ตอนที่ 1019
ไล่ล่าหลี่หลิงเอ๋อร์
“เมิ่งฮ่าว คืนมีดวิเศษนั้นมาให้ข้า!”
ปรมาจารย์เอกะเทวะส่งเสียงแผดร้อง ก่อนที่จะสูญเสียมีดบินนี้ไป จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้สนใจมีดเล่มนี้มากนัก แต่ในตอนนี้มีดเล่มนั้นไม่ได้เป็นของมันอีกต่อไป ทำให้ทันใดนั้นความทรงจำอันมากมายนับไม่ถ้วนได้ไหลบ่าเข้ามาในจิตใจมัน
ทุกๆ ความทรงจำที่โผล่ขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เมิ่งฮ่าวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ขณะที่ยกมือขึ้นและชี้นิ้วออกไปอีกสองสามครั้ง ปลดปล่อยเวทรุ่นเจ็ดออกไป หนังศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะเริ่มด้านชา ขณะที่ต่อมาเมิ่งฮ่าวได้เปลี่ยนเป็นเวทรุ่นหก
มองเห็นเป็นแสงระยิบระยับ ขณะที่สัญลักษณ์เวทจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นบนร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะ ต่อมาสัญลักษณ์เวทอีกชนิดก็ได้ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมัน คาดไม่ถึงว่าสัญลักษณ์เวทนี้ดูไม่แตกต่างไปจากเวทรุ่นหกของเมิ่งฮ่าว
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นเช่นนั้น เขาก็เข้าใจถึงทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาในทันที
“มีใครบางคนได้ใช้เวทรุ่นหกไปบนร่างของเจ้าแล้ว!”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องลองใช้เวทรุ่นห้าดู!” ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เขาใช้มือขวาขยับร่ายเวท อย่างน่าตกใจยิ่งรอยแตกได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะมองเห็นเช่นนั้น มันก็รู้สึกหวาดกลัวจนแทบเป็นบ้าไป
“เมิ่งฮ่าว!!!” มันแผดร้องขึ้นอย่างน่าสังเวชใจออกมา
“เจ้าจะทำอะไร? เจ้าคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่!? มันมากเกินไปแล้ว!!” ร่างของมันสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่ามันแทบจะบ้าคลั่งไปได้ทุกเมื่อ
“ไม่มีใครจะเลวร้ายไปกว่าเจ้าอีกแล้ว! ข้าโชคร้ายมาพอแล้วสำหรับแปดชีวิตที่ผ่านมา! ข้าถูกรังแกโดยพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรในวันนั้น และในตอนนี้เจ้าก็มารังแกข้าอีก!”
“ข้าได้หลบหนีเจ้าออกมาจากดาวตงเซิ่ง เจ้าคิดว่ามันง่ายมากหรืออย่างไร, หา?”
“เจ้าคิดจะทำอะไร!? เจ้าขโมยมีดวิเศษของข้าไปแล้ว! เจ้าจะทำอะไรอีก? เจ้าไม่อาจจะทำเช่นนั้น รู้หรือไม่ว่าข้ามีอายุมากเท่าใดแล้ว!? ข้าคือปรมาจารย์ของเจ้านะ!”
เมิ่งฮ่าวยกมือเกาศีรษะ เริ่มรู้สึกอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย กระแอมไอออกมาแล้วกล่าวว่า
“เช่นนี้เป็นอย่างไร ถ้าเจ้านำข้าไปยังอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป ให้เจ้ามีโอกาสไปหลบซ่อนตัวอีกครั้ง” เขายังมีแผ่นหยกที่ได้รับมาในช่วงของการแข่งขันที่ถูกจัดขึ้นโดยสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ เป็นแผ่นหยกที่สามารถนำพาเขาให้ไปยังอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าได้ แต่โชคร้ายที่ฟางโส่วเต้าได้พบเห็นแผ่นหยกนี้ก่อน และได้ทำการลบล้างความสามารถของแผ่นหยกนี้ไป ทำให้มันไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง
ปรมาจารย์เอกะเทวะเงียบสงบลงในทันที หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ มันก็พยักหน้าด้วยความขมขื่น แน่นอนว่าภายในใจมันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และยังได้หัวเราะอย่างเย็นชาขึ้นมาอีกด้วย
“เจ้าสารเลวน้อยนี่ยังคงอ่อนหัดนัก ข้าเป็นคนฉลาดรอบคอบ แล้วจะไปก้มศีรษะให้กับมันได้อย่างไร!?”
