Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 857

ตอนที่ 857

ศาลานักรบ!

กลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า กำลังจ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและตกตะลึง จิตใจพวกมันเต็มไปด้วยความงุนงงโดยสิ้นเชิง

“มันได้รับความรู้แจ้งมาจากเศษซากเซียนเก้าสิบเก้าแห่ง สร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้สองแบบ และทำให้แท่นศิลาตัวอักษรสี่สิบแปดแท่นตกลงมา…”

“ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน และบางทีก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นอีก…”

“มันจะเลือกเข้าสังกัด…กลุ่มเต๋าใดกัน?!”

ขณะที่เสียงพูดคุยดังก้องออกไป เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น ทำให้คนทั้งหมดเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถูกเลือกจากสำนักต่างๆ ตอนนี้นามฟางมู่ได้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในจิตใจพวกมัน สำหรับพวกมันแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด เท่าที่พวกมันเคยพบเจอมา

“พลังของมัน…คือพลังของเซียนแท้!” เหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต่างก็หอบหายใจออกมากันทั้งหมด ดวงตาพวกมันสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า

“เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มันยังไม่ใช่เซียนแท้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากที่สร้างเวทยิ่งใหญ่อันน่าตกใจออกมา มันได้กลายเป็นเซียนแท้ขึ้นมาจริงๆ?!”

“มีตำนานในสมัยโบราณเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อสร้างเวทยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ พื้นฐานฝึกตนก็จะเปลี่ยนแปลงไป ดูเหมือนว่าตำนานนั้นจะเป็นเรื่องจริง!”

“ไม่ถูกต้อง มันยังคงไม่ใช่เซียนแท้ มันมีพลังแห่งเซียนแท้ แต่ก็ยังขาดรากแห่งเซียนแท้!”

ขณะที่ปรมาจารย์คนอื่นๆ กำลังพูดคุยเรื่องเหล่านี้กันไปมา ความหวังในแววตาของสามชายชราจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่เริ่มมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น พวกมันไม่พูดจาแต่กำลังมองไปยังเมิ่งฮ่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมันกำลังมองไปยังพื้นที่ที่อยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว

ในตอนนี้เองที่ชายชราจากเต๋าคุนหลุนจู่ๆ ก็กล่าวขึ้น “ฟางมู่ผู้นี้สร้างเวทยิ่งใหญ่ได้แล้ว ตามหลักการมันควรจะไปปรากฏตัวอยู่บนแท่นบูชาของเส้นทางเต๋าโบราณแล้วในตอนนี้”

ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากมัน ชายชราจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็หรี่ตาลง

ตอนนี้แท่นศิลาตัวอักษรสี่สิบแปดแท่นที่อยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวหายไปโดยสิ้นเชิง ในทันใดนั้นเอง จู่ๆ ศาลาโบราณก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าเมิ่งฮ่าวในทันที

มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยหยกเต็มไปด้วยเจตจำนงเซียน นี่ไม่ใช่ซากปรักหักพัง มันลอยอยู่ในกลางอากาศ ถูกห้อมล้อมด้วยแผ่นศิลาสีเขียวที่ยากจะพบเห็น ลักษณะอันน่ามหัศจรรย์นี้ทำให้ดูโดดเด่นเป็นหนึ่งเดียวในโลกแห่งนี้

ปราณเซียนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ บริเวณนั้น กระจายเจตจำนงอันเก่าแก่โบราณออกมา ให้ความรู้สึกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่าครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้เคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อน

ศาลานี้ถูกตกแต่งด้วยหยกสีดำที่ถูกแกะสลักไว้อย่างงดงาม และกระจายแรงกดดันอันรุนแรงออกมา เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวได้รับมาตอนที่มองไปยังสะพานทั้งเก้า ตรงด้านหน้าของศาลาเป็นก้อนศิลาขนาดใหญ่ มีสองตัวอักษรขนาดใหญ่ ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับเป็นมังกรทะยานหงส์เหินฟ้า

ปิงเก๋อ! (ศาลานักรบ)

ตัวอักษรทั้งสองนี้มีสีแดงโลหิต และสาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า เมื่อเมิ่งฮ่าวอ่านมัน ก็ได้ยินเสียงกระหึ่มดังขึ้นราวกับว่าพวกมันจะดังก้องออกมาจากมังกรและหงส์ที่แท้จริง

สำหรับกลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า พวกมันมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากจอภาพกระแสน้ำวนที่แสดงภาพของเมิ่งฮ่าว จู่ๆ ก็เริ่มเลือนลางลงไป

กลุ่มผู้คนเริ่มร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“จู่ๆ พวกเราก็มองไม่เห็นภาพบนจอ!!”

ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ ปรมาจารย์คนอื่นๆ กำลังจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง พวกมันมองไม่เห็นภาพบนจอด้วยเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าศาลาเซียนได้ปิดกั้นไม่ให้คนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกมองเห็น

ปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะที่พวกมันสบตากันไปมา จากนั้นก็ส่งข้อความสามประโยคอยู่ในกลุ่มพวกมันด้วยกันเอง

“มันพบแล้วจริงๆ! กระตุ้นให้ค่ายกลเวททำงานขึ้น และปลดปล่อยเวทสื่อสารสวรรค์ออกมา!”

“ข้าไม่เคยจะคาดคิดว่า หลังจากจัดงานแข่งขันมานับหมื่นปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้!”

“ตลอดหลายปีมานี้ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ของพวกเราได้พยายามกระทำทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่อาจจะมองเห็นมันได้แม้แต่น้อยนิด อย่าว่าแต่จะได้ครอบครองสิ่งของในตำนานนั้น จากการคำนวนก่อนหน้านี้ มีแต่คนที่อยู่ในอาณาจักรวิญญาณเท่านั้น ถึงจะสามารถค้นหาศาลาเซียนนี้ได้อย่างแท้จริง!”

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดของสามปรมาจารย์เหล่านี้ แต่ชายชราจากเต๋าคุนหลุนก็หรี่ดวงตาลง หลังจากที่เข้าฌาณอยู่ชั่วขณะ สีหน้ามันก็เจิดจ้าขึ้นในทันที

“กลายเป็นว่าสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ จัดงานแข่งขันนี้ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ไม่เพียงแต่ต้องการจะรับศิษย์เข้าสังกัดเท่านั้น แต่ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก!”

เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์คนอื่นๆ เริ่มนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จากสีหน้าของพวกมันก็ดูเหมือนจะสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นฐานฝึกตนและสมาธิที่ดีเยี่ยม แต่พวกมันก็ยังคงหอบหายใจและสั่นสะท้านกันทั่วทุกตัวคน

“สหายเต๋าจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ เรื่องนี้…”

บุคคลที่กล่าวตอบเป็นชายชราจากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

“นี่คือเรื่องภายในของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา” มันกล่าวขึ้น ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ “ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน สหายเต๋าทั้งหลาย ในตอนนี้การแข่งขันจะยังคงดำเนินต่อไป!”

เวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวกำลังมองไปยังศาลาเซียน มันปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเขาค่อนข้างจะฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการตอบรับที่เขาสร้างเวทยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้

“หลิงอวิ๋นจื่อกล่าวว่ามีเศษซากเซียนเก้าสิบเก้าแห่ง รวมทั้งศาลาเซียนที่สมบูรณ์ ใช่หรือไม่ว่าศาลานี้…คือศาลาเดียวกับที่ข้าพยายามค้นหามา แต่ก็ไม่อาจจะพบเห็นได้ในก่อนหน้านี้?” ดวงตาเขาเบิกกว้าง

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวกำลังจะก้าวเท้าตรงไป แต่ฉับพลันนั้น เสียงเก่าแก่โบราณก็ส่งผ่านเข้ามาในจิตใจ

“ฟางมู่ ข้าคือหลิงอวิ๋นจื่อจากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ข้าเป็นตัวแทนของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ทั้งหมด มาส่งต่อข้อความให้กับเจ้า ทำอย่างไรก็ได้ให้เข้าไปในศาลาเซียน และนำเอาหลัวผาน (เข็มทิศจีน) ที่วางอยู่ด้านในออกมา ถ้าเจ้าทำได้ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ยินดีที่จะมอบสิ่งของตอบแทนตามที่เจ้าปรารถนา ตราบเท่าที่พลังของพวกเราจะทำได้!”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น และเขาก็ไม่ตอบกลับไป แต่หยุดชะงักนิ่ง และสีหน้าลังเลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ไม่ต้องกังวลใจถึงอันตรายใดๆ” หลิงอวิ๋นจื่อกล่าวต่อไป “ศาลาเซียนปรากฏขึ้นอันเนื่องมาจากโชควาสนาของเจ้า และข้าก็ไม่อาจจะไปปรากฏกายขึ้นในที่แห่งนั้นด้วยตนเอง ถ้าข้าไปปรากฏกายขึ้น ก็จะทำให้ศาลานั้นหายไปในทันที สำหรับเจ้าแล้ว จะไม่มีอันตรายใดๆ เมื่อเจ้าเข้าไปที่ด้านใน”

