บทที่ 375 เสียงจากในสุสานอาวุธเทพใต้ดิน
ตามจีบสาวช่างเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเสียจริง หลังกลับออกมาจากห้องทำงานของหลี่อี้ จินตั้วหมิงก็ขึ้นเรือบินสุดหรูของตนกลับออกไปด้วยความหดหู่ใจ พร้อมผู้คุ้มกันที่อยู่รายรอบ
จินตั้วหมิงเอนตัวลงบนอ้อมอกของสาวใช้คนหนึ่งพลางกินผลไม้ที่สาวใช้คนอื่นๆ ปอกให้ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย คิดว่าการตามจีบหลี่อี้ช่างเป็นเรื่องยาก ท้าทายเหลือเกิน ชายหนุ่มจึงผุดคิดขึ้นว่าจะกลับไปใช้วิธีเก่าดีหรือไม่ ซึ่งก็คือการ เอาเงินเข้าสู้…
ไม่ ข้าควรจะใช้ความจริงใจเอาชนะใจนาง เพื่อให้นางได้รู้ว่าตนจะปลอดภัยในอ้อมแขนของข้า จินตั้วหมิงทำหน้าเคร่งขรึม ไตร่ตรองแผนการอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะเริ่มลงมือ
ขณะที่จินตั้วหมิงกำลังคิดหาทางสานสัมพันธ์กับหลี่อี้ หวังเป่าเล่อก็ปรับสมดุลพลังปราณของตนเองได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำเหมือนว่าคอยตรวจตราดูการก่อสร้างปราการ แต่จริงๆ แล้ว ชายหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการค้นหาพื้นที่ที่จะช่วยให้การฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เขาพบว่าแม้จะสามารถฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดได้เร็วยิ่งขึ้นในบริเวณใกล้เคียงสุสานอาวุธเทพใต้ดิน แต่พื้นที่บริเวณอื่นๆ อีกสองสามแห่งก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกันนัก
ทว่าสุสานอาวุธเทพใต้ดินก็เป็นบริเวณที่ได้ผลดีที่สุด ชายหนุ่มคาดว่าถ้าตนได้เข้าไปในผนึก คงจะสามารถฝึกวิชาไปได้อย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย
บริเวณนั้นไม่ต่างอะไรกับเค้กก้อนใหญ่ที่หวังเป่าเล่อกินไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเอื้อมไม่ถึง ทว่า…อันตรายเกินไปต่างหาก
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังดิ้นรนหาวิธีอยู่นั้น การก่อสร้างเขตนครใหม่ระยะแรกก็เสร็จสมบูรณ์ แม้จะต้องก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมอยู่หลายอย่าง แต่ตามแผนของเขา ตอนนี้ถึงเวลาที่จะทดสอบว่าวงแหวนปราณผสานเข้ากับปราการได้ในระดับใด
เหลือเวลาอีกสามเดือนจะถึงกำหนดที่เจ้านครดาวอังคารตั้งไว้ว่าจะย้ายประชากรเข้ามา และระยะเวลาสามเดือนที่เหลือนี้ก็เป็นช่วงสำคัญที่หวังเป่าเล่อต้องตรวจสอบว่าในเขตนครใหม่นี้ไม่มีปัญหาใดๆ หากพบปัญหาก็ต้องรีบแก้ไขในทันที
เขาจะรอแก้ไขปัญหาตอนที่ประชากรจำนวนหนึ่งร้อยล้านคนย้ายเข้ามาแล้วไม่ได้ หากไม่ทำงานให้ดี ย่อมเกิดหายนะอย่างแน่นอน
หวังเป่าเล่อให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากการก่อสร้าง เขตนครใหม่ระยะแรกเสร็จสมบูรณ์ ชายหนุ่มก็รีบติดต่อไปยังเจ้านครดาวอังคารทันที เจ้านครมอบอำนาจในการควบคุมดูแลผนึกให้เขา หลังจากเตรียมการทุกอย่าง เสร็จสิ้น หวังเป่าเล่อก็พยายามปลดผนึกอาวุธเทพ
เกิดเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วบริเวณ มาตรการป้องกันที่จำเป็นต่างๆ ถูกติดตั้งไว้พร้อมสรรพ มุมหนึ่งของผนึกสุสานอาวุธเทพใต้ดินเปิดออก ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังก้องไปทั่วทุกทิศ อสูรมากมายไหลหลากออกมาไม่ขาดสาย
