ตอนที่ 809
ชีพจรเต๋าเซียนโบราณ!
เวลาผ่านไป ตลอดช่วงยามราตรี เมิ่งฮ่าวคอยเฝ้าสังเกตดูภาพสะท้อนในวิหารอย่างละเอียด เมื่อตรวจสอบดูในเชิงลึก ก็เริ่มเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งว่าพวกมันทั้งหมดมีความแตกต่างกัน มีทั้งบุรุษและสตรี คนชราและเยาว์วัย บางเงาร่างก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่คล้ายกับเป็นสัตว์อสูรที่แปลกๆ
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน เมิ่งฮ่าวก็ไร้ความหวาดกลัวต่อสถานที่แห่งนี้อีก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับภาพแปลกๆ ที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดแทน ทุกวันเมื่อถึงยามราตรี เส้นผมสีดำก็จะโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็พบว่าการไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเส้นผม จะทำให้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยความหนาวเย็นอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพยายามได้รับความรู้แจ้ง จากเงาร่างที่กำลังถ่ายทอดเต๋าของพวกมัน
สำหรับเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นมาจากภายในบ่อน้ำ หลังจากที่รับฟังอยู่บนเวลานาน เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่าเสียงร้องไห้นั้นค่อนข้างจะมีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย…
จากนั้นก็เป็นชิงช้าเถาองุ่น เมิ่งฮ่าวมีความรู้สึกว่ามีเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นอยู่ในท่าทางการเคลื่อนไหวของชิงช้านั้น ในจิตใจเขามีภาพของชิงช้า กำลังแกว่งไปมาอย่างไม่รู้จบอยู่
แม้แต่เสียงตะโกนว่า ‘อยากกลับบ้าน’ เมิ่งฮ่าวก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคย เขามักจะกระทืบเท้าลงไปบนพื้นด้วยความรำคาญเป็นระยะ เมื่อเสียงนั้นมารบกวนการฝึกตนของเขา
โดยภาพรวมแล้ว เขามีความคุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในวิหารแห่งนี้ ซึ่งรวมทั้งชายชราที่มีโลหิตไหลซึมออกมาจากทวารทั้งเจ็ด (ตา, หู, จมูก, ปาก) เมื่อไหร่ที่เมิ่งฮ่าวค้นหาความรู้แจ้ง ชายชราก็มักจะมายืนอยู่ที่ด้านหลัง และมองลงมาบนกระหม่อมของเขา
ในช่วงหลังๆ เขาก็ปล่อยให้มันกระทำเช่นนั้นต่อไป
เมิ่งฮ่าวได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไปหลายชุด แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อไหร่ที่เขาตื่นขึ้นมาจากการจมลงไปในความรู้แจ้ง เสื้อผ้าก็จะฉีกขาดและเก่าคร่ำคร่าไป ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บ่อยๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่ง นั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ แต่ก็มีระลอกคลื่นแห่งพลังกระจายออกมาจากร่างนั้น หลังจากที่สังเกตดูหลายครั้ง อากาศที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวก็เริ่มเลือนลางลง และต้าเผิง (วิหคยักษ์ในตำนาน) สีดำที่กระจายพลังอันน่ากลัวออกมาก็ปรากฏขึ้น
“นี่คือ…เวทแห่งเต๋าที่ใช้แปลงร่าง!”
