Skip to content

A World Worth Protecting 471

บทที่ 471 เป่าเล่อเป็นเด็กดี

หวังเป่าเล่อไม่รอคำตอบจากเจ้านครดาวอังคาร เขารีบโทรไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที แต่กลับไม่มีใครรับสาย ชายหนุ่มพบเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งแล้วจึงฝากข้อความเอาไว้แทน

“ท่านประมุขสำนัก หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง หลังจากที่ถือสันโดษฝึกวิชาอยู่หลายเดือน ข้าก็บรรลุขั้นการฝึกตนอย่างง่ายดาย บัดนี้ข้า…เป็นผู้ฝึกตน   ขั้นกำเนิดแกนในแล้ว!”

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจหนัก เขารีบส่งข้อความไปหาผู้นำสหพันธรัฐอีก เขารู้สึกว่าการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใจของตนถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสหพันธรัฐควรจะเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จในครั้งนี้ คนใหญ่คนโตควรจะมอบของขวัญแสดงความยินดีให้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อขุนนางระดับสามชั้นสูง

เจ้านครดาวอังคารนั่งอยู่ภายในสำนักงานประจำนครหลักดาวอังคารตอนที่    ชายหนุ่มส่งข้อความมาหา แผ่นหยกบนโต๊ะของนางปล่อยแสงประหลาดเข้าโอบล้อมนางไปทั้งกาย

เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นกับประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ อีกสามคน ผู้นำคณะเสนาบดี เสนาบดีบางคน รวมถึงผู้แทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ เช่น ตระกูลนภาห้าสมัย และบุคคลยศสูงจากกองทัพ        เหล่าบุคคลสำคัญของสหพันธรัฐกำลังนั่งอยู่ในสำนักงานของตนโดยมีแสงจาก       แผ่นหยกแบบเดียวกันโอบล้อมกายไว้

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้ตอบข้อความของหวังเป่าเล่อตอนที่เห็นแจ้งเตือน เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังจัดการประชุมสุดยอดของสหพันธรัฐผ่านทางแผ่นหยกพิเศษ!

สถานที่ที่ใช้จัดการประชุมคือชั้นบนสุดของตึกสูงในนครหลวงของสหพันธรัฐ    ตึกนี้ออกแบบโดยผสมผสานรูปลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดารา      เข้าด้วยกัน ภายในตึกมีห้องประชุมขนาดใหญ่อยู่หนึ่งห้อง

ในห้องมีรูปปั้นเก้าตัวตั้งอยู่รอบ แต่ละตัวปล่อยรังสีสังหารรุนแรงออกมา ใจกลางวงล้อมของรูปปั้นมีโต๊ะทรงรีทำจากหินอยู่ตัวหนึ่ง รอบโต๊ะมีเก้าอี้หลายสิบตัว         แต่ละตัวมีร่างมายานั่งอยู่!

ร่างมายาเหล่านั้นคือ เจ้านครดาวอังคาร ประมุขสำนักจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ผู้แทนกลุ่มไตรจันทรา ผู้นำคณะเสนาบดีพ่วงด้วยหลินโยวและเสนาบดีอีกสองคน นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสห้าคนจากตระกูลนภาห้าสมัย ผู้อาวุโสชั้นสูงจากสำนัก         รุ่งสางจักรพิภพ และประมุขสำนักชุมนุมสกุณา เหล่าบุคคลสำคัญของสหพันธรัฐต่างมารวมตัวกันพร้อมหน้าในห้องประชุมแห่งนี้

ผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้ปรากฎกายในรูปแบบภาพมายา เขานั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ        แม้ขนาดร่างกายและเก้าอี้จะแตกต่างกันอยู่มาก แต่พลังที่พวยพุ่งออกมาจากกายนั้นทรงอำนาจกว่าคนอื่นๆ

การประชุมสุดยอดนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ห้า บัดนี้ได้เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของการประชุมแล้วหลังจากถกกันมาหนึ่งวันเต็ม วาระหลักที่ถกกันคือเรื่องเหตุร้ายบนดาวพุธและร่องรอยของผู้บุกรุกจากต่างดาวทั้งสาม

แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่สามารถแกะรอยเหล่าผู้บุกรุกจากต่างดาวทั้งสามได้    มีความเห็นต่างๆ มากมายในที่ประชุมแต่ยังไม่ได้บทสรุป มาตรการคุ้มกันอย่างเข้มงวดและการเปิดใช้งานวงแหวนปราณทั่วระบบสุริยะกินพลังงานไปมากโข สำหรับสหพันธรัฐที่เพิ่งจะเริ่มก่อร่างสร้างอารยธรรมฝึกตนนั้น ยิ่งปล่อยให้เป็นเช่นนี้          ไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นการยากที่พวกเขาจะคงสถานภาพนี้ไว้ได้

ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อใกล้จะจบการประชุม เป็นคราวที่              ประธานสหพันธรัฐต้องพูด ทุกคนจึงหยุดถกประเด็นและเงยหน้ามองต้วนมู่ฉี