ทันใดที่เหล่าอสูรปรากฏ ด้ายวงแหวนปราณล่องหนก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดภายในบริเวณผนึกที่สุสานอาวุธเทพใต้ดินตั้งอยู่ เส้นด้ายมากมายเฉือนฟันทั่วทั้งพื้นที่ เกิดเสียงร้องโหยหวนตามมาพร้อมเลือดเนื้อที่สาดกระเซ็นไปทั่วทุกมุม ร่างไร้แขนขาร่วงลงสู่พื้นหลังจากถูกเส้นด้ายตัดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หวังเป่าเล่อ หลี่อี้ จินตั้วหมิง กงเต๋า หลินเทียนหาว และคนอื่นๆ ยืนอยู่ใน ศูนย์ควบคุม มองภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนหน้าจอวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่มีใครปริปากพูดอะไร ดวงตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่หน้าจอวิญญาณ เห็นภาพเลือดเนื้อพุ่งกระจายไปทั่วพื้นที่ ซากศพและเลือดเนื้อจางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อร่วงหล่นลงพื้น
หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง คนอื่นๆ ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเลือดเนื้อและซากศพเหล่านั้นได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานขับเคลื่อน วงแหวนปราณ
ไม่นาน กระบวนการป้องกันและสังหารในสุสานอาวุธเทพก็จบลง ทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ หวังเป่าเล่อพยายามเปิดผนึกออกให้กว้างมากขึ้นเพื่อปลดปล่อยอสูรที่ร้ายกาจกว่าเมื่อครู่ออกมา การทดสอบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่หลายวัน ระหว่างการทดสอบนั้น พวกเขาพบปัญหามากมาย หวังเป่าเล่อรีบปิดผนึกและรวบรวมแรงงานไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทันที
สามวันผ่านไป การซ่อมแซมทั้งหมดก็เสร็จสิ้น มีการปลดผนึกออกอีกครั้ง กระบวนการนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งเดือน จากการซ่อมแซมและพัฒนา อย่างต่อเนื่อง เกราะป้องกันด้านนอกสุสานอาวุธเทพใต้ดินก็ได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์บางครั้งพลังจากวงแหวนปราณก็สามารถสังหารอสูรขั้นกำเนิดแก่นในลงได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก การปลดผนึกตลอดสองเดือนที่ผ่านมาทำให้จำนวนอสูรที่เกิดขึ้นลดลง ด้วยเหตุนี้ กงเต๋าจึงขออนุญาตเข้าไปปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ของเขา และคอยตรวจสอบการละลายของกำแพงน้ำแข็งภายในสุสานเป็นพักๆ
แม้ว่าจะยังมีภัยอันตรายมากมายอยู่ภายในผนึก ทางกองทัพก็ได้จัดกำลังคนจำนวนมากเข้าไปในผนึกในช่วงปลอดภัยเพื่อตรวจสอบภายใน
คงจะปลอดภัยมากกว่านี้หากใบหน้าประหลาดไม่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มันไม่ได้ปรากฏขึ้นมาตลอด ทางสหพันธรัฐคาดว่าเหล่าใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ขณะที่กำแพงป้องกันยังทำงานอยู่น่าจะถูกสร้างขึ้นจากเทพองค์อื่น
ท่ามกลางการจับตาดูสถานการณ์จากผู้คนมากมายอย่างเป็นกังวล กงเต๋ากัดฟันแน่นนำกองคนเข้าไปในผนึก ไม่มีใครรู้ว่าภายในเป็นเช่นไร ผ่านไปห้านาที พวกกงเต๋าก็รีบวิ่งออกมา มีทัพอสูรสุดร้ายกาจวิ่งตามมาเป็นโขยงพร้อมส่งเสียงร้องคำรามก่อนจะโดนวงแหวนปราณสังหาร
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้วนไปเรื่อยๆ กว่าครึ่งเดือน มีการสรุปข้อมูลจากการสำรวจภายในสุสานอาวุธเวทใต้ดินและรายงานให้หวังเป่าเล่อทราบ จากนั้นชายหนุ่มก็จะรายงานให้เจ้านครดาวอังคารทราบต่อไป
หวังเป่าเล่อตรวจข้อมูลต่างๆ อย่างเอาจริงเอาจัง แม้พวกกงเต๋าจะเข้าไปในผนึกในช่วงปลอดภัย ก็ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครเข้าไปถึงจุดที่กำแพงป้องกันตั้งอยู่ เนื่องจากมีอสูรสุดร้ายกาจมากมายคอยอยู่ และยิ่งเข้าไปลึกจำนวนของพวกมันยิ่งเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่ผนึกเปิดออก เปลวไฟสีดำจะลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้นตอนที่เขายืนอยู่ใกล้ๆ สุสานอาวุธเทพใต้ดิน หากไม่มีผู้คนมากมายอยู่รอบข้าง หวังเป่าเล่อคงจะมุ่งหน้าฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดไปแล้ว