มันทำให้เมิ่งฮ่าวต้องนึกไปถึงการต่อสู้ของเขาและผู้นำตระกูลสายโลหิตจักรพรรดิแห่งดินแดนทางเหนือ และความสามารถศักดิ์สิทธิ์แปลกๆ ที่มันใช้แปลงร่างเป็นสัตว์อสูรที่แตกต่างกัน ในความคิดของเมิ่งฮ่าว มันช่างเป็นวิชาเวทที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
เขานั่งเข้าฌาณอย่างต่อเนื่อง เพ่งสมาธิจมดิ่งลงไป ราวกับว่าเขาได้กลับไปที่วิหารพิธีเต๋าโบราณเพื่อรับฟังบทเพลงแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้จริงๆ เขาตื่นขึ้นมาตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ได้รับความรู้แจ้งอย่างเต็มที่
ทุกสิ่งทุกอย่างในวิหารกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่รอบๆ ตัว เมิ่งฮ่าวสามารถรับรู้ได้ว่าพื้นฐานฝึกตนของตัวเองมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก ค้นหาเต๋าของเขาไม่ได้ประกอบด้วยขั้นที่ไม่ต่อเนื่อง จากสิ่งที่บิดาได้เคยกล่าวไว้ ผลของการใช้หมอกใบมีดเพื่อตัดวิญญาณ ทำให้ค้นหาเต๋าของเขาเข้าไปสู่ขั้นสูงสุดในคราเดียว ผลักดันให้เขาอยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรวิญญาณทั้งหมด
ก้าวต่อไปของเขาก็คือการเป็นเซียนแท้
สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว เรื่องราวของเต๋าแปลกๆ เหล่านี้ เหมาะสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ของเขาเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้รับความรู้แจ้งบางอย่าง เกี่ยวกับเวทกลายร่างเป็นวิหคยักษ์ เขาก็เริ่มเรียนรู้ภาพสะท้อนเต๋าอื่นอีก
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจจะได้รับความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับภาพสะท้อนเต๋าได้ทั้งหมด มีหลายวิชาที่ขัดแย้งกับเต๋าส่วนตัวของเขาเอง ทำให้ไม่อาจจะเข้าใจวิชาเหล่านั้นได้
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังมองดูภาพสะท้อนเต๋าที่อยู่ใกล้กับกำแพงของวิหาร ภาพที่แวบขึ้นมาในสายตาเขาเป็นภาพของบุรุษที่กำลังลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าที่สว่างสดใส มือของบุรุษผู้นั้นทำท่าเป็นกรงเล็บ ซึ่งมันได้ยืดแขนออกไป ทำให้พื้นดินที่ด้านล่างแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ
“นั่นคือวิชากรงเล็บพิฆาต!”
เมิ่งฮ่าวรู้สึกสั่นสะท้าน ขณะที่ประทับภาพนั้นเข้าไปในจิตใจ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็เพิ่งจะได้รับความรู้แจ้งที่เกี่ยวกับภาพสะท้อนเต๋าอื่นอีก เมื่อเขามองเห็นนักพรตผู้หนึ่งในที่ห่างไกล กำลังยื่นมือออกคว้าจับไปที่ดวงดาว จากนั้นก็กดมือลงไปอย่างรุนแรง ทำให้ดวงดาวสั่นสะท้านและกลายเป็นแสงอันเจิดจ้าอยู่ในฝ่ามือของมัน
“นั่น…คือ…เวทปลิดดาว!”
เมิ่งฮ่าวจมอยู่ในการได้รับความรู้แจ้งจากมรดกเต๋าในวิหาร สุดท้ายเขาก็ตระหนักว่าเปลวไฟที่อยู่ในตะเกียงน้ำมัน กำลังแสดงให้เห็นถึงสัญญาณแห่งการใกล้จะมอดดับลงไป ทำให้เขารู้ว่าเมื่อมันดับลง โชควาสนาในวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณนี้ก็จะสิ้นสุดลง
สองสามวันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่ตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาณ ในตอนนี้เขาสามารถแยกแยะภาพสะท้อนเต๋า ที่เขาสามารถรู้แจ้งมาได้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่พวกมันค่อนข้างจะหลากหลาย มีเพียงสามวิชาเท่านั้นที่เมิ่งฮ่าวเข้าใจในพื้นฐานของมันได้อย่างแท้จริง
กงเล็บพิฆาต, กลายร่างเป็นวิหคยักษ์ และเวทปลิดดาว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นวิชาเวท ไม่ใช่เต๋า
“วิชาเวทมีอยู่นับแสนล้าน แต่มีเต๋าอยู่ในท่ามกลางจิตใจเพียงหนึ่งเดียว แล้วเต๋าแห่ง…วิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณอยู่ที่ไหนกันแน่?” เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ จนกระทั่งในที่สุด สายตาก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่รูปปั้นเทพที่ชำรุดหักพัง
สุดท้ายเขาก็ยืนขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ หลังจากที่นั่งลงขัดสมาธิ เขาก็มองขึ้นไปยังรูปปั้นที่แตกหักนั้น
รูปปั้นเทพถูกทำลายลงไปมากกว่าครึ่ง ไร้ศีรษะ ร่างกายหายไปครึ่งท่อน รู้แต่เพียงว่ารูปปั้นนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิ พร้อมกับยกมือขวาขึ้นมาเพื่อทำท่าร่ายเวท
เมิ่งฮ่าวสามารถทำท่าเช่นเดียวกันได้ แต่เมื่อกระทำเช่นนั้น เขาก็ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ แม้แต่น้อยที่เกี่ยวข้องกับรูปปั้นนั้น
ด้วยความรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เขาจึงหันหน้าไปหาชายชราที่อยู่ด้านหลังและกล่าวว่า “ท่านได้ติดตามข้าไปทั่วบริเวณนี้มาครึ่งเดือนแล้ว ศีรษะข้ามีอะไรที่น่าสนใจให้ท่านต้องมาจ้องมอง?”
