Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 43

ตอนที่ 43

ทายาทเพียงคนเดียว

ปรมาจารย์เอกะเทวะนั่งอยู่ในห้องลับใต้สุสานของสำนักเอกะเทวะ ผมของมันยุ่งกระเซิง สองตาแดงกร่ำ ดูราวกับว่ามันกำลังใกล้บ้า แผนการของมันเป๋ผิดทางไปหมด ในเวลานั้น ทุกคนกำลังจะจากไป และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะไม่มีใครกลับมาอีก มันมองดูด้วยความเศร้าโศกขมขื่นใจ

เมื่อผู้ฝึกตนสำนักจินซวง (เกล็ดน้ำค้างทองคำ) เริ่มเคลื่อนตรงที่ศิษย์สายในที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของมัน ความโกรธเกรี้ยวพุ่งขึ้นมาในตัวมัน และโดยการไม่ยอมหลงเหลืออะไรอีกจากพลังการฝึกตนของมัน มันจึงส่งเสียงราวสายฟ้าออกไป

เสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์ และเกิดลมพายุขยับขึ้นลงม้วนตัวกวาดไปมา ในป่าบนภูเขาที่อยู่รายรอบสำนักเอกะเทวะ ต้นไม้ถูกถอนออกมาทั้งราก เมื่อพายุได้กระหน่ำพัดผ่านไป ต้นไม้หลายต้นถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ จนกระทั่งพายุได้กลายเป็นสีเขียวเข้ม เต็มไปด้วยประกายสายฟ้าอยู่ภายใน ผู้ฝึกตนของแคว้นจ้าวลอยขึ้นไปกลางอากาศมองมา ต่างก็นิ่งเงียบไปด้วยความประหลาดใจ

แม้แต่โจวเหยียนอวิ๋นแห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน (กระบี่เดียวดาย) ก็มีสีหน้าสับสน โอบเฉินฟ่านที่หมดสติไปด้วยแขนของมัน และถอยหลังไป กระบี่เล่มใหญ่ยักษ์เริ่มส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ จากนั้นมันก็ถูกโอบล้อมไว้ด้วยรังสีกระบี่มากมาย

สตรีสาวสวยจากสำนักเฮยเซ่อไช (กระชอนดำ) ก็มีสีหน้าประหลาดใจด้วยเช่นกัน ถอยหลังเอื้อมมือลงไปตบที่พื้นผิวของหลัวผาน (เข็มทิศจีน) ทันใดนั้น มันก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าของขนาดเดิม

สำหรับจ้าวซานหลิงแห่งสำนักจินซวง (เกล็ดน้ำค้างทองคำ) มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และถอยไปด้านหลัง มันขยับนิ้วเป็นรูปแบบของเวทอาคม กระบี่สีทองก็ลอยออกมาจากด้านหลังของมัน และตลอดร่างของมันก็เปล่งประกายสีทองออกมา ทำให้ดูเหมือนเป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์

บุคคลทั้งสามจ้องไปรอบๆ สำนักเอกะเทวะ ราวกับว่าพวกมันกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

เมิ่งฮ่าว ซึ่งยังคงยืนอยู่บนภูเขาตะวันออก มองดูเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ตรงจุดที่มีพายุสีเขียวเข้มซึ่งกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าด้วยเสียงกระหึ่มดังกึกก้องโดยพลังอันไร้ผู้ต่อต้าน เขาพบว่ามีแรงกดดันจนยากที่จะหายใจได้ สายตาของเขาเบิกกว้าง ถอยออกไปด้านหลัง เสื้อผ้าของเขากระพือพัดไปมาในสายลมที่บ้าคลั่งนี้ เขาเอื้อมมือจับไปที่ก้อนหินใหญ่และยึดไว้แน่น เพื่อไม่ให้โดนกระแสลมดูดขึ้นไป

และขณะนี้สองตาของเขาก็เปล่งประกาย เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะเมื่อครู่นี้ได้เตือนให้เขานึกไปถึงสิ่งที่ได้อ่านบนหน้าแรกของตำราเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเขาได้มาที่สำนักเอกะเทวะเป็นครั้งแรก

เฮ่อหลัวฮว่าและผู้อาวุโสโอวหยางก็มีสีหน้าแปลกใจเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ครั้งนี้มันช่างกระทันหันยิ่งนัก สร้างความตกตะลึงให้พวกท่านจนเกินขอบเขต ซึ่งเกือบจะดูเหมือนว่าพลังการฝึกตนของทั้งสองอาจจะแหลกสลายลงไปด้วยอำนาจของพายุนี้ได้อย่างง่ายดาย