สุดท้ายชายหนุ่มก็ไม่สามารถอดใจได้ไหว เขาปล่อยฝูงยุงตามคนจากกองทัพที่เข้าไปตรวจสอบภายในผนึกอีกครั้ง
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปภายใน หวังเป่าเล่อก็เห็นอุโมงค์ลึกมากมายผ่านสายตาของฝูงยุง ดินโคลนตามผนังมีสีแดงคล้ำ รอบๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศชั่วร้ายสั่นประสาท ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไปลึก ดินโคลนก็มีสีแดงแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่ามีเลือดไหลวนอยู่ภายใน
เขาสังเกตเห็นอสูรมากมายด้วยเช่นกัน พวกมันมีลักษณะเหมือนก้อนเนื้อมากมายที่ไต่ไปตามผนังดินโคลน ทุกครั้งที่ก้อนเนื้อแตกจะมีอสูรร้ายหรือศพสุดสยองที่ขยับได้ออกมา
มันดูไม่ต่างจากภายในถ้ำสีโลหิตที่หลินเทียนหาวต้องเผชิญอันตรายและหายตัวไป น่าแปลกที่เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและคนอื่นๆ คาดว่าถ้ำสีโลหิตนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพ!
หวังเป่าเล่อสูดหายใจ ควบคุมยุงเก้าตัวตามผู้ฝึกตนจากกองทัพไปยังจุดรวมพล ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดที่กองทัพของกงเต๋ารุดหน้าไปได้ แม้จะยังอยู่ห่างจาก กำแพงป้องกันอยู่ไกลโข แต่ก้อนเนื้อก็มีจำนวนมาก ขยับเพียงนิดเดียวมันก็จะแตก หากไม่กำจัดพวกมันออกไปให้หมดก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเดินหน้าต่อไปได้
พอเหล่าผู้ฝึกตนจากกองทัพวางวัตถุเวทมากมายไว้รอบๆ เสร็จก็ถอยทัพทันที แต่ยุงเก้าตัวของหวังเป่าเล่อยังอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเงียบไป ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น เขาคุมฝูงยุงให้มุ่งหน้าลึกเข้าไปในสุสาน!
พอไม่มีเหล่าผู้ฝึกตนจากกองทัพ ยุงทั้งเก้าตัวก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าพวกมันเข้าไปลึกเพียงใดแล้ว ได้แค่เพียงกะเอาคร่าวๆ ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบันของเขาก็ยังเกือบจะขาดการติดต่อกับยุงไป เมื่อถึงขีดจำกัดที่จะคุมฝูงยุงได้ ชายหนุ่มก็เห็นปลายอุโมงค์
มีผนึกน้ำแข็งเย็นยะเยือกชิ้นใหญ่ที่กำลังปล่อยไอเย็นน่าสะพรึงกลัวออกมา ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะสังเกตทุกอย่างได้ทั่ว ผนึกน้ำแข็งเบื้องหน้าก็สั่นไหว ใบหน้าสุดสะพรึงปรากฏขึ้น จ้องเขม็งไปทางยุงทั้งเก้าที่ชายหนุ่มควบคุมอยู่ก่อนจะพูดขึ้น
“บุตรแห่งความมืด…”
เสียงนั่นไม่ได้พูดภาษาบนโลก แต่เป็นภาษาที่หวังเป่าเล่อไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟังดูราวกับเป็นคำสาป ทันทีที่ใบหน้านั้นเอ่ยขึ้น เสียงนั้นก็พุ่งผ่านเหล่ายุงเข้าไปสะท้อนอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อทำให้ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม หายใจถี่รัว แทบจะควบคุมเปลวไฟสีดำในร่างกายไว้ไม่ได้
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงมากไปกว่านั้นคือ แม้ว่าตนจะไม่เคยได้ยินภาษาที่ ใบหน้านั้นใช้มาก่อน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเสียงนั้นสะท้อนก้องอยู่ภายในหัว หวังเป่าเล่อก็พบว่าตนเข้าใจความหมายของมัน!