ที่ภายนอกมันถอนหายใจและปล่อยให้เมิ่งฮ่าวไปยืนอยู่บนร่าง ขณะที่มุ่งหน้าตรงไปยังทะเลที่เก้า หลังจากที่บินไปไม่นานนัก เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขวาขึ้นมา และทำให้เวทรุ่นห้าปรากฏขึ้นอยู่ในฝ่ามือ
“ปรมาจารย์ ท่านกำลังจะพาข้าเข้าไปในเศษซากเซียน?” เขาถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันลี้ลับ
ปรมาจารย์เอกะเทวะสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที และจิตใจมันก็เต็มไปด้วยโทสะ อย่างไรก็ตามเมื่อมันคิดไปถึงเวทสะกดของเมิ่งฮ่าว อีกครั้งที่มันเริ่มคร่ำครวญต่อชะตากรรมของตัวเอง ขณะที่ทำการเปลี่ยนทิศทางในทันที เพื่อลัดเลาะไปตามชายขอบของเศษซากเซียน
จากความรวดเร็วของมันในตอนนี้ คงอีกไม่นานที่มันจะพาเมิ่งฮ่าวไปถึงทะเลที่เก้าได้
เมิ่งฮ่าวยิ้มให้กับปรมาจารย์เอกะเทวะ ขณะที่ตบไปยังถุงสมบัติ ทำให้นกแก้วบินออกมา ผีโต้งผูกติดอยู่ที่ข้อเท้าของมันเหมือนเช่นเคย และเสียงกระดิ่งก็ได้ยินมาเมื่อทั้งสองได้ปรากฏตัวขึ้น
ในทันทีที่นกแก้วบินออกมา มันก็มองไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็กระพริบตาและร้องเป็นเสียงแหลมเล็กออกมา “อี๋? ช่างเป็นเต่าที่ใหญ่โตอะไรเช่นนี้! ช่างแปลกยิ่ง! ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าคุ้นตามันนัก?”
“เจ้านั่นเอง! ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว! เจ้าคือเต่ายักษ์จากทะเลเทียนเหอ!!”
ตอนนี้นกแก้วมีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง มันบินไปอยู่ที่ด้านข้างของศีรษะปรมาจารย์เอกะเทวะและกล่าวว่า “ข้ามักจะสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่เจ้ากินไปจะใหญ่โตสักแค่ไหน! เนื่องจากเจ้ามีขนาดที่ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง! มา มา มาบอกอู่เหยีย และเจ้าก็จะได้รับรางวัล!”
ด้วยความที่ไม่ต้องการจะด้อยกว่า ผีโต้งก็แผดร้องขึ้นมา “ซานเหยียก็จะให้รางวัลด้วย!”
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่สนใจทั้งนกแก้วและผีโต้ง ขณะที่พวกมันไปพูดจารบกวนปรมาจารย์เอกะเทวะ
ด้วยการที่มีทั้งสองตัวติดตามไปกับเต่าอย่างใกล้ชิด ทำให้เมิ่งฮ่าวไม่ต้องรู้สึกกังวลใจใดๆ เกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมที่ปรมาจารย์เอกะเทวะจะพยายามใช้ออกมา
ในตอนนี้เองที่เขาได้มองกลับไปยังแคว้นจ้าว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวนรำลึก ขณะที่ก้าวเท้าตรงไป และจากนั้นร่างก็แวบหายไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไปอยู่บนยอดเขาที่ไหนสักแห่งในแคว้นจ้าว
ภูเขานั้นดูแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาเคยจดจำได้ มันถูกเคลื่อนย้ายออกไป และถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นภูเขาเดียวกันกับที่เขาเคยจำได้…ภูเขาต้าชิง
เขายืนอยู่ที่นั่น นึกย้อนกลับไปเมื่อในอดีต ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อครั้งก่อน ในตอนที่เขาได้ก้าวเท้าเข้าไปในโลกแห่งการฝึกตน เมื่อเขาได้พบกับสวี่ชิง
“ภูเขาต้าชิง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำพร้อมกับถอนหายใจออกมา ขณะที่มองลงไปจากภูเขา เมิ่งฮ่าวก็สังเกตเห็นว่า สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแม่น้ำมาก่อนในตอนนี้กลับมองไม่เห็นอีกแล้ว เขาหันหน้าไปอีกครั้ง และมองเห็นว่าเมืองหยุนเจี๋ยก็หายไปด้วยเช่นกัน มันไม่ได้คงอยู่อีกแล้ว
มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือภูเขาลูกนี้ และความทรงจำที่ยังคงอยู่ของเมิ่งฮ่าว
หลังจากที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน นานมากๆ เขาก็เดินออกไปจากภูเขา ขณะที่ลอยตัวอยู่ที่นั่น เขาก็มองเห็นถ้ำเดียวกันกับเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งยังคงมีอยู่ที่ด้านข้างของภูเขา
