Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 40

ตอนที่ 40

คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ

ในเวลาเดียวกับที่ปรมาจารย์เอกะเทวะลืมตาขึ้น เมิ่งฮ่าวก็ได้กระตุ้นกุญแจหยกผลึกโลหิตไปถึงชิ้นที่ห้าสิบ หัวสมองของเขาสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง และตัวอักษรในคัมภีร์สุดยอดวิญญาณก็ลอยอยู่รอบๆ เขา ตัวอักษรแต่ละตัวส่องแสงสีทองสว่างจ้าราวกับจะพุ่งทะลุผ่านร่างกายของเขาออกไป กลบแสงสีแดงราวโลหิตไปโดยสิ้นเชิง มีเพียงแต่แสงสีทองส่องประกายอยู่ทั่วบริเวณนั้น

เมื่อแสงสีทองกระจายออกไป ร่างกายของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ทะเลสาบลมปราณของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับว่ามันเริ่มจะทำอะไรบางอย่างกับประกายสีทองนั้น จากนั้นทะเลสาบลมปราณของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีทอง เสียงกึกก้องราวฟ้าผ่าดังออกมาจากทะเลสาบลมปราณ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทั่วทั้งร่างกายของเขา

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเสียงแตกร้าว กระดูกของเขายืดยาวมากขึ้น เลือดและเนื้อแข็งแรงมากขึ้น ชั่วพริบตานั้น เขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย

เส้นชีพจรของเขาก็ดูโปร่งใสราวผลึก หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาโดยสมบูรณ์ เส้นผมของเขาก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายกำลังเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่าน ตามคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ

กระบวนการเช่นนี้ผ่านไปราวสามชั่วยาม เสียงระเบิดอีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นภายในร่างกายของเมิ่งฮ่าว เมื่อเขาลืมตาขึ้น สองตาก็ส่องประกายเป็นสีทอง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อประกายสีทองในดวงตาจางหายไป เมิ่งฮ่าวดูท่าทางตื่นเต้น ภายในใจของเขาทราบดีว่า ความรู้ในคัมภีร์ทั้งหมดได้ประทับลงไปอย่างลึกล้ำในวิญญาณของเขา เขาเข้าใจในทุกๆ บรรทัดของมัน นี่เป็น…คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ

นี่คือตำรารวบรวมลมปราณฉบับที่อาจเป็นสาเหตุแห่งสงครามโลหิตในโลกด้านนอก เป็นชนวนการต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งระหว่างสำนัก ซึ่งบัดนี้ มันได้อยู่ในจิตวิญญาณของเมิ่งฮ่าวเรียบร้อยแล้ว

หลังจากสามชั่วยามแห่งการแปรร่างผ่านไป แม้เมิ่งฮ่าวในยามนี้ยังคงอยู่ที่ระดับขั้นหกของการรวบรวมลมปราณ แต่เขาได้มีวิธีการฝึกตนใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสามวิธีรวบรวมลมปราณที่ดีที่สุดทั่วทั้งดินแดนหนานซาน

ความโชคดีเช่นนี้ เป็นอะไรที่แม้แต่ศิษย์ของสำนักอันเลื่องชื่อ หรือตระกูลอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้รับ

ด้วยการใช้วิธีการฝึกตนของตำรารวบรวมลมปราณฉบับสมบูรณ์นี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถบรรลุถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ และจากนั้นก็สามารถบรรลุถึงขั้นลมปราณไร้ที่ติได้อย่างแน่นอน นอกเหนือจากนี้ พลังลมปราณของเขาก็ลึกล้ำมากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันอย่างมากมาย

บางทีในตอนนี้มันยังไม่แข็งแกร่งมากพอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พลังลมปราณจะค่อยๆ สะสมมากยิ่งขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เขาบรรลุถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็จะเหมือนผีเสื้อที่โผล่ออกมาจากดักแด้ เพราะแท้ที่จริงแล้ว ความสำคัญของตำรารวบรวมลปราณ ไม่ใช่เวทวิธี แต่เป็นการบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณอันหาได้ยากยิ่ง!