“ปล่อยให้พวกมันรู้ว่า ท่านปรมาจารย์ยังคงอยู่ที่นี่!” ปรมาจารย์เอกะเทวะร้องคำราม ลึกลงไปในสุสาน “ห้ามใครแตะต้องเด็กแซ่เมิ่ง! มันเป็นศิษย์สายในเพียงคนเดียวของข้าที่ยังเหลืออยู่ ถ้ามันตาย ข้าก็จะไม่มีความหวังอะไรอีกเลย!!” มันกัดฟัน เอามือตบลงไปที่ศีรษะของตัวเอง และร่างของมันก็สั่นสะท้าน พ่นโลหิตมากมายออกมา จากนั้นก็ตบไปที่ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พ่นโลหิตออกมามากขึ้น และมากขึ้น ร่างกายของมันก็เริ่มหมุนคว้าง

ความเกลียดชังปรากฎขึ้นในดวงตาของมัน หลังจากที่ตบตัวเองไปเจ็ดหรือแปดครั้ง โลหิตจำนวนมากมายก็พ่นกระจายออกมา รวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่ผนังศิลาด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้อง กระแทกไปที่ผนัง และผนังศิลาเกือบครึ่งก็หายไปจากการกระแทกนี้

เมื่อสำเร็จถึงขั้นนี้ ศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะก็เอียงไปด้านข้าง และหมดสติไป ดูเหมือนมันใกล้จะตายไปแล้ว มีเพียงโลหิตอันบริสุทธิ์ของมันเท่านั้นที่ยังรักษาความตั้งใจของมันไว้

โลหิตอันบริสุทธิ์ของมันระเบิดออกมาจากห้องลับ และทะลุผ่านสุสานออกไปยังด้านนอก, ในมุมมองธรรมดาของพวกที่ยืนดูด้วยความตกใจ มันเร่งความเร็วขึ้นจนปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักเอกะเทวะ กลายเป็นหมอกสีแดงลอยกระเพื่อมไปมา

ด้านในของละอองหมอกมีเสียงราวฟ้าผ่าดังกึกก้องเมื่อหมอกเริ่มขยายตัวมากขึ้น ในทันใดนั้น มันก็ครอบคลุมไปทั้งเขตภูเขา ที่อยู่รายรอบสำนักมองไปเหมือนไร้จุดสิ้นสุด ถ้ามองจากด้านนอก มันก็ดูเหมือนว่าพื้นที่ทั้งหมดได้กลายเป็นทะเลหมอกสีแดงไปแล้ว!

หมอกปั่นป่วนไปมา และเสียงกระหึ่มกึกก้องของมันก็ลอยชึ้นไปจนถึงท้องฟ้า ผู้ฝึกตนทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตกตะลึงงงงันไปตามๆ กัน และความตกใจก็เห็นได้ชัดบนใบหน้าของพวกมัน แม้แต่โจวเหยียนอวิ๋น และบุคคลอื่นๆ

ภายในหมอกสีแดง ศิษย์สายนอกของสำนักเอกะเทวะทั้งหมดก็ได้หมดสติลงไปนอนกับพื้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ในทางกลับกัน เจ้าสำนักเฮ่อหลัวฮว่า และผู้อาวุโสโอวหยางก็ถูกผลักออกไปอยู่ด้านนอกของกลุ่มหมอก ทั้งสองสีหน้าซีดขาวเมื่อมองมาที่กลุ่มหมอกด้วยความตกใจ

กลุ่มหมอกกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา และเสียงกระหึ่มของฟ้าร้องก็ยังดังอยู่ตลอดด้วยเช่นกัน จนกระทั่งดูเหมือนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว ยกเว้นเสียงกึกก้องกังวานของมัน พื้นดินราวกับเป็นมหาสมุทรแห่งสายหมอก ท้องฟ้าไร้สีสัน จากนั้นหมอกก็เริ่มขยับตัว รวมกลุ่มเข้าด้วยกันกลายเป็นใบหน้าขนาดใหญ่มหึมา

ขนาดของใบหน้านี้ทำให้ทุกคนเต็มไปด้วยความเกรงกลัว

เป็นใบหน้าของชายชรา สีหน้าเยือกเย็น แข็งแกร่ง และทรงอำนาจ ตาของมันปิดอยู่ แต่เมื่อเฮ่อหลัวฮว่า และผู้อาวุโสโอวหยาง เห็นมัน ศีรษะของทั้งสองก็เริ่มปั่นป่วน จากการที่จำได้ว่านี่ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก…ปรมาจารย์เอกะเทวะ