“พี่ใหญ่โมเกาจื่อได้ออกค้นหาทั่วระบบสุริยะ และวงแหวนปราณของสหพันธรัฐก็เปิดใช้งานตลอดเวลา แต่เราก็ยังตรวจหาเบาะแสไม่พบเลยแม้แต่น้อย จากการประเมินของพี่ใหญ่โมเกาจื่อ…ทั้งสามน่าจะโดนจัดการเรียบร้อยไปแล้วหรือไม่ก็หนีออกจากระบบสุริยะไปด้วยวิธีการใดก็ไม่อาจทราบได้” ต้วนมู่ฉีกล่าว เสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องไปทั่วห้องประชุม

“มีโอกาสต่ำมากที่พวกเขาจะโดนจัดการไป แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น อย่างไรเสียระบบสุริยะแห่งนี้ก็มีสิ่งที่พวกเราไม่สามารถเข้าใจได้ซ่อนอยู่…เหล่าพลังปริศนาพวกนั้น!”

“ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะหลบหนีออกจากระบบสุริยะไปแล้วนั้นสูงกว่า    หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า…เราอาจจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่านี้   ในอนาคต!”

“เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเปิดใช้งานวงแหวนปราณระบบสุริยะไว้     แต่บทเรียนที่ได้จากเหตุร้ายบนดาวพุธก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าวงแหวนปราณบนดาวเคราะห์แต่ละดวงจะต้องเปิดใช้งานไว้ตลอดเวลา!” ต้วนมู่ฉีพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่มีใครดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา

เขากวาดตามองคนรอบๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง รู้ดีว่าถึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เหล่าคนที่อยู่ในห้องก็น่าจะรู้ดี เพราะแต่ละคนเคยผ่านประสบการณ์การวางแผนมามากมาย อาจดูเหมือนว่าต้วนมู่ฉีวางแผนจะปิดอภิมหาวงแหวนปราณและลดระดับการคุ้มกันลง แต่เขาได้ติดต่อกับพี่ใหญ่โมเกาจื่อที่สนิทชิดเชื้อกันมาหลายปีอย่างลับๆ พวกเขาวางแผนจะใช้วิธีนี้ล่อกลุ่มผู้บุกรุกให้ปรากฎตัวอีกครั้ง ทำให้ภารกิจค้นหาของโมเกาจื่อยังไม่สิ้นสุดลง

แม้ไม่คิดว่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ภายในสหพันธรัฐ แต่เขาก็ยังระแวดระวังว่าอาจจะมีคนภายในคอยติดต่อกับเหล่าผู้บุกรุกจากต่างดาว ทำให้ไม่ได้บอกรายละเอียดแผนการทั้งหมดไป แต่ได้วางมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งกว่าเอาไว้แทน

ต้วนมู่ฉีกำลังจะลุกขึ้นปิดการประชุมหลังจากจบประเด็นของตน ทันใดนั้น      ชายวัยกลางคนรูปงามคนหนึ่งจากตระกูลนภาห้าสมัยก็หัวเราะขึ้น

“สหายต้วนมู่ฉี ไหนๆ ก็ลงความเห็นประเด็นสำคัญต่างๆ ไปหมดแล้ว วงแหวนปราณระบบสุริยะก็จะปิดใช้งาน หมายความว่าทุกอย่างน่าจะกลับไปเป็นปกติ เช่นนั้น     เรามาคุยกันเรื่องการยกระดับนครใหม่แห่งดาวอังคารกันดีหรือไม่” ชายที่เสนอขึ้นคือผู้นำตระกูลเฉิน บิดาของเฉินมู่!

ผู้นำตระกูลอื่นๆ ในตระกูลนภาห้าสมัยพยักหน้ารับทันทีที่ชายผู้นี้พูดจบ         ผู้นำตระกูลจั่วยิ้มพร้อมเอ่ยปากพูด

“นครใหม่แห่งดาวอังคารเป็นทรัพย์สินที่มีความสำคัญมาก แต่ด้วยขนาดในปัจจุบันทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการขุดค้นอาวุธเทพได้เพียงพอ อีกทั้งยังมีปัญหาในส่วนของการรักษาความปลอดภัย ข้าขอสนับสนุนแผนยกระดับนครแห่งนี้ให้เป็น   เขตนครพิเศษ!”

หลังจากผู้แทนตระกูลนภาห้าสมัยเห็นพ้องต้องกัน ผู้อาวุโสระดับสูงจากสำนัก   รุ่งสางจักรพิภพก็ยกยิ้มและพยักหน้า

“สำนักรุ่งสางจักรพิภพขอให้การสนับสนุนแผนการนี้ด้วยเช่นกัน!”

