ตอนที่ 866
ข้าคือเทพ!
กลุ่มฝูงชนในขุนเขาทะเลที่เก้ากำลังมองไปยังจอภาพกระแสน้ำวน มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่หลิงอวิ๋นจื่อและคนอื่นๆ ได้พบเห็น
ซึ่งรวมถึงบุรุษครึ่งศีรษะที่เน่าเปื่อย รวมทั้งสิ่งอื่นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในกลุ่มหมอกด้วยเช่นกัน
เสียงหอบหายใจได้ยินมาจากผู้ฝึกตนในขุนเขาทะเลที่เก้า สำหรับพวกมันแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นเศษซากเซียนเหล่านั้น ในการแข่งขันก่อนหน้านี้ บุคคลภายนอกไม่อาจจะมองเห็นได้ถึงสิ่งเหล่านั้น แต่ครั้งนี้แตกต่างกันออกไป ไม่เพียงแต่จะมีรางวัลอันน่าประหลาดใจเท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งหมดสามารถจะมองเห็นเศษซากเซียนได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่ก็ยังคงเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนได้
เมื่อพวกมันมองเห็นซากศพขนาดใหญ่มหึมานั้น เสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง จากนั้นต้นไม้เต๋าโบราณก็ปรากฏขึ้น แม้แต่เสียงร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจที่ดังขึ้นมากกว่านั้นก็ยังได้ยินมา
“คิดไม่ถึงว่า…มันจะเติบโตขึ้นอยู่บนซากศพยักษ์นั่น!”
“นั่นคือต้นไม้เต๋าโบราณ? มันคืออะไรกันแน่? ทำไมถึงได้เรียกว่าต้นไม้เต๋า?!”
“ซากศพนั่น…สวรรค์! ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีสิ่งของที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนั้นอยู่! เป็นไปได้อย่างไรกัน?! ถ้าเจ้าสิ่งนั้นยังไม่ได้ตายไป…ใครจะไปต่อสู้กับมันได้? คาดไม่ถึงว่า…มันจะเป็นแค่ซากศพจริงๆ!”
สีหน้าของเหล่าปรมาจารย์ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสงบเยือกเย็น พวกมันทั้งหมดคุ้นเคยกับเศษซากเซียนเหล่านี้
อย่างไรก็ตามพวกมันต่างก็สงสัยว่าสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่มีแรงจูงใจอะไร ถึงได้ปล่อยให้กลุ่มคนภายนอกทั้งหมดมองเห็นได้ถึง
ซากศพที่ใหญ่โต และต้นไม้โบราณนั่น
“ใบไม้คือสังเวียนการประลอง” หลิงอวิ๋นจื่อกล่าว “ใบไม้ทางด้านซ้ายมือจะเป็นสนามประลองของวิญญาณแรกก่อตั้ง ใบไม้ทางขวามือสำหรับตัดวิญญาณ สำหรับลำต้นหลักตรงกลาง…คือสถานที่ต่อสู้ของค้นหาเต๋า!” ขณะที่คำพูดของมันดังก้องออกมา เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นบนหนึ่งในใบไม้ของลำต้นหลักตรงด้านล่าง
ผู้ฝึกตนค้นหาเต๋าทั้งหมดต่างก็อยู่บนใบไม้ด้านล่างด้วยเช่นกัน เมื่อพวกมันมองขึ้นไป ก็เห็นกิ่งก้านที่ยืดยาวออกไปเป็นชั้นๆ ซึ่งมีระดับสูงสุดคือชั้นที่สิบ
ยิ่งมีระดับสูงมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งมีใบไม้น้อยลงมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริงตรงส่วนปลายสุดมีใบไม้สีทองอยู่แค่หนึ่งใบเท่านั้น ซึ่งดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
สำหรับสนามต่อสู้บนทางซ้ายและขวา พวกมันก็มีการแบ่งเป็นระดับเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ามันจะยืดสูงขึ้นไป แต่พวกมันก็มีการขยายตัวออกไปทางด้านข้าง เช่นเดียวกันยิ่งสูงขึ้นไป ใบไม้ก็ยิ่งเบาบางลดน้อยลง จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดของทั้งสองข้างซ้ายขวา ก็เป็นใบไม้สีทองเช่นกัน!