เมิ่งฮ่าวลังเลอีกเล็กน้อยก่อนที่แสงแห่งความมุ่งมั่นจะปรากฏขึ้นในแววตา และเขาก็รีบเดินตรงไปยังศาลาเซียนอย่างรวดเร็ว

ไม่มีใครในโลกด้านนอกจะมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้บนจอภาพ อย่างไรก็ตามปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่กำลังหอบหายใจออกมา ดวงตาพวกมันสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ

พวกมันไม่อาจจะเข้าไปในโลกของเมิ่งฮ่าวได้เช่นกัน ได้แต่เฝ้ารออยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น พวกมันรอคอยโอกาสนี้มานานหลายปีแล้ว

ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ศาลาเซียน แรงกดดันก็ยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกๆ บางอย่าง ขณะที่แรงกดดันนั้นกำลังป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ เข้ามาใกล้ แต่มันก็ไม่มีผลต่อเมิ่งฮ่าวเลยแม้แต่น้อย สร้างเป็นเส้นทางส่วนตัวให้เขาก้าวเดินไป

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น เขารับรู้ได้ว่าไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นจึงเดินช้าๆ ไปยังศาลาเซียนและยืนอยู่ที่เบื้องหน้ามัน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่ยกมือขึ้นและผลักไปที่ประตู

ไม่มีเสียงให้ได้ยินขณะที่ประตูเปิดออก แต่ทันทีที่เป็นเช่นนั้น แสงอันเจิดจ้าไร้ขอบเขตก็สาดประกายออกมาจากด้านใน แสงเจิดจ้าปกคลุมไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวในทั่วทุกทิศทางที่ด้านนอกของศาลา หลังจากนั้นชั่วขณะ หลิงอวิ๋นจื่อก็ส่งเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา กลายเป็นว่ามันได้แอบติดตามเมิ่งฮ่าวเข้ามาในศาลาเซียนแห่งนี้

อย่างไรก็ตามแสงนั้นได้บังคับให้มันต้องถอยกลับไป โลหิตไหลซึมออกมาจากดวงตา, หู, จมูกและปากของมัน แทบจะราวกับว่ามันได้ถูกสาปแช่ง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก มันรีบพุ่งกลับไปทางด้านหลังในทันที จากนั้นก็ออกไปจากโลกแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นมันก็จะถูกสังหารไป

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณศาลาเซียน เขายืนอยู่ที่นั่นในแสงเจิดจ้า ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จนกระทั่งแสงนั้นเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ เขามองไปยังศาลาที่เบื้องหน้าด้วยความงุนงง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ

“สถานที่นี้คืออะไร…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ด้านในของศาลาเซียน ตอนนี้เขามองเห็นชั้นวางของอยู่มากมาย ซึ่งน่าตกใจยิ่งที่มันเต็มไปด้วยของวิเศษหลากหลายชนิดนับไม่ถ้วน

มีแส้ที่ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกที่หมุนวนไปมาคล้ายมังกร ดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากเส้นเอ็น และกระจายแรงกดดันอันน่าตกใจออกมา ราวกับว่ามันถูกกลั่นสกัดมาจากมังกรที่แท้จริง ยังมีกระจกโบราณ ที่ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอก จากที่เห็นดูเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างถูกผนึกไว้ที่ด้านใน

ยังมีดวงตาสีแดงเข้มที่ถึงแม้จะปิดอยู่ แต่ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องรู้สึกตกตะลึงเมื่อมองไป

มีกระถางที่วางอยู่บนด้านหลังของคางคก ซึ่งดูเหมือนว่ากระถางกำลังถูกสะกดไว้

ที่ห่างไกลออกไปเป็นหอกยาวสีเขียว ซึ่งปลายหอกถูกแกะสลักขึ้นมาจากกระดูก เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปอย่างละเอียดมากขึ้นยังด้ามหอกที่ถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ จิตใจก็หมุนคว้าง เขาจำได้ว่าไม้นั่นคือไม้ที่มาจาก…ต้นเจี้ยนมู่!

