราะเขากลัวต่างหาก!
หากเขาได้ผลไม้ลูกนั้นมา ก็คงคุ้มค่าหากจะปลุกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้น ขอแค่เขาได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ปัญหาทุกอย่างก็ย่อมแก้ได้ไม่ยาก เขาจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ในสหพันธรัฐได้อย่างแน่นอน!
แต่ในขณะนี้…ผลไม้นั้นหลุดมือไปแล้ว หากเขายอมจากไปแต่โดยดี อาจจะยังช่วยให้เขารักษาสำนักรุ่งสางจักรพิภพเอาไว้ได้ สำนักของเขาจะต้องถูกลงโทษแน่นอน แต่จะเป็นความผิดเพียงลหุโทษเท่านั้น ทว่าหากเขายังดื้อด้านจะปลุกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมาอีก เขาจะไม่เพียงเสียผลไม้ยักษ์ไป แต่ยังประกาศตัวเป็นศัตรูกับสหพันธรัฐอีกด้วย เมื่อถึงตอนนั้นแล้วความผิดของเขาก็จะฉกาจฉกรรจ์เกินเยียวยา ราคาที่เขาต้องจ่ายจะถึงขั้นทำให้สำนักต้องหยุดเคลื่อนไหว ขุมอำนาจทางการเมืองทั้งหลายในสหพันธรัฐจะต้องรุมประชาทัณฑ์สำนักของเขาแน่นอน!
ความรู้สึกไร้อำนาจ ความหวาดกลัว และโทสะอันเดือดพล่านฉายชัดอยู่ในดวงตาเขา ชายหนุ่มกัดฟันกรอดและเดินย่ำไปรอบๆ พลางคำรามอยู่ภายในใจ ก่อนจะพุ่งตัวจากไปด้วยความรวดเร็ว
ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครมันช่างกล้าทำแบบนี้ มันมีความแค้นประการใดกับข้า…ถึงได้กล้ามาทำลายหนทางบรรลุขั้นจุติวิญญาณของข้าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้!