ณ ตอนนี้ ถ้าเขาได้ต่อสู้กับหวังเถิงเฟยอีกครั้ง เขาก็จะไม่ตกอยู่ในความสะบักสะบอมเฉกเช่นวันนั้นอีก ในความเป็นจริง ตอนนี้เขาสามารถที่จะควบคุมกระบี่บินได้พร้อมกันถึงสิบเล่ม และบังคับให้มันเคลื่อนไหวตามใจ มีพลานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!

เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมิ่งฮ่าวกำหมัดไว้จนแน่น จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันรุนแรง หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชั่วครู่ เขาก็ลงมาจากก้อนหินใหญ่และเดินจากไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ปรมาจารย์เอกะเทวะก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งแห่งความตื่นเต้นที่มากกว่าของเมิ่งฮ่าว เมื่อมันลืมตาขึ้น มันก็มองเห็นเมิ่งฮ่าว รวมทั้งเฉินฝาน และสวี่ชิง มันรอคอยด้วยความกระหายเพื่อให้เมิ่งฮ่าวกระตุ้นผลึกโลหิตก้อนต่อไป จากนั้นก็มองไปด้วยงุนงงเมื่อทันใดนั้น ก็เห็นเมิ่งฮ่าวได้รับคัมภีร์สุดยอดลมปราณ

“บัดซบ, บัดซบ ข้าควรปล่อยญาณแห่งความรู้ไว้ข้างนอกนั่น ไม่, ไม่, ไม่ ถ้าไม่ปล่อยไว้ก้ไม่มีทางทำให้เจ้าเด็กน้อยนั่นเข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก แต่, แต่, แต่…ทำไมมันถึงได้รับความรู้ไปด้วยผลึกโลหิตเพียงแค่ห้าสิบก้อนกันเล่า ควรเป็นร้อยก้อนจึงจะดีกว่า, สองร้อย, อย่างน้อยก็ควรจะเป็นสามร้อย หรือถ้าเป็นห้าร้อยก้อน ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งกัมมัฏฐานอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว!”

ปรมาจารย์เอกะเทวะเต็มไปด้วยความหดหู่ใจ นี่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของมัน และมันก็ทำได้เพียงแต่ มองความหวังนี้หายไปด้วยสองตา ถ้าไม่มีผลึกโลหิตมาช่วยฟื้นฟูพลังของมัน สุดท้ายมันก็ต้องค่อยๆ แห้งตายไปในที่สุด และมันก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้

“ข้าโหดร้ายกับตัวเองเกินไป เมื่อปีนั้น ข้าขังตัวเองอยู่ในนี้ จะออกไปไม่ได้จนกว่าจะก้าวข้าม แม้แต่กระแสเสียงก็ส่งผ่านออกไปจากที่นี่ได้ยาก ส่วนเวทมนตร์ ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ ทำยังไงดี? ทำยังไง? ข้าต้องคิดอะไรบางอย่าง…”

เสียงของมันเริ่มกระวนกระวาย เมื่อมองเห็นเมิ่งฮ่าวได้พบกับสวี่ชิง และเฉินฝาน ในตำหนักใต้ดินที่อยู่ด้านบนของห้องลับ พวกเขาเดินตรงไปที่แท่นบวงสรวง แสดงถึงการเตรียมตัวที่จะจากไปซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน

“ต้องทำให้ทุกคนในโลกแห่งการฝึกตนของแคว้นจ้าวมาที่นี่ เมื่อนั้น ด้วยพลังแห่งการฝึกตนของพวกมัน จะช่วยให้ข้าออกจากเขตกัมมัฏฐานนี้ได้อย่างแน่นอน ถ้าข้าออกไปได้ ข้าก็สามารถที่จะดุดซับพลังชีวิตของพวกมัน และก็จะมีโอกาสที่จะได้การตัดวิญญาณครั้งที่สอง!” ปรมาจารย์เอกะเทวะกัดฟันของมัน ออกแรงดันพลังลมปราณมากที่สุดเท่าที่จะทำได้จากพลังการฝึกตนที่อ่อนแอของตัวเอง จากนั้นก็ตบมือขวาลงไปบนพื้น

เสียงกึกก้องพลันดังขึ้น ในตำหนักใต้ดินเวลาเดียวกันนี้ เมิ่งฮ่าวได้หาข้อแก้ตัวว่าทำไมเขาถึงได้หายไปในช่วงสามวันที่ผ่านมา และทำไมร่างกายของเขาถึงดูเปลี่ยนไป เฉินฝานยิ้มพร้อมพยักหน้า ส่วนสวี่ชิงเห็นว่าเมิ่งฮ่าวไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทั้งสามเร่งความเร็วเดินขึ้นไปบนแท่นบวงสรวง กำลังเตรียมตัวเพื่อจากไป

เสียงกระหึ่มกึกก้องดังไปทั่วในอากาศ และทั่วทั้งตำหนักใต้ดินสั่นสะเทือน สีหน้าของทุกคนเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเห็นรอยร้าวขนาดใหญ่กำลังแยกพื้นดินอยู่ตรงหน้าพวกเขา และแผ่นศิลาขนาดใหญ่ก็เริ่มโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ หลังจากเวลาผ่านไปราวธูปเผาไหม้หมดไปหนึ่งดอก แผ่นศิลาจารึกสูงราวสิบจ้าง ในที่สุดก็โผล่พ้นออกมาโดยสมบูรณ์

แผ่นศิลานั้น จารึกด้วยเต็มแน่นไปด้วยตัวอักษรสีทอง มันเป็นคัมภีร์, ไม่ใช่คัมภีร์เล่มไหน นอกเหนือไปจาก ตำรารวบรวมลมปราณ ของ… คัมภีร์สุดยอดลมปราณ!

คนทั้งสามจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ใช้ความพยายามไปมากมายกว่าจะได้รับตำรารวบรวมลมปราณฉบับสมบูรณ์มา ตอนนี้มันได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา เขามองไปที่มันด้วยความงุนงง แต่หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างละเอียด ใบหน้าของเขาก็แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา

สองบรรทัดแรกของคัมภีร์ที่ถูกจารึกไว้บนแผ่นศิลานั้นถูกต้องจริงแท้ แต่บรรทัดต่อมาที่เหลือเป็นของปลอมทั้งสิ้น ดูเหมือนว่ามันจะมีความลับอันลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายในตัวอักษรพวกนั้น แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวได้รู้รายละเอียดของคัมภีร์ที่แท้จริง เขาก็บอกได้ในทันทีว่านี่เป็นของปลอม

เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

สองตาของเฉินฝานส่องประกายออกมา มันเดินไปยืนใกล้กับแผ่นศิลา เช่นเดียวกับสวี่ชิง พวกเขามองไปที่แผ่นศิลานั้นชั่วครู่ จากนั้นก็จ้องมองซึ่งกันและกันด้วยความตะลึงงัน

“พวกเราควรจะนำศิลานี้ไปด้วย” สวี่ชิงพูดช้าๆ “และขอให้ท่านเจ้าสำนักตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับมันต่อไป”

เมิ่งฮ่าวกะพริบตา จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนกับว่าเขาเห็นด้วยในความคิดนี้

เมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะเห็นดังนี้ มันก็หัวเราะออกมา รู้สึกถูกชะตาทั้งเมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงเป็นอย่างยิ่ง