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจและหมุนตัวไป แทนที่จะออกไปจากแคว้นจ้าว เขาได้ไปยังทะเลเหนือ ถึงแม้ว่าดินแดนแถบนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จนทำให้แคว้นจ้าวทั้งหมดแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ แต่ทะเลสาบนั้นก็ยังคงมีอยู่ในที่แห่งนี้เหมือนเช่นเคย
น้ำในทะเลสาบยังคงสงบนิ่งคล้ายกับกระจก เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไป ก็คิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเลสาบนี้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นเรือลำนั้นบนผิวน้ำ เป็นเรือที่เก่าแก่และมีชายชราผู้หนึ่งสามารถมองเห็นได้จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันมองมายังเมิ่งฮ่าวขณะที่คัดท้ายเรือให้ตรงมายังชายฝั่ง
ไหสุรากำลังถูกอุ่นอยู่ที่ด้านในตัวเรือ และไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวเยาว์วัยที่งดงามก็ได้โผล่หน้าออกมาจากประทุนเรือ และมองมายังเมิ่งฮ่าว
“ท่านจำชื่อข้าได้หรือไม่?” นางถามขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างออกมาจนมองเห็นไรฟัน
“กู๋อี่ติงซานอวี่” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมกับยิ้มให้ ขณะที่ก้าวเท้าลงไปบนตัวเรือ ชายชรายิ้มออกมาและโค้งตัวลงจนถึงเอว จากนั้นก็แจวเรือไปบนผิวน้ำต่อไป หญิงสาวเยาว์วัยมานั่งอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ยกไหสุราขึ้นมาและรินให้กับเขาหนึ่งจอก
“ท่านยังจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้หรือไม่?” นางถาม ดวงตาเปล่งประกายขึ้นราวกับเป็นน้ำในทะเลสาบ
“ข้าสัญญาว่าสักวันหนึ่ง จะช่วยให้เจ้ากลายเป็นทะเล” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม ยกจอกสุราขึ้นและดื่มมันลงไป
หญิงสาวเยาว์วัยยิ้มอย่างสดใสขึ้น กล่าวออกมาด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ
“ข้าต้องการจะกลายเป็นทะเลที่สงบนิ่งขนาดใหญ่ ข้าไม่ต้องการให้มีคลื่นใดๆ ข้าต้องการความสงบ เป็นความสงบและนิ่งเงียบ เป็นทะเลที่คล้ายกับเป็นกระจก”
เมิ่งฮ่าวพยักหน้าให้
“ในชีวิตของท่านได้เคยสัญญาไว้มากมายเท่าใด?” นางถาม
“สี่”
“สำเร็จไปแล้วเท่าไหร่?”
“ไม่สำเร็จแม้แต่อย่างเดียว”
“คงไม่ใช่หมายความว่า ข้าต้องรอคอยไปอีกนานมากๆ?”
เมิ่งฮ่าวยิ้ม ยกจอกสุราขึ้นมาอีกครั้งและดื่มลงไปอีก
แทบจะในช่วงเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวและกู๋อี่ติงซานอวี่ได้มาพบกันอีกครั้ง ก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก จากสถานที่แห่งนี้ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ได้มีเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นซึ่งผู้ฝึกตนทั้งหมดแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าไม่อาจจะตรวจพบได้
บนเรือลำนั้นนั่งไว้ด้วยผู้คนสองคน หนึ่งชรา หนึ่งเยาว์วัย ซึ่งเคยมองไปขณะที่เมิ่งฮ่าวได้เปิดประตูเซียนและจากนั้นก็เปิดจุดชีพจรเซียนของเขา ชายชรากำลังมองเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งมันได้มองเห็นเมิ่งฮ่าวและปรมาจารย์เอกะเทวะ ในตอนนั้นเองที่ดวงตามันได้สาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกสนใจในตัวของเมิ่งฮ่าวขึ้นมา
ที่ด้านข้างมันนั่งไว้ด้วยบุรุษเยาว์วัย ซึ่งมีใบหน้าที่ดูถูกเยาะเย้ย
“หนึ่งคน หนึ่งเต่า” บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ย “ช่างเหมาะสมกันดียิ่ง และยังมีนกแก้วนั่นอีก พวกมันทั้งหมดช่างเข้ากันได้ดี”
“บุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “และเต่านั่นก็ไม่ใช่เต่าธรรมดา สำหรับนกแก้วนั่น…มันก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน”
ชายชรามองไปยังบุรุษหนุ่ม และดูเหมือนว่าจะค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
“ท่านหมายความว่าอย่างไร, ไม่ธรรมดา?”
บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง “ถึงแม้ว่ามันจะเปิดชีพจรเซียนได้เป็นจำนวนมากที่สุด และยังได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียนอีกด้วย
แต่ก็มีบุคคลเช่นนี้อยู่มากมายในอาณาจักรหลิงซิง (วิญญาณดาว) ของพวกเรา! แม้ว่าพวกมันอาจจะไม่ใช่เซียน แต่…ถึงจะเป็นเซียนแล้วจะอย่างไร!”
“มันเป็นเซียนแท้” ชายชรากล่าวขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เซียนแท้? ช่างน่าขำนัก! ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อนโน้น ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างก็กระหายที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียนเช่นนี้ แต่ทุกวันนี้ก็เหลือเพียงแค่เก้าขุนเขาเท่านั้น!”
“ถ้าข้าต้องการจะสังหารคนผู้นั้น ก็แค่โบกสะบัดมือไปเท่านั้น และมันก็จะตายไป!” รังสีสังหารแวบขึ้นมาอยู่ในดวงตาของบุรุษหนุ่ม เห็นได้ชัดว่ามันมีความรู้สึกว่าสามารถจะสังหารเมิ่งฮ่าวได้ง่ายดายราวกับบดขยี้มดปลวก
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เรียนรู้จากเป้าหมายที่เป็นคนจริงๆ…ข้าจำเป็นต้องสังหารเซียนและนำศีรษะของมันกลับไปยังอาณาจักรหลิงซิง…ในฐานะที่เป็นของที่ระลึกจากการต่อสู้” บุรุษหนุ่มเลียริมฝีปากของมัน
แสงอันเย็นชาสาดประกายอยู่ในดวงตาของชายชรา ขณะที่มองไปยังบุรุษหนุ่ม
“มันเป็นเซียนแท้ ที่ไม่ใช่เซียนจากยุคสมัยนี้ แต่เป็นเซียนจากยุคบรรพกาล มันมีตัวตนที่เป็นเซียนอย่างแท้จริง เป็นเซียนแท้ที่อยู่ในสมัยโบราณ สามารถจะมายังอาณาจักรหลิงซิงของพวกเรา และทำให้คนทั้งหมดในโลกนั้นต้องก้มศีรษะเพื่อกราบกรานสักการะมัน”
“ในอดีตที่ผ่านมา อาณาจักรหลิงซิงเป็นหนึ่งในสามพันอาณาจักร ที่อยู่ใต้ผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียน เมื่อผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียนพังทลายลงไปด้วยเหตุผลที่พิเศษเฉพาะ โลกของพวกเราก็มีบทบาทเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น!”
“เจ้ามองลงไปยังเต่านั่น และคิดว่ามันเป็นแค่เต่าธรรมดา แต่รู้หรือไม่ว่า? เมื่อข้ามองไปยังมัน ก็ทำให้ข้าต้องตกใจ!”