เมื่อมองไปที่ชายชรา เมิ่งฮ่าวไม่ได้คิดว่ามันดูน่ากลัวหรือน่าตกใจอีกแม้แต่น้อย แต่คิดว่ามันน่าเบื่อและจืดชืด “ท่านก่อตัวขึ้นมาโดยเงาที่เกิดขึ้นมาจากตะเกียงน้ำมันนั่น อย่าบอกนะว่าท่านได้มองข้ามานานถึงครึ่งเดือนโดยไร้เหตุผลใดๆ?”
“เซียน!” ทันใดนั้นชายชราก็กล่าวขึ้น เสียงของมันแหบแห้งและกระท่อนกระแท่น
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่ชายชราได้พูดขึ้นมาตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา
“ท่านพูดว่าอะไร?”
“เซียน!” ชายชรากล่าวย้ำ “รูปปั้นนี้ก็คือเซียน!”
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง
“เจ้าต้องการจะกลายเป็นเซียนหรือไม่?” ชายชราโพล่งออกมา ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่จ้องมองมายังเมิ่งฮ่าว
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเริ่มรู้สึกว่า ชายชราผู้นี้แปลกมากขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่กล่าวว่า “ข้าต้องเดินไปอีกแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น ก็จะกลายเป็นเซียนแท้”
“ทำไมเซียนถึงต้องแยกเป็นแท้และเทียม…? นั่นเป็นเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง” ชายชราส่ายหน้า จากในแววตาดูเหมือนว่ามันกำลังรำลึกนึกย้อนไปในอดีต จากนั้นก็พึมพำขึ้น “เส้นทางที่ผิด…มรดกได้ถูกตัดขาดออกไปหรือไม่…? ผ่านไปนานหลายปีมาแล้วตั้งแต่เกิดสงครามในครั้งนั้น…”
ทันใดนั้นชายชราก็เริ่มหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง “พวกมันทั้งหมดตายไป! พื้นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ! แม่น้ำแห่งดวงดาวถูกตัดขาดไป…” ชายชราหัวเราะต่อไป จากนั้นก็เริ่มเดินไปมาอยู่ในวิหาร ร้องไห้ออกมา
“ตัดขาด! ข้าไม่อาจจะไปเกิดใหม่ได้ ต้องกลายเป็นวิญญาณภูติผีเท่านั้น…”
“หายไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปจนหมดสิ้น…”
จิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังหมุนคว้าง มองไปยังภาพสะท้อนของชายชราที่มีสติไม่สมประกอบ รับรู้ได้ถึงจิตใจที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจและสิ้นหวังตั้งแต่ครั้งสมัยโบราณของมัน เสียงร้องไห้จากในบ่อน้ำเริ่มโหยหวนมากยิ่งขึ้น และหยดโลหิตก็ไหลลงมาจากชิงช้าเถาองุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้อาวุโส ท่านกำลังพูดถึงสงครามอะไร?” เมิ่งฮ่าวถาม
ชายชราหัวเราะและร้องไห้คร่ำครวญออกมา เปลวไฟที่อยู่ในตะเกียงน้ำมันเต้นไปมาอย่างรุนแรง และภาพสะท้อนทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้าน ลุกขึ้นมายืนเดินไปรอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าวเป็นรูปวงกลม หัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
เมิ่งฮ่าวหอบหายใจออกมา กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเสียงปะทุก็ได้ยินออกมาขณะที่…ตะเกียงสัมฤทธิ์ดับลงไป
ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปจนหมดสิ้น
ความมืดปกคลุมไปทั่ว เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าที่ห่างไกลออกไป ดวงตะวันกำลังเริ่มลอยขึ้นมา
ตลอดทั้งวันนั้นเมิ่งฮ่าวตกอยู่ในความงุนงง คำพูดของชายชรา และเหตุการณ์อื่นๆ ทั้งหมดของยามราตรีก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกว่าต้องมีความลับอันน่าเหลือเชื่อบางอย่าง เกี่ยวกับวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณนี้
มันอาจจะเป็นความลับที่…เกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งดาวหนานเทียนทั้งหมด!