“ท่านปรมาจารย์…” เฮ่อหลัวฮว่ากล่าวขึ้น สองตาเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“มัน…มันยังไม่ตาย!!!” ผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าวร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว ใบหน้าของพวกมันมีโลหิตไหลลงมา จากหนึ่งไปสองไปเรื่อยๆ พวกมันก็หนีไปด้วยจิตใจที่เต้นจนสั่นระรัว

ทันใดนั้น ใบหน้าหมอกสีแดงที่ใหญ่โตมหึมาของปรมาจารย์เอกะเทวะก็ลืมตาขึ้น เปล่งประกายสีเงินและพลังที่น่ากลัวออกมา ราวกับว่ามันสามารถแยกผืนปฐพี

ดวงตาทั้งคู่จ้องมองขึ้นไปบนสวรรค์ และดูเหมือนว่ามีรอยเส้นเลือดเต็มอยู่ในดวงตา เมื่อมันมองกวาดไปรอบๆ พายุสีเขียวเข้มก็พุ่งเข้าในกลุ่มหมอกสีแดง และรวมตัวกันเป็นผมของปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึงมีเส้นผมสีดำยาว

เมื่อได้เห็นดังนั้น ใบหน้าของโจวเหยียนอวิ๋นก็ซีดขาวลง และพ่นโลหิตออกมาจากปาก เมื่อมันถอยออกไปด้านหลัง กระบี่ยักษ์ใหญ่เล่มนั้นก็แยกออกเป็นสองเล่ม เหลือไว้เพียงแต่ด้ามจับ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความกลัว และจิตใจก็เหมือนมีแรงกดทับ

พลังการฝึกตนของมันอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การจ้องมองนี้ วิญญาณที่เพิ่งจะเริ่มสร้างใหม่ของมัน ก็เริ่มเหี่ยวแห้งลงไป มันถอยออกไปเร็วยิ่งขึ้น ดึงยันต์อาคมสีฟ้าออกมาส่งพลังกระตุ้นให้มันทำงาน ยันต์อาคมก็ปกคลุมไปทั่วร่างของมันรวมถึงเฉินฟ่านที่ยังสลบอยู่

เมื่อมันเร่งความเร็วพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล เสียงอันทรงพลังก็ดูเหมือนว่าจะดังก้องอยู่ในจิตใจของมัน บอกมันว่าศัตรูผู้นี้ไม่ได้อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่เป็นขั้นตัดวิญญาณอันยิ่งใหญ่

เมื่อสตรีสาวหน้าตาสวยงามจากสำนักเฮยเซ่อไช เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทันใดนั้น หลัวผานที่อยู่ข้างล่างของนางก็เริ่มส่งเสียงแตกปะทุออกมา และมันก็เริ่มพรุนเต็มไปด้วยรอยแตก จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นชิ้นๆ นางไม่เคยกลัวเช่นนี้มาก่อน ต้องพ่นโลหิตออกจากปาก ล่าถอยออกไปพร้อมกับฉื่อชิงที่หมดสติไป มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของนางตอนนี้ หนี!

สำหรับเจ้าตัวใหญ่จ้าวซานหลิง ร่างกายของมันเหมือนจะโดนโจมตีด้วยการกดทับของภูเขา มันถอยออกไปด้านหลัง ไอออกมาเป็นเลือด กระบี่สีทองที่เบื้องหน้าของมันแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สีหน้ามันซีดขาว มันหันหลังกลับและเผ่นไปไกล หนีตรงไปที่รอยแยกกลางอากาศที่ซึ่งมันโผล่มาในครั้งแรกก่อนหน้านี้

ผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าวทั้งหมดพ่นโลหิตออกจากปาก ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณรู้สึกว่า พลังลมปราณในร่างของมันขาดสะบั้น และก็รับรู้ว่าอายุอันยาวนานของมันได้ถูกทำลายไป ใบหน้าของพวกมันซีดขาว

บนยอดเขาของภูเขาตะวันออก หมอกสีแดงหุ้มอยู่รอบตัวสูงระดับเอวของเมิ่งฮ่าวที่มีใบหน้าซีดขาว เขายังคงจับก้อนหินใหญ่ไว้แน่น ในสายตาของผู้ที่มองมา อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งของเมิ่งฮ่าวเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางหน้าผากของปรมาจารย์เอกะเทวะพอดี

“พวกเจ้าบังคับให้สำนักเอกะเทวะของข้าต้องล่มสลาย และเจ้ายังพยายามที่จะสังหารทายาทเพียงคนเดียวของข้า! เจ้าคนโอหัง!” เสียงที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปฐพี ดังออกมากระจายไปทั่วทุกทิศทาง และลำแสงสีแดงสามลำก็พุ่งออกมา ยิงพุ่งตรงไปที่โจวเหยียนอวิ๋น, สตรีสาวผู้สวยงาม และบุรุษร่างสูงใหญ่จากสำนักจินซวง

“ข้า, โจว เป็นผู้อาวุโสของสำนักกูตู๋เจี้ยน ผู้พิทักษ์แห่งเต๋า ถ้าท่านปรมาจารย์เอกะเทวะสังหารข้า สำนักกูตู๋เจี้ยนจะต้องทำลายท่านแน่นอน!”

“ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะ โปรดระงับโทสะ ผู้เยาว์เป็นศิษย์ของสำนักเฮยเซ่อไช ท่านปู่ของข้าคือ ผิงซานเตา ผู้เป็นสหายของท่าน!”

“ผู้เยาว์สำนึกผิดแล้ว ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดระงับโทสะ “

คำพูดดังออกมาจากบุคคลทั้งสาม เมื่อลำแสงสีแดงไล่ตามพวกมันไป ปรมาจารย์เอกะเทวะแค่นเสียงอย่างเย็นชา

“ไสหัวไป เจ้าทั้งสาม!” ลำแสงสีแดงทั้งสามลำหายไป “กลับไปและบอกต่อผู้อาวุโสของพวกเจ้าว่า อย่าได้ลืมสัญญาโลหิตที่ทั้งหมดได้ทำขึ้นเมื่อหลายปีก่อน แคว้นจ้าวคืออาณาเขตของข้า ใครก็ตามที่บังอาจก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ ไม่สามารถทีจะตำหนิได้ว่าข้าเป็นคนโหดร้ายทำลายมันไป สำหรับศิษย์สามคนนั้น เอามันไปด้วย ข้าไม่ต้องการพวกมัน” บุคคลทั้งสามจากดินแดนด้านใต้หายจากไปพร้อมใบหน้าที่ซีดขาว

เมื่อเห็นดังนี้ ผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าวได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นสะท้านไปมา การที่ได้เห็นผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แสดงท่าทีเยี่ยงนั้นทำให้พวกมันต้องแข็งทื่อกลายเป็นหินไป บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกมันอยู่เพียงแค่ขั้นพื้นฐานลมปราณ

เมื่อเสียงทรงพลังและอำนาจระเบิดออกมา ละอองหมอกก็เริ่มกระเพื่อมและหมุนคว้าง ด้วยเมิ่งฮ่าวเป็นจุดศูนย์กลาง กลุ่มหมอกก็รวมตัวกันที่เบื้องหน้าเขากลายเป็นหอกเล่มยาว

มันไม่ได้มีสีแดง แต่เคลือบไว้ด้วยเวทอาคมที่สลักไว้ทั้งสีขาว, สีเงิน และสีทอง ดูแล้วเป็นอาวุธเวทที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

“สำนักเอกะเทวะได้ถูกลบชื่อไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นไป แต่เด็กผู้นี้คือทายาทสายในเพียงคนเดียวของข้า ถ้าใครก็ตามบังอาจแตะต้องมัน…” มันมุ่งความสนใจไปที่เมิ่งฮ่าว “ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้น เมิ่งฮ่าว ใช้หอกเล่มนี้สังหารมันผู้นั้น! พวกเจ้าทั้งหมด, ไสหัวไป!”

เสียงของมันดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น ผู้ฝึกตนของแคว้นจ้าวทั้งหมดก็หนีไป โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าเสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะได้เริ่มอ่อนแอลง ซึ่งยากที่จะสังเกตพบได้ง่ายๆ แต่ถ้ามีบางคนตั้งใจสังเกตอย่างจริงจังก็จะพบว่า มันเป็นเสียงที่อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด

ทันใดนั้น ศิษย์สายนอกที่หมดสติอยู่ก็ถูกยกขึ้นไปในอากาศและลอยออกไปทั่วทุกทิศทาง จากนั้น สีแดงของโลหิตก็เปล่งประกายพลุ่งพล่านห่อหุ้มสำนักเอกะเทวะทั้งหมดไว้ภายใน ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ ยกเว้นเมิ่งฮ่าว

เฮ่อหลัวฮว่าและผู้อาวุโสโอวหยางมองดูด้วยความงุนงง ในที่สุด ความละอายใจก็ปรากฎบนใบหน้าของเฮ่อหลัวฮว่า ท่านก้มหน้าลงและทำความเคารพไปที่เกราะป้องกันสีแดงราวโลหิตนั้น ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา หันหลังกลับ และหายไปยังจุดที่ห่างไกล