ประมุขสำนักชุมนุมสกุณายกมือแตะคาง เขามองไปทางตระกูลนภาห้าสมัยและประมุขสำนักจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ก่อนจะเอ่ยปากให้การสนับสนุนเช่นเดียวกัน

กลุ่มไตรจันทราและคณะเสนาบดีไม่ได้พูดอะไร หลินโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย     ขณะหรี่ตามองประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

ในสายตาของหลินโยว สีหน้าของประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดูแปลกไปเล็กน้อยขณะก้มหัวอ่านอะไรบางอย่าง…ด้านสามสำนักศึกษาเต๋าที่เหลือ          ประมุขสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแค่นเสียงทางจมูกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร              แผนการยกระดับนครใหม่นั้นผ่านฉลุยมาอยู่แล้ว กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ได้ข้อสรุปภายในแล้ว มีการแบ่งหน้าที่ต่างๆ ในเขตนครพิเศษเตรียมไว้ด้วยซ้ำ หากไม่มีการคุกคามจากผู้บุกรุกต่างดาว แผนการนี้คงดำเนินการไปนานแล้ว

เจ้านครอาณานิคมมีสีหน้าราบเรียบ แต่ไม่มีใครสังเกตว่านางเพิ่งจะก้มมอง  แหวนสื่อสาร

จากเสียงส่วนใหญ่ แผนการยกระดับนครใหม่ก็ผ่านวาระการประชุม ต้วนมู่ฉีไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงซ่อนความเจ้าเล่ห์ในดวงตาเอาไว้

“ในเมื่อแผนการยกระดับนครใหม่ผ่านวาระไปแล้ว ต่อไปเราควรวางตัวเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารพูดขึ้นหลังจากปิดปากเงียบ    อยู่นาน

“ผู้เข้ารับตำแหน่งจะต้องมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน น่าเสียดายแทนหวังเป่าเล่อ เขาเป็นเด็กดี แต่ยังไม่ได้บรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นใน” ผู้นำตระกูลจั่วจากตระกูลนภาห้าสมัยส่ายหัวพลางถอนหายใจ

“แม้พวกเราจะมีอายุอานามมากแล้ว แต่ก็ยังสนับสนุนสหพันธรัฐและให้เวลา   คนรุ่นใหม่ได้เติบโต โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อผู้มากความสามารถ เขาไม่ควรจะมาเสียเวลาในจุดนี้ ควรเอาเวลาไปมุ่งฝึกวิชา!”

ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทุบโต๊ะพร้อมร้องคำรามขึ้นเมื่อได้ยินคำเสแสร้งจากคนเหล่านี้

“หวังเป่าเล่อสร้างความดีความชอบมากมายให้สหพันธรัฐและดาวอังคาร       เขาสร้างนครใหม่ขึ้นมากับมือ ข้าขอเสนอให้ทางสหพันธรัฐตั้งกรณีตัวอย่างและอนุญาตให้หวังเป่าเล่อขึ้นเป็นเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ!”

“ไม่เห็นจะต้องโวยวายใหญ่โตเลยท่านประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าเห็นด้วยว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ จะให้ไปแก้กฎง่ายๆ เช่นนั้น      ได้อย่างไร ถ้าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ข้าก็คงจะสนับสนุนเขาเช่นกัน แต่เขตนครพิเศษดาวอังคารนั้นมีความเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพ   จะมองเป็นเรื่องเล่นๆ ไปไม่ได้ ท่านประมุขสำนักไม่ควรจะเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามา   เกี่ยวโยงกับสวัสดิภาพของสหพันธรัฐ!” ผู้นำตระกูลเฉินจากตระกูลนภาห้าสมัยเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้ขึ้นเสียงแต่อย่างใด แต่ทุกถ้อยคำนั้นแฝงไปด้วยความดุดัน

“เจ้า…” ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หน้าเคร่งเครียดจากนั้นก็ซีดเผือด    ก่อนจะกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้งขณะที่กำมือแน่น ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีก

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งนี้ แต่ระดับการฝึกตนของเขายังไม่ถึงขั้น นอกจากนี้       ตามกฎของสหพันธรัฐแล้ว เจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษจะต้องเข้ารับตำแหน่งเสนาบดี โดยเขาจะต้องมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองเป็นอย่างน้อย          ซึ่งการจะขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองได้จะต้องมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้น    กำเนิดแก่นใน!” ผู้อาวุโสระดับสูงจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพส่ายหัวพร้อมกับ        ถอนหายใจ

“ก็ต้องว่ากันตามกฎ…”

ผู้แทนตระกูลนภาห้าสมัย ผู้แทนสำนักรุ่งสางจักรพิภพและผู้สนับสนุนคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจออกมา คนจากตระกูลนภาห้าสมัยนั้นแสร้งทำท่าทีสงสารเต็มที่

ขณะที่พวกเขากำลังจะสรุปว่าใครจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองไป เจ้านครดาวอังคาร     ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ

“ข้าเพิ่งได้ทราบข่าวใหม่ ตามที่พวกท่านทุกคนลงความเห็นว่าหวังเป่าเล่อเป็น  คนที่เหมาะกับตำแหน่งที่สุด แต่ก็น่าเสียดายที่มีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้น เขาเพิ่งจะเก็บตัวฝึกวิชาเสร็จ ตอนนี้…เขาบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version