“เอาไป, เอาไป, เร็วเข้า! เอามันออกไป และประกาศให้รับรู้กันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฮา ฮา ฮา! ข้าช่างฉลาดอะไรเช่นนี้ ข้าเคยกังวลว่าจะมีใครเข้ามาในนี้ในช่วงที่ข้ากำลังนั่งกัมมัฏฐานอยู่ ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมศิลาจารึกคัมภีร์ของปลอมนี้ขึ้นมา แน่นอนว่า ด้วยความกลัวว่าจะมีใครจับได้ว่ามันเป็นของปลอม ข้าจึงได้เตรียมเคล็ดเล็กๆ น้อยๆ ไว้ เมื่อใดก็ตามที่มันถูกเอาออกไปจากที่นี่ ศิลาก้อนนี้ก็จะส่งสัญญาณขึ้นไปในท้องฟ้า ซึ่งทำให้ผู้คนที่อยู่ในทุกทิศทางสามารถที่จะมองเห็นมันได้ เดิมทีข้าคิดว่าจะใช้มันสร้างความเสียหายไปทั่วแคว้นจ้าวแห่งนี้ แต่ตอนนี้ มันกลับมีประโยชน์เช่นนี้ ยอดเยี่ยม, ยอดเยี่ยมจริงๆ !” จิตใจของปรมาจารย์เอกะเทวะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ในทันใดนั้นเอง ดวงตาของมันก็ต้องเบิกกว้าง

“ไม่ได้!” เฉินฝานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่ได้ตรวจสอบศิลาจารึกคัมภีร์อย่างรอบคอบ ใบหน้าของมันก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว มันส่ายหน้า มองไปที่เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิง

“ศิลาก้อนนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าพวกเรานำออกไป ก็อาจจะนำภัยพิบัติมาสู่สำนักได้ ถ้าพวกด้านนอกรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน มันก็อาจจะนำมาซึ่งการทำลายล้าง พวกเราสามคน ใช้แผ่นหยกคัดลอกตัวอักษรบนศิลานี้แทน ด้วยวิธีนี้ พวกเราก็สามารถนำเนื้อหาทั้งหมดออกไปโดยที่ทิ้งศิลาไว้ที่นี่ นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า”

ใบหน้าของเฉินฝานเต็มไปด้วยความจริงจังและความถูกต้องเที่ยงธรรม สิ่งที่มันพูดล้วนออกมาจากความไม่เห็นแก่ตัวอันเป็นอุปนิสัย และเมื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของสำนัก สวี่ชิงพยักหน้า ส่วนเมิ่งฮ่าว แน่นอนว่าไม่มีทางปฏิเสธ พวกเขาก็เริ่มทำการคัดลอกเนื้อหาทั้งหมดลงไปบนแผ่นหยกในทันที จากนั้นก็ยืนอยู่บนแท่นบวงสรวงและจากไป

ปรมาจารย์เอกะเทวะดูด้วยความตะลึงงัน จากนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

“บัดซบ! บัดซบ! ข้าจะบดขยี้เจ้าสำนักรุ่นนี้! เจ้าปล่อยให้คนเช่นนี้เข้ามาในสำนักสายในได้อย่างไร? มันเป็นคนซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งข้าเกลียดชังคนเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง! ในรุ่นของข้า ทุกคนในสำนักต้องเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์ แอบเอาคัมภีร์ไปและเก็บไว้เป็นความลับ นั่นจึงเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักข้า แต่เจ้า ไอ้หนูน้อยที่เปี่ยมด้วยความเที่ยงตรง เจ้า…เจ้านำความตายมาให้ข้า!! เจ้าห้ามพวกมันทำไม บัดซบ! พลังการฝึกตนของข้า! ข้า, ข้า, ข้า…”

ปรมาจารย์เอกะเทวะโกรธมากจนสั่นไปทั้งตัว มันกัดฟันและพยายามปล่อยวาง สูดลมหายใจชั่วครู่ จากนั้นก็ร้องเสียงต่ำๆ ออกมา มันตบไปบนศีรษะของมัน จากนั้นก็พ่นโลหิตออกมา กลายเป็นแสงสีแดงราวโลหิต และเริ่มส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องลับนั้น