“ทำไมก่อนหน้านี้วิหารพิธีเต๋าที่ใหญ่โตนี้…ถึงได้หายไป?”
“ภาพสะท้อนเหล่านั้นทั้งหมด…ไปอยู่ที่ไหนกัน?”
“ทำไมห้องโถงของวิหารถึงได้พังทลายลงไปเช่นนั้น?”
ยามกลางวันผ่านไป และเมื่อยามราตรีปกคลุมลงมา ตะเกียงสัมฤทธิ์ก็ลุกไหม้ขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเปลวไฟจะมืดสลัวลงมากกว่าในตอนแรก ชายชราก็ยังคงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันไปอยู่ที่ข้างประตูของห้องโถงในวิหาร มันไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญอีกต่อไป แต่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ทันใดนั้นชายชราก็มองมายังเมิ่งฮ่าว “บิดาเจ้าช่างแข็งแกร่งนัก แม้แต่ในยุคที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ถือได้ว่ามันเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก”
“มันยังรู้ตัวอีกด้วยว่า เส้นทางของมันไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่มันก็ไม่อาจจะทำอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าสามารถทำได้ มันก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้น”
“เจ้ามีพื้นฐานที่ดี ยังดีกว่าการฝึกตนของข้าในยุคนั้นมากนัก เจ้าปรารถนา…จะกลายเป็นเซียนหรือไม่? ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องเซียนแท้หรือเทียม พูดแค่เซียน…เป็นเซียนที่มีจุดชีพจรครบทั้งหนึ่งร้อยจุด!”
“มีแต่เปิดชีพจรครบทั้งหนึ่งร้อยจุดเท่านั้น ถึงจะถือได้ว่าเป็นเซียนอย่างแท้จริง! แม้แต่ในสมัยเมื่อในอดีต เซียนที่ครบหนึ่งร้อยจุดชีพจรก็หาได้ยากเย็นยิ่ง มีแต่ผู้ที่ได้รับการสืบทอดเต๋าอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ถึงจะสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้ และมันก็เป็นสิ่งที่ยากมาก”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน จากคำพูดของบิดา แปดสิบจุดชีพจรทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นผู้ถูกเลือก เก้าสิบจุดชีพจรพบเห็นได้ยากเย็นยิ่ง สำหรับหนึ่งร้อยจุดชีพจร…เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เมิ่งฮ่าวพยักหน้าตอบรับชายชราด้วยดวงตาที่สาดประกาย
“วิชาเวทไม่อาจจะพูดจาแบบไร้น้ำหนัก และเต๋าก็ไม่อาจจะส่งต่อกันได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เมื่อสถานที่แห่งนี้ได้คลายผนึกออก ตี้จิ่วซานไห่ (ขุนเขาทะเลที่เก้า) ทั้งหมดก็จะตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย…ตะเกียงน้ำมันนี้ได้ลุกไหม้ขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ความสว่างของมันคือปัจจุบันนี้”
“มันได้ลุกไหม้มาสิบกว่าวันแล้ว และในที่สุดก็จะดับลงไป ใช้โลหิตของเจ้าเป็นน้ำมัน เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะยังคงลุกไหม้ต่อไปได้อีกสี่สิบเก้าวัน อย่าปล่อยให้ใครย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงของวิหารและแตะสัมผัสมัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีแต่กลิ่นอายของเจ้าเท่านั้น ที่จะคงอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด”
“ถ้าเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ได้…ถ้าเปลวไฟลุกไหม้ไปได้สี่สิบเก้าวัน มันก็จะกระจายเส้นใยของปราณเต๋าเซียนโบราณออกมา หลอมรวมเข้าไปในร่างกายเจ้า และมันก็จะกลายเป็นเส้นชีพจรเต๋าเซียนโบราณ!”
