ตอนที่ 1484
เดินไปดับตะเกียงวิญญาณไป
สามปีผ่านไป
ผู้คนในชางหมางพ่ายยังคงพูดคุยเกี่ยวกับฟางมู่ สำหรับภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขา ตอนนี้มีเยียนเอ๋อร์อาศัยอยู่เพียงลำพังเท่านั้น ไม่เปิดให้แขกเหรื่อมาเยี่ยมเยือน ทำให้ชีวิตของนางกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
โดยไม่มีเมิ่งฮ่าวอยู่ด้วย ความซุกซนหน้ามุ่ยของนางก็ไม่มีอีกต่อไป บางครั้งก็แค่นั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางเหม่อลอย เพ้อฝันไปถึงเรื่องราวเมื่อในอดีต
แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่า…อาจารย์ของนางจากไปแล้วได้
นอกจากฝึกฝนตนเองแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่นางมักจะทำอยู่ทุกวัน นั่นก็คือไปยังห้องเข้าฌาณตามลำพังของอาจารย์ ซึ่งเป็นที่เก็บเปลวไฟวิญญาณของเขา
ตราบเท่าที่เปลวไฟวิญญาณยังคงลุกไหม้อยู่ อาจารย์นางก็ยังคงมีชีวิตอยู่
วันหนึ่งนางมายังห้องนี้เหมือนเช่นเคย โขกศีรษะให้กับเปลวไฟวิญญาณ และจากนั้นก็เริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงพูดพึมพำ
“ซือจุน ท่านจากไปสามปีแล้ว ซึ่งไม่ถือว่ายาวนานมากนัก…”
“ใช่แล้ว เมื่อคืนที่เยียนเอ๋อร์ฝึกตน ในที่สุดก็เข้าใจถึงวิชาเวทอย่างหนึ่ง”
“มีอีกเรื่องที่ซือจุนยังไม่รู้ เมื่อวานเหล่าคนเลวจากสำนักอื่นๆ เริ่มสร้างปัญหาอีกแล้ว ได้ข่าวมาว่าพวกมันกำลังจะเริ่มมาท้าทายชางหมางไถอีกครั้งแล้ว”
“ซือจุน ยังมีอีกเรื่อง…” ทุกครั้งที่เยียนเอ๋อร์มา ก็จะพูดกับตัวเองเช่นนี้ราวกับว่าอาจารย์ของนางกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้า ครั้งนี้ขณะที่นางกล่าว แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างและเงียบลง สีหน้าเปลี่ยนไป ใบหน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด ขณะที่จ้องมองไปยังเปลวไฟวิญญาณด้วยความตกตะลึง
เป็นเวลาสามปีมาแล้ว ที่เปลวไฟวิญญาณไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้เปลวไฟได้จางหายไปเล็กน้อย ราวกับว่าอาจจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ ภาพที่เห็นนี้ทำให้เยียนเอ๋อร์ต้องสั่นสะท้าน และจิตใจก็หมุนคว้าง นางรู้ดีว่านี่คือเปลวไฟพลังชีวิตของอาจารย์ และถ้ามันดับลงไปก็จะหมายความว่าท่านได้ตายไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าท่านต้องพบเจอกับสถานการณ์อันร้ายแรงบางอย่างบนเส้นทางเหนือสูงสุด
จิตใจนางเต็มไปด้วยความขมขื่นและวิตกกังวล แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อช่วยเหลืออาจารย์ได้ นางไม่อาจจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ได้อย่างแท้จริง
“ซือจุน เยียนเอ๋อร์ช่างไร้ประโยชน์นัก…” หยดน้ำตาเริ่มไหลรินลงมาบนใบหน้า สั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่ก็ยังคงจ้องมองไปยังเปลวไฟวิญญาณอยู่ตลอดเวลา
เป็นความจริงที่เมิ่งฮ่าวกำลังเผชิญหน้ากับการทดสอบอันน่ากลัวบนเส้นทางเหนือสูงสุด แรงกดดันที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมาเป็นหลายเท่าตัว
เขาเดินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามปี และเริ่มคุ้นเคยกับแรงกดดันนี้อย่างช้าๆ และยังได้บรรลุถึงจุดที่สามารถจะวิ่งไปอย่างช้าๆ ได้เล็กน้อยอีกด้วย แต่วันนี้เมื่อเขาข้ามเข้าไปในอาณาเขตแห่งใหม่ ทันใดนั้นแรงกดดันก็เพิ่มขึ้นมา ไม่ใช่สองเท่าแต่เป็นสิบเท่า!
มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด เมิ่งฮ่าวไม่มีเวลาแม้แต่จะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ก่อนที่จะถูกกระแทกให้ตกลงไปบนพื้น
กระดูกมากมายแตกร้าวไป ขณะที่ดิ้นรนต่อต้านแรงกดดันนั้น และผิวกายก็ถูกบดขยี้ไป เสียงแตกร้าวได้ยินออกมา กระดูกภายในร่างแทบจะแตกกระจายไปได้ทุกเมื่อ
ความรู้สึกถึงวิกฤตเป็นตายที่ใกล้เข้ามาม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งจิตใจ นอกจากนั้นแล้วพื้นฐานฝึกตนก็ถูกสะกดไว้อีกด้วย ทำให้เริ่มสั่นสะท้านและดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง พร้อมกับส่งเสียงกู่ร้องออกมา แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ในตอนนี้
ถ้าเป็นคนอื่นๆ คงจะถูกกำจัดไปแล้วในทันที แต่ร่างจริงเมิ่งฮ่าวได้สร้างร่างจำแลงนี้ขึ้นมาตามรูปแบบที่ถูกจัดวางอยู่ในตะเกียงสัมฤทธิ์ ทำให้มีความสมบูรณ์แบบอยู่ในทุกส่วน
เป็นร่างที่บริสุทธิ์ ไร้สิ่งสกปรกหรือมลทินใดๆ และมีกลิ่นอายเซียนขั้นสูงสุด จริงๆ แล้วก็สามารถจะกล่าวได้ว่าร่างจำแลงนี้คือร่างเซียนในตัวเอง
เมื่อรวมเข้ากับเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์อันน่ากลัวของร่างจริงเมิ่งฮ่าว ก็หมายความว่าร่างจำแลงนี้สามารถจะมีชีวิตรอดภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันเป็นสิบเท่านี้ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ผ่านไปแปดชั่วยาม สายตาเมิ่งฮ่าวก็มืดสลัวลงไป แต่ภายใต้แรงกดดันอันเข้มข้นอย่างน่ากลัวนี้ เขาสามารถจะดับหนึ่งในหกตะเกียงวิญญาณที่ยังคงลุกไหม้อยู่ได้
ทันใดนั้นพลังชีวิตก็ไหลเข้ามาภายในร่าง ช่วยฟื้นฟูกระดูกและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พื้นฐานฝึกตนพุ่งทะยานขึ้นไป และพลังชีวิตที่กำลังจางหายไปก็เริ่มฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง
เมื่อต่อสู้กับวิกฤตอันร้ายแรงนี้มาได้ เมิ่งฮ่าวก็ดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง ใบหน้าซีดขาวและหอบหายใจออกมา ขณะที่มองกลับไปยังเส้นทางที่เดินผ่านมาทางด้านหลัง ในตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเส้นทางเหนือสูงสุดเป็นอย่างไร แรงกดดันนั้นไม่ได้มีอยู่อย่างคงที่ แต่จะเพิ่มขึ้นมาเป็นหลายเท่าตัวในช่วงหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่ายิ่งเดินไปบนเส้นทางนี้ไกลมากเท่าใด ก็จะยิ่งพบเจอกับแรงกดดันอันน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังไม่มีคำเตือนล่วงหน้าอีกด้วย มันจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความเป็นตายถูกแยกออกจากกันเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ขณะที่พลังชีวิตของเมิ่งฮ่าวฟื้นฟูกลับคืนมา เยียนเอ๋อร์อยู่ในห้องเข้าฌาณตามลำพังของเขาในตี้จิ่วจงแห่งชางหมางพ่าย กำลังจ้องมองไปยังเปลวไฟวิญญาณของเขา เมื่อเปลวไฟเริ่มลุกโชนเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ปาดเช็ดหยดน้ำตาและตัดสินใจในทันที
“ซือจุน ข้าจะต้องแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วให้จงได้ จากนั้น…ข้าก็จะเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดพร้อมกับท่าน” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และออกไปจากห้องเข้าฌาณตามลำพัง
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา นางไม่ได้เอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาอีกต่อไป นางเริ่มไปทดสอบยังชางหมางไถ ถึงแม้ว่าเสียงระฆังจะไม่มีประโยชน์ต่อนาง แต่โชควาสนาอื่นๆ ที่อยู่ภายในชางหมางไถก็ยังคงช่วยนางได้
นั่นคือการตัดสินใจของนาง ตอนแรกไปทดสอบยังชางหมางไถ จากนั้นก็เดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด
ผ่านไปอีกสามปี ตอนนี้เมิ่งฮ่าวอยู่บนเส้นทางเหนือสูงสุดมาหกปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นใครอื่นอีก ราวกับว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตเพียงคนเดียวในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ ขณะที่เดินตรงไปภายใต้แรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อ ก็ค่อยๆ เริ่มคุ้นเคยกับมันอย่างช้าๆ ในที่สุดก็บรรลุถึงจุดที่สามารถจะวิ่งไปอย่างช้าๆ ได้แล้ว แต่ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ เขามีความรู้สึกว่า…แรงกดดันที่ระเบิดเพิ่มขึ้นกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
เมื่อความรู้สึกนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้น เขาก็เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่กี่เดือนต่อมา ในที่สุดก็มองเห็นใครบางคนที่เบื้องหน้า
เป็นบุคคลที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับตนเอง กำลังเดินตรงไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก เส้นผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง แต่กระจายเป็นกลิ่นอายแห่งอาณาจักรเต๋าออกมา
นี่คือสหายร่วมสำนักคนแรกที่เมิ่งฮ่าวพบเห็น นับตั้งแต่ที่เข้ามาบนเส้นทางเหนือสูงสุด แต่ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะทันได้ร้องตะโกนออกไปทักทาย บุรุษที่เบื้องหน้าก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็สั่นสะท้านและล้มลงไปบนพื้นในทันที
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไป ร่างมันก็กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิต เพียงชั่วขณะกลุ่มหมอกโลหิตนั้นก็ถูกบดขยี้ลงไปในพื้นดิน กระจัดกระจายหายไปโดยสิ้นเชิง
ชั่วขณะต่อมา ก็ไม่มีแม้แต่ร่องรอยใดๆ ของโลหิตหลงเหลืออยู่ ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวบ่งชี้ด้วยเช่นกันว่าบุรุษผู้นั้นเคยคงอยู่ที่นั่นมาก่อน ราวกับว่าสิ่งที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะมองเห็นนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา
เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่งเพื่อขบคิดด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง ถ้าเขาไม่ได้มองเห็นด้วยสองตาของตนเองถึงการตายไปของบุรุษผู้นั้น เรื่องราวคงจะง่ายดายไปกว่านี้เล็กน้อย ตั้งแต่สามปีก่อนเมื่อแรงกดดันระเบิดเพิ่มขึ้นมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เขาก็มักจะคิดว่ามันอาจจะดีกว่านี้ ถ้าได้รู้ล่วงหน้าเพื่อสามารถจะเตรียมตัวได้
แต่ตอนนี้เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเส้นชายขอบอยู่ตรงจุดไหน เขาสามารถจะเตรียมตัวได้ล่วงหน้า แต่ก็เป็นการเปิดประตูไปสู่ความสงสัยและหวาดกลัวด้วยเช่นกัน เมื่อครู่นี้เขามองเห็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าถูกบดขยี้จนกลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตไป ทำให้รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจที่จะเดินต่อไปเล็กน้อย
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ โคจรหมุนวนพลังการฝึกตน เริ่มเดินตรงไปด้วยความมุ่งมั่น
ในที่สุดก็บรรลุถึงเขตแบ่งแดน ถ้าเดินไปอีกหนึ่งก้าวก็จะอยู่ในจุดเดียวกับที่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าถูกกำจัดไป เมิ่งฮ่าวยกเท้าขึ้นมาโดยไม่ลังเลหรือสั่นสะท้านใดๆ ก้าวตรงไปข้างหน้าในทันที
เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่แรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อระเบิดลงมาบนร่าง แรงกดดันนั้นรุนแรงมากกว่าเดิมถึงยี่สิบเท่า ตั้งแต่ที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางเหนือสูงสุดแห่งนี้
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้นเมื่อร่างกายเมิ่งฮ่าวเริ่มระเบิดออกไป โลหิตพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกที่ และเสียงกระดูกแตกร้าวก็ดังก้องออกมา เกิดเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนใครก็ตามจะต้องแผดร้องออกมา แต่เมิ่งฮ่าวก็กัดฟันแน่นกลั้นหายใจ เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา เมื่อเขาโคจรหมุนเวียนพลังการฝึกตน และส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป เวลาเดียวกันนั้นตะเกียงวิญญาณทั้งหมดก็ระเบิดเป็นพลังออกไป
แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าไม่อาจจะอดทนได้อีกต่อไป เมื่อร่างกายกำลังจะพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง หนึ่งในตะเกียงวิญญาณห้าดวงสุดท้ายก็ดับลงไป
การดับลงไปของตะเกียงวิญญาณทำให้พลังชีวิตไหลท่วมเข้ามาในร่าง ราวกับเป็นสายฝนที่ตกลงมายังทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทันใดนั้นร่างกายก็เริ่มฟื้นฟูกลับคืนมา ถึงแม้ว่ายังคงต้องใช้ความพยายามที่จะยืนให้จงได้ก็ตาม หลับตาลงเป็นเวลานานก่อนที่จะพยายามเดินต่อไปราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาในที่สุด
“เหลือตะเกียงแค่สี่ดวงแล้ว…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง กัดฟันแน่นขณะที่เดินต่อไป การดับตะเกียงวิญญาณหนึ่งดวงในรอบสามปีที่ผ่านมานี้ค่อนข้างจะช้าเล็กน้อย แต่ก็เป็นระดับที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะยอมรับได้ นอกจากนี้ในโลกด้านนอก คงต้องใช้เวลานับร้อยปีกว่าจะดับตะเกียงวิญญาณที่เหลืออยู่นี้ได้
อย่างไรก็ตามแรงกดดันอันน่ากลัวในสถานที่แห่งนี้ ก็สามารถกระตุ้นพลังชีวิตที่ซ่อนเร้นของคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องตายไป
สามปีต่อมา เมิ่งฮ่าวเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดเป็นเวลาเก้าปีแล้ว และกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ เดิมทีเขาคิดว่าในอาณาเขตต่อไปจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นยี่สิบเท่าจะกลายเป็นสามสิบเท่า แต่เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณนั้นก็พบว่าไม่ได้เพิ่มสามสิบเท่า แต่กลายเป็นห้าสิบเท่า!
แรงกดดันที่ระเบิดออกมานั้นทำลายร่างเมิ่งฮ่าวไปครึ่งตัวโดยสิ้นเชิง โลหิตพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง และมีแต่ต้องดับตะเกียงวิญญาณดวงที่สี่ไปเท่านั้นถึงจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้ หลังจากที่พักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายกลับคืนมาได้แล้ว ก็มุ่งหน้าเดินต่อไป
“เหลือตะเกียงอีกสามดวงเท่านั้น!” เมิ่งฮ่าวคิด เส้นผมยุ่งเหยิง และใบหน้าก็ซีดขาว แต่ก็กัดฟันแน่นและเดินต่อไป ในที่สุดเมื่อเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดในปีที่สิบสอง ก็มองเห็นใครบางคนที่เบื้องหน้าขึ้นไป
ไม่ใช่เพียงคนเดียว แต่เป็นสี่คน!
พวกมันกำลังนั่งขัดสมาธิสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ตรงด้านหน้าขึ้นไปหลายร้อยจ้าง พื้นฐานฝึกตนของพวกมันต่างก็อยู่ในระดับราชันเต๋าสามแก่นแท้ เข้าใกล้ระดับสี่แก่นแท้เป็นอย่างมาก
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาพวกมันก็ลืมขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
“อาณาจักรโบราณ?”
“ใครก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันเต๋าไม่อาจจะผ่านทัณฑ์ที่สามมาได้ แล้วมันมายังที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน!?”
“จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณไม่อาจจะเดินมาบนเส้นทางนี้ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกมันมักจะหยุดก่อนที่จะถึงทัณฑ์ที่สาม”
“หรือว่านี่คือผู้ถูกเลือกคนใหม่ของสำนัก?” ราชันเต๋าทั้งสี่ออกจากสำนักมาเป็นเวลาหกสิบปีเต็มแล้ว จึงไม่อาจจะรับรู้ถึงตำนานของฟางมู่ ดวงตาพวกมันเริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้น เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวเดินตรงมา
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้ามาใกล้ หนึ่งในคนทั้งสี่ก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าเป็นศิษย์สำนักใด?”