“ข้ารู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นอันน่ากลัว กำลังกระจายออกมาจากเจ้าสิ่งนั้น”
“และสุดท้าย เกี่ยวกับบุรุษที่เจ้าดูถูกผู้นั้น…อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่อาจจะรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ว่ามันมีการเชื่อมโยงกันโดยตรงกับจิ่วต้าซานไห่?!?! (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่)” ขณะที่ชายชรากล่าว คำพูดของมันก็ยิ่งแหลมคมมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นคำดุด่าต่อบุรุษหนุ่มผู้นั้น
บุรุษหนุ่มนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ใบหน้าค่อยๆ เริ่มกลายเป็นสีเขียวขึ้นด้วยโทสะ ไม่กล้าจะตอบโต้กลับไป แต่เมื่อมันก้มศีรษะลง ดวงตาก็เย็นเยียบอย่างชั่วร้ายจนดูน่ากลัวยิ่ง
“ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะตกต่ำลงมาจนถึงระดับปัจจุบันนี้” ชายชรากล่าวต่อไป “เจ้าก็ไม่อาจจะผลีผลามไปมีเรื่องกับคนในที่แห่งนี้ได้! จริงๆ แล้วข้าไม่ต้องการจะมาพบเจอกับอันตรายในสถานที่แห่งนี้ แต่เมื่อบิดาเจ้ายืนกราน ข้าก็ได้นำเจ้ามาเพื่อให้ลองสังหารเซียนดูเป็นครั้งแรก…”
“ข้าถูกบังคับให้ต้องทำ พวกเราจึงได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าเจ้าต้องการจะลองสังหารบุรุษผู้นั้น ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า อย่างไรก็ตามบิดาเจ้าสามารถจะมองเห็นบันทึกการเดินทางทั้งหมดของพวกเรา และไม่อาจจะตำหนิข้าได้…ถ้าเจ้ารนหาที่ตายเอง!” ขณะที่คำพูดอันเย็นชาของมันดังก้องออกไป ชายชราก็โบกสะบัดมือขวา ทำให้กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าขึ้นไป ภายในกระแสน้ำวนนั้นเป็นภาพของหลี่หลิงเอ๋อร์ ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการหลบหนีออกมาจากงานวิวาห์ของนาง
“เด็กหญิงนางนี้อ่อนแอกว่าบ้าง แต่ก็เป็นเซียนเช่นเดียวกัน ทำไมเจ้าไม่ไปสังหารนางเป็นคนแรก?” ขณะที่ชายชราพูด บุรุษหนุ่มก็มองขึ้นไปยังหลี่หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ภายในกระแสน้ำวน และดวงตาของมันก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ
“อืม นางช่างงดงามยิ่ง ซือจุน (ท่านอาจารย์) ท่านจะถือสาหรือไม่ ก่อนที่ข้าจะสังหารนาง ขอให้ข้า…ได้มีอะไร…กับนางเซียนผู้นี้ดูสักครั้ง?”
ชายชราขมวดคิ้ว และมีท่าทางรังเกียจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
บุรุษหนุ่มเลียริมฝีปาก จากนั้นก็ก้าวเดินตรงไปยังกระแสน้ำวนนั้น
หลี่หลิงเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านบนของยานบินที่พุ่งผ่านกลุ่มดาวไป นางกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังทะเลที่เก้าด้วยเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า แต่เพื่อค้นหาเกาะสักหนึ่งแห่งเพื่อนางจะสามารถทำการฝึกตนได้
นางหวังว่าจะสามารถหยิบยืมพลังบางส่วนของทะเลที่เก้า มาช่วยให้อาณาจักรเซียนของนางมีความเสถียรมั่นคงมากยิ่งขึ้น
นางไม่ได้มีความคุ้นเคยกับทะเลที่เก้า ปกติแล้วนางมักจะอยู่แต่ภายในตระกูลเพื่อทำการฝึกตนมาโดยตลอดเมื่อในอดีตที่ผ่านมา นางคิดเอาเองว่าทั้งหมดนี้ก็เหมือนกับการเดินเล่นอยู่ภายในสวนหลังบ้านเท่านั้น แต่ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงเบื้องหน้าก็ได้บิดเบี้ยวไปมา และทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็ปรากฏขึ้น
บุรุษหนุ่มที่เย่อหยิ่งผู้หนึ่งได้ก้าวเดินออกมาจากกระแสน้ำวน และในทันทีที่มันมองไปยังนาง ประกายตาที่แปลกๆ และชั่วร้ายก็มองเห็นได้อยู่ในแววตาของมัน แทบจะราวกับว่ามันคือนักล่าที่กำลังมองไปยังเหยื่อของมัน
ดวงตาของหลี่หลิงเอ๋อร์แวบแสงแห่งความระมัดระวังตัวขึ้นในทันใด นางไม่เคยเห็นบุรุษหนุ่มผู้นี้มาก่อน แต่ก็รู้สึกขึ้นได้ในทันทีว่ามันเป็นตัวอันตราย ยิ่งไปกว่านั้นจากสายตาที่มองมาของมัน ก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจขึ้นเล็กน้อย
“เซียนจื่อ (นางเซียน) ผู้งดงาม สบายดีหรือไม่? เจ้าควรจะจดจำชื่อข้าไว้! ข้ามีนามว่าเจิ้งหลินฝ่า! หรือจะเรียกข้าว่าอี้ฝ่าจือก็ได้!”
“เพราะว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าไม่อาจจะลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต! และจะเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายของเจ้าเช่นเดียวกัน!” บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก้าวเดินตรงมายังหลี่หลิงเอ๋อร์