ยังมีดาบใบกว้างที่แปดเปื้อนไปด้วยโลหิตสีดำคล้ำ เป็นโลหิตที่ดูเหมือนจะประกอบด้วยพลังแห่งเจตจำนงที่ส่งเสียงกระหึ่มดังขึ้นไปจนถึงสวรรค์อย่างน่าตกใจยิ่ง

นอกจากสิ่งของเหล่านั้นแล้ว ยังมีหลัวผานอีกด้วย สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ เกือบทั้งหมดของมันดูปกติธรรมดา แต่ผลึกสีขาวที่อยู่ตรงกลางของหลัวผาน ได้กระจายแสงอันอ่อนโยนออกมา ทำให้ดูไม่ธรรมดาขึ้นมาอย่างแท้จริง

จากที่เห็น ผลึกสีขาวนั้นสามารถจะเอาออกมาจากจุดตรงกลางของหลัวผานได้ ราวกับว่าหลัวผานนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผลึกนั้นสามารถกระจายพลังออกมาได้เท่านั้น

มีสิ่งของเวทอยู่มากมายหลายชนิด วิธีการใช้อันมากมายของมันทำให้เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะตัดสินใจได้ แส้นั้นเป็นหนี่งในสิ่งของที่แปลกประหลาดมากเป็นอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าสิ่งใดในพวกมันก็สามารถจะทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้น ถ้าพวกมันไปปรากฏขึ้นในโลกที่ด้านนอก

นอกจากของวิเศษทั้งหมดนั้นแล้ว ก็ยังมีโต๊ะวางอยู่ในศาลาเซียนอีกหนึ่งตัว บนโต๊ะนั้นมีแผ่นไม้ไผ่วางอยู่ รวมทั้งเครื่องเขียนอื่นๆ

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า ขณะที่ก้าวเดินตรงไป ผ่านเข้าไปในศาลาเซียน ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ประตูที่ด้านหลังก็ปิดลง

ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงอันเย็นชาราวน้ำแข็งก็ดังก้องขึ้นมาในทันที

“ในการปฏิบัติตามต่อเจตจำนงและพินัยกรรมสุดท้ายของสามผู้ยิ่งใหญ่ ใครก็ตามที่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในอาณาจักรวิญญาณ สามารถจะสร้างเวทยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ก็สามารถเข้ามาในศาลานักรบและเลือกของวิเศษไปหนี่งชิ้น”

เมิ่งฮ่าวมองดูไปรอบๆ ในศาลาเซียน แต่ก็ไม่เห็นใครนอกจากตัวเอง เสียงที่เพิ่งจะพูดออกมานี้เย็นชาและกีดกันผู้คนจนห่างไกล ดูเหมือนจะไร้อารมณ์ความรู้สึก หลังจากที่พูดออกมาแล้ว ก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก

เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มมองไปรอบๆ ยังของวิเศษเหล่านั้น จิตใจเต้นรัวด้วยความกระตือรือร้น

จริงๆ แล้วเขาอยากจะนำของวิเศษที่เห็นทั้งหมดนี้ออกไป แต่หลังจากที่จ้องมองไปชั่วขณะ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หลัวผานนั้น

“นั่นต้องเป็นหลัวผานที่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ต้องการให้ข้านำไปให้พวกมัน” เมิ่งฮ่าวคิดดวงตาสาดประกาย หลังจากที่มองไปยังหลัวผานอยู่ชั่วครู่ เขาก็เริ่มพึมพำกับตัวเอง

“การแข่งขันของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ มีจุดประสงค์อื่นอีก คือการให้ใครบางคนมายังที่แห่งนี้ และนำของสิ่งนี้ไปให้กับพวกมัน ถ้าข้าไม่ปฏิบัติตามความต้องการของพวกมัน ข้าเกรงว่าอนาคตของข้าก็คงจะเต็มไปด้วยความน่ากลัว หลังจากที่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้” เมิ่งฮ่าวไม่ค่อยอยากจะทำตามคำเรียกร้องของพวกมัน แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็มองไปยังหลัวผานด้วยสายตาที่สาดประกาย จากนั้นก็ก้าวเท้าตรงไปหยิบมันขึ้นมา