“ถ้าเจ้ามีชีพจรเต๋าเช่นนั้น เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เจ้าก็จะได้รับความรู้แจ้งของเต๋าแห่งเซียน!” ชายชรามองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็หมุนตัว เดินกลับเข้าไปในรูปปั้นเทพ
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แสงแห่งความมุ่งมั่นเต็มอยู่ในดวงตา เขามองลงไปยังตัวอักษร ‘เซียน’ ที่ถูกแกะสลักอยู่บนพื้น และกลิ่นอายอันเก่าแก่โบราณ ทันใดนั้นก็พุ่งขึ้นมาจากภายในจิตใจกระจายออกไปทั่วร่าง
“เซียนเทียม เซียนแท้…เซียน!” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ตะเกียงสัมฤทธิ์เริ่มมืดสลัวลงอย่างฉับพลัน แสดงให้เห็นถึงสัญญาณแห่งการใกล้จะดับลงไป เมิ่งฮ่าวเดินตรงไป กรีดข้อมือเล็กน้อยให้โลหิตไหลเข้าไปในตะเกียง เสียงปะทุได้ยินมาขณะที่เปลวไฟแทนที่จะดับลงไป กลับลุกไหม้เจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งฮ่าวนั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้าตะเกียง รู้สึกได้ว่าจิตใจมีความแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อีกสองสามวันได้ผ่านไป ทันใดนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งอยู่ที่ด้านนอกดาวหนานเทียน มองเห็นเป็นประตูเคลื่อนย้ายทางไกลขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ดวงดาวทั้งหมดมืดสลัวลง แสงแห่งดวงดาวกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ขณะที่เงาร่างสิบกว่าสายปรากฏขึ้นในจุดกึ่งกลางของประตูเคลื่อนย้ายทางไกล
สามคนแรกเป็นผู้ถูกเลือกจากตระกูลฟาง ด้านหลังพวกมันเป็นสมาชิกของตระกูลฟางมากกว่าสิบคน ติดตามมาด้วยผู้พิทักษ์เต๋าจากตระกูลด้วยเช่นกัน
การปรากฏขึ้นของพวกมัน ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะท้าน พวกมันส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเซียน และไม่อาจจะอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนานมากนัก จำเป็นต้องได้รับการปกป้องคุ้มกันจากคนอื่นๆ สำหรับผู้ถูกเลือกทั้งสามคนนั้น พื้นฐานฝึกตนของพวกมันอยู่ระหว่างค้นหาเต๋าและอาณาจักรเซียน
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีสมาชิกของตระกูลบางคนที่อยู่มากกว่าอาณาจักรวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่ผู้ถูกเลือก แต่พื้นฐานฝึกตนของพวกมันก็อยู่ในขั้นเซียน การปรากฏกายขึ้นของพวกมัน เป็นภาพที่น่าตกใจอย่างถึงที่สุด
“ถึงแล้ว ที่นี่คือดาวหนานเทียน!”
“ดูเหมือนว่าตระกูลฟาง คือกลุ่มแรกที่มาถึง ไปกันเถอะ ถึงเวลาที่จะได้ครอบครองโชควาสนาแล้ว!” กลุ่มคนทั้งสิบกว่าเหล่านั้น รวมทั้งผู้พิทักษ์เต๋า พุ่งตรงมายังดาวหนานเทียนด้วยความรวดเร็วสูงสุดในทันที
สามผู้ถูกเลือกในท่ามกลางกลุ่มคน รักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้ที่สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลต้องมองมาด้วยความเคารพนับถือ หญิงสาวนั้นคือฟางเซียงซาน และอีกสองคนประกอบด้วยบุรุษหนุ่มศีรษะล้าน ที่มีดวงดาวอยู่ในดวงตา และมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ, ฟางอวิ๋นอี้ อีกผู้หนึ่งเป็นคนที่ต่อสู้อาบเลือดกับสัตว์อสูรอันดุร้าย, ฟางตงหาน!
คนทั้งสามนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็น สามผู้ถูกเลือกอันยิ่งใหญ่แห่งตระกูลฟาง พวกมันยังไม่ได้บรรลุถึงอาณาจักรเซียน เพราะว่าพวกมันได้สะกดพื้นฐานฝึกตนไว้ ด้วยความคาดหวังว่าจะสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียนแท้ให้จงได้
พวกมันเป็นบุคคลที่ไม่ยอมจะกลายเป็นเซียนเทียม!