ผู้อาวุโสโอวหยางตกอยู่ในความเงียบ ท่านนำศิษย์สายนอกออกไปวางที่ป่าในภูเขาทีละคน จากนั้นก็มองสำนักเอกะเทวะจากที่ไกลตาเป็นครั้งสุดท้าย จากไปพร้อมเสียงถอนหายใจ

ท่านและเฮ่อหลัวฮว่ารู้ดีว่า ด้วยการยอมรับการสลายสำนักของท่านปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นสำนักเอกะเทวะอีกต่อไปแล้ว

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในแสงสีแดงราวโลหิต ด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขามองไปที่หอกซึ่งส่องประกายสีขาว เงิน และทองออกมา ทันใดนั้นหอกเล่มนั้นก็มีจิตวิญญาณของมันเอง พุ่งออกไปอย่างลึกลับ รวมตัวเข้าด้วยกันกับกลุ่มหมอก กลายร่างเป็นภาพของชายชราในชุดยาวสีแดง มันคือปรมาจารย์เอกะเทวะ นั่นเอง

ด้วยการประสานมือคารวะ เมิ่งฮ่าวกล่าวว่า “ศิษย์เมิ่งฮ่าวขอแสดงความคารวะท่านปรมาจารย์” โดยไม่ต้องคิด เขาก็เริ่มพูดออกมาอย่างยืดยาว “การแสดงออกของท่านสร้างความกลัวอยู่ในจิตใจของทุกผู้คนในแคว้นจ้าว และแม้แต่ดินแดนด้านใต้ก็ยังรู้จักชื่อเสียงของท่าน ข้าเคารพนับถือท่านเสมอมาตั้งแต่ที่ข้าเข้าสังกัดสำนัก ทุกวันข้าคำนับคำพูดของท่านที่อยู่ในหน้าแรกของตำรา ข้าได้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องจาก…”

“พอ, พอแล้ว เจ้าทำได้ไม่ดีพอ ให้ข้าบอกกับเจ้าเถอะ เด็กน้อย, เมื่อข้ามีอายุเท่ากับเจ้า ข้ากล่าวประจบสอพลอได้มากกว่า ดีกว่า และเป็นธรรมชาติกว่าเจ้า อย่าได้พยายามทำเช่นนี้กับข้า” ปรมาจารย์เอกะเทวะ จ้องไปที่เขารู้สึกพอใจอยู่ลึกๆ ข้างใน

เมิ่งฮ่าวมองไปที่มันด้วยรอยยิ้มเหนียมอาย

“ถึงแม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ที่จะมาสอพลอข้า, อืม ข้า…ไม่เป็นไร, ฟังให้ดีนะ ตอนนี้ข้าเพียงแต่สามารถใช้สติที่ยังมีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ ดังนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณเริ่มก่อตั้งบัดซบเหล่านั้น เกรงกลัวจนหนีหายไป ข้ามีเวลาไม่มากก่อนที่ร่างนี้จะหายไป” เมื่อมันพูด ร่างของมันก็เริ่มไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

“ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการฟื้นฟู เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าต้องทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนทุกคนที่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ หรือสูงกว่านั้น ในแคว้นจ้าวแห่งนี้มาที่เขตกัมมัฏฐานของข้า ถ้าเจ้าทำมันได้สำเร็จ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างเต็มที่!” มันยกมือขึ้น และชี้นิ้วไปที่เมิ่งฮ่าว

ทันใดนั้น ข้อมูลมากมายก็ไหลเข้าสู่จิตใจของเมิ่งฮ่าว และตอนนี้เขาก็รู้วิธีการเปิดประตูทางเข้าไปยังเขตนั่งกัมมัฏฐาน

“เด็กน้อย, เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสำนักเอกะเทวะของข้า ถ้าได้ตายไปง่ายๆ นะ ถ้าเจ้าตายไป ข้าก็จะหาคนที่เจ้ารักฝังไปพร้อมกับเจ้า…ข้า…ข้าว่ามันน่ารำคาญที่จะต้อง…” เสียงของมันดังก้องอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างของมันได้กระจายหายไป ไม่มีแม้แต่เงาที่ยังหลงเหลืออยู่

เมิ่งฮ่าวจ้องไปด้วยสมองที่ว่างเปล่า ต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่จะฟื้นสติกลับคืนมา มาถึงจุดนี้เขาจึงตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความพยายามของปรมาจารย์เอกะเทวะที่จะขู่ขวัญให้พวกนั้นตกใจกลัวและหนีไปเอง

“ดังนั้นท่านไม่ได้สังหารบุคคลทั้งสาม…แต่, เกิดอะไรขึ้นกับหอกที่ท่านกำลังจะมอบให้ข้า?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!