ในทันทีที่เขาหยิบหลัวผานขึ้นมา ก็หยิบเอากระบี่บินออกมาจากถุงสมบัติด้วย และพยายามจะงัดเอาผลึกสีขาวนั้นออกมาอย่างขะมักเขม้น

“พวกเจ้าคิดว่าจะเอาเปรียบข้าได้!? ไม่มีทาง!” เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น กดกระบี่ลงไปอย่างรุนแรงจนกระทั่งเกิดเป็นเสียงปะทุดังขึ้นมา และผลึกก็ลอยออกมาจากจุดตรงกลางของหลัวผาน เมิ่งฮ่าวคว้าจับมันไว้ จากนั้นก็ยิ้มออกมา ขณะที่ใส่มันเข้าไปในถุงสมบัติด้วยความระมัดระวัง

จากนั้นเขาก็มองไปยังหลัวผานอีกครั้ง มันดูสมบูรณ์ไร้ร่องรอยใดๆ หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ เขาก็กระแอมไอออกมา และมองไปรอบๆ ยังของวิเศษทั้งหมด

“ถึงแม้เสียงนั้นจะบอกว่า ข้าสามารถนำของวิเศษไปได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้กล่าวอันใดเกี่ยวกับผลสะท้อนในการที่นำของชิ้นอื่นไปด้วย ข้าน่าจะทดลองดู” จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัวเร็วมากยิ่งขึ้นขณะที่เดินไปยังหอกเล่มนั้น เขายื่นมือออกไป แต่แทบจะในทันทีที่มือเขากำลังจะไปคว้าจับมันไว้ พลังอันแข็งแกร่งก็กดดันผลักเขาให้ถอยหลังกลับไป

เสียงอันเย็นชาดังขึ้นอีกครั้งอยู่ภายในศาลาเซียน

“ของชิ้นนี้ไม่ได้มีโชคชะตาเชื่อมต่อกับเจ้า เจ้าได้นำของวิเศษไปแล้วหนึ่งชิ้น ตอนนี้ให้ออกไปได้แล้ว”

“ไม่มีโชคชะตาเชื่อมต่อกัน?” เมิ่งฮ่าวคิด “โชคชะตาก็เหมือนกับเหตุและผลของกรรม ดังนั้นจึงหมายความว่าข้าไม่มีกรรมเชื่อมต่อกับของวิเศษเหล่านี้?” แสงแปลกๆ สาดประกายอยู่ในดวงตา และทันใดนั้นเขาก็กระแอมไอออกมา ในตอนนี้เองที่เวทผนึกอสูรรุ่นเจ็ด ซึ่งเป็นเวทแห่งการผนึกกรรม ถูกปลดปล่อยออกมาในทันที

——————–

หมายเหตุ ต้นเจี้ยนมู่ ถูกอธิบายครั้งแรกในตอนที่ 109 เมื่อเมิ่งฮ่าวไปซื้อต้นชุนชิวในงานประมูล และถูกกล่าวถึงในตอนที่ 158 เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นภาพที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของกระถางสายฟ้า ในงานคัดเลือกบุตรเขยของตระกูลซ่ง ผู้เข้าแข่งขันได้เข้าไปในภาพวาดของต้นเจี้ยนมู่ ซึ่งเป็นตอนที่เมิ่งฮ่าวได้พบกับสุ่ยตงหลิวเป็นครั้งแรก ซึ่งอยู่ในตอนที่ 194 และต้นเจี้ยนมู่ก็ถูกกล่าวถึงมาเรื่อยๆ ตามลำดับ จนกระทั่งตอนที่ 199 ในตอนที่ 208 สุ่ยตงหลิวได้เอ่ยถึงต้นเจี้ยนมู่เมื่อท่านพูดกับเมิ่งฮ่าว ตอนที่ 392 เมิ่งฮ่าวได้สร้างเรื่องราวเกี่ยวกับต้นเจี้ยนมู่จนทำให้คนในเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์รู้สึกประทับใจ ในตอนที่ 821 หลี่หลิงเอ๋อร์ได้ใช้วิชาเวทที่เรียกภาพลวงตาของต้นเจี้ยนมู่ออกมาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!