ท่ามกลางเสียงกระหึ่มนั้น แสงโลหิตสลายหายไปเองกว่าครึ่ง แต่ก็มีบางส่วนที่พุ่งผ่านออกไปได้ หลุดรอดออกจากตำหนักใต้ดิน ไปพร้อมเมิ่งฮ่าว, สวี่ชิง และเฉินฝาน

เมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงหลักของสำนักเอกะเทวะ ทันทีที่เหอลั่วฮว่า และผู้อาวุโสโอวหยางเห็นพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยปากพูด แสงสีแดงราวโลหิตก็พุ่งลอดออกมา โดยไม่มีใครสังเกตเห็น

ทันใดนั้น เสียงดังราวฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ลำแสงเจิดจ้าระเบิดและกระจายออกไปอย่างรุนแรง เปลี่ยนท้องฟ้าทั่วทุกทิศทาง เป็นสีแดงจ้า ทว่ากึ่งกลางของมัน ปรากฏแสงสีรุ้ง ประดุจปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ

ขณะเดียวกัน สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า พลันปรากฏตัวอักษร มันมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่มีเพียงสองตัวที่เด่นชัดกว่าใคร มันอ่านว่า…

สุดยอด วิญญาณ!

ปรากฏการณ์เหนือท้องฟ้านี้ เสมือนดั่งเนื้อหาในคัมภีร์ปรากฏ โดยเฉพาะตัวอักษรสองตัว “สุดยอด วิญญาณ” ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งแคว้นจ้าว เสมือนเกรงว่าจะไม่ใครเห็น ทำให้ชั่วพริบตานี้ สามสำนักที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นจ้าว ศิษย์ทุกคนจ้องมองขึ้นไปด้วยความประหลาดใจกับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด ขณะเดียวกันนี้ บรรดาสายรุ้งพุ่งพลันออกมาจากเขตการนั่งกัมมัฏฐานที่แตกต่างกันออกไป ในสายรุ้งทุกสาย คือปรมาจารย์ของแต่ละสำนัก ปรากฏกายขึ้น!

“นี่…”

“คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ!!”

“คัมภีร์สุดยอดวิญญาณปรากฏขึ้นแล้ว มันปรากฏขึ้นที่สำนักเอกะเทวะ อาจจะเป็น…อาจจะเป็นว่า ตำรารวบรวมลมปราณในตำนานจริงๆ แล้วก็อยู่ที่นั่น?”

ในช่วงเวลานั้น ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งของสำนักที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ของดินแดนด้านใต้ก็ออกมาจากการนั่งกัมมัฏฐาน การปรากฏของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ และตำรารวบรวมลมปราณฉบับสมบูรณ์นี้ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่ลังเล พวกมันก็พุ่งจากดินแดนด้านใต้ตรงมาที่แคว้นจ้าว พวกมันทั้งหมดกลัวว่าถ้าพวกมันไปไม่เร็วพอ มีโอกาสสูงมากที่จะสูญเสียคัมภีร์ให้กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่แข็งแกร่งของสำนักหรือตระกูลในดินแดนด้านใต้

ทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ สายลมและเมฆาเปลี่ยนสี

ลายเส้นหลากสีของแสงรุ้งพุ่งตรงไปที่สำนักเอกะเทวะ ผู้ฝึกตนราวๆ ยี่สิบคน ที่มาจากสามสำนักที่แข็งแกร่งของแคว้นจ้าวกำลังเคลื่อนที่มา ผู้อ่อนแอที่สุดท่ามกลางพวกมัน อยู่ในระดับขั้นพื้นฐานลมปราณ หกคนอยู่ในขั้นก่อตั้งแกนลมปราณเป็นแกนนำ พวกมันบินตัดผ่านท้องฟ้ามาด้วยพลังที่สามารถบดขยี้พื้นปฐพีให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!