ใบไม้สีทองสามใบ คือข้อจำกัดของต้นไม้เต๋าโบราณ และจะเป็นสถานที่สำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่หลิงอวิ๋นจื่อพูดอธิบาย มันและชายชราอีกสองคนก็ขยับมือร่ายเวท สร้างเป็นสิ่งของเวทขึ้นมาซึ่งใช้สำหรับการจัดตั้งประตูเคลื่อนย้ายทางไกล บนซากศพยักษ์ที่อยู่ด้านล่างต้นไม้
หลังจากที่ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา สามชายชราก็ขยับมือร่ายเวทและชี้ออกไป ทำให้แสงอันเจิดจ้าไร้ขอบเขตพุ่งขึ้นมา ทันทีที่แสงจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกลพุ่งขึ้นไป สำนักที่อยู่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า จ้าวอีฝาน, ไท่หยางจื่อ, ฝานตงเอ๋อร์ และผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็พุ่งตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลที่อยู่ในสถานที่ของพวกมัน แสงเจิดจ้าแวบขึ้นและพวกมันก็หายตัวไป
เมื่อพวกมันปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็มายืนอยู่ที่ตรงส่วนบนของซากศพยักษ์ในเศษซากเซียน
เพียงแค่สิบลมหายใจเท่านั้น กลุ่มคนนับร้อยจากสำนักทั้งหมดก็มาถึง จากนั้นเสียงแตกร้าวก็ได้ยินมา ขณะที่ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลแตกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจางหายไป
ขณะที่ฝานตงเอ๋อร์และคนอื่นๆ พุ่งกระจายออกไป พวกมันก็มองไปรอบๆ ด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันมายังสถานที่แห่งนี้เช่นเดียวกัน
จากใบไม้ที่เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นฝานตงเอ๋อร์, ไท่หยางจื่อ แม้แต่ซุนไห่และคนอื่นๆ ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นและใบหน้าก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
หลิงอวิ๋นจื่อโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้ผู้ถูกเลือกเกือบหนึ่งร้อยคนลอยตรงไปยังใบไม้ที่เป็นระดับเดียวกับพื้นฐานฝึกตนของพวกมัน
ในที่สุด ฝานตงเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็มายืนอยู่บนใบไม้ที่อยู่ระดับล่างสุดของต้นไม้ สำหรับฝานตงเอ๋อร์ นางสวมใส่ชุดยาวสีขาว และด้านหลังนางมีกลุ่มหมอกสีขาวลูกทรงกลมหมุนวนไปมา หมอกนั้นหนาแน่นมาก จนไม่อาจจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้
ใบไม้ที่นางยืนอยู่ไม่ได้ห่างไกลจากเมิ่งฮ่าวมากนัก และเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังนาง สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มหมอกสีขาวที่อยู่ด้านหลังนางมากเป็นพิเศษ
ฝานตงเอ๋อร์สังเกตได้ว่าเขากำลังมองมา นางขมวดคิ้วแต่ก็รู้ดีว่าในที่สุดคนทั้งสองก็จะกลายเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ดังนั้นนางจึงได้สะกดข่มเพลิงโทสะไว้ และมองมายังเขาอย่างเงียบๆ
เมิ่งฮ่าวมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว จ้องไปยังจ้าวอีฝาน จากนั้นก็หลี่หลิงเอ๋อร์ เมื่อเขามองไปยังหลี่หลิงเอ๋อร์ เขาก็ต้อง…มองไปที่ก้นของนางโดยไม่รู้สึกตัว
เขายังจำได้ว่าเคยฟาดไปที่ก้นนางสองครั้ง ทำให้ก้นของนางต้องบวมฉึ่งขึ้นมา
หลี่หลิงเอ๋อร์ชำเลืองมองมายังเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างจะพึงพอใจ มองไปรอบๆ จนกระทั่งสังเกตเห็นว่ามีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังมองมาที่เขา
เมื่อสายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน บุรุษผู้นั้นก็สั่นสะท้าน เป็นเรื่องธรรมดาที่มันต้องเป็น…ซุนไห่
ซุนไห่จดจำเมิ่งฮ่าวไม่ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเมิ่งฮ่าวมองมาที่มัน ก็ทำให้มันต้องหอบหายใจออกมา และเต็มไปด้วยความหนาวเย็น รู้สึกจิตใจไม่สงบนิ่ง
ตอนแรก เมิ่งฮ่าวจำไม่ได้ว่าบุรุษหนุ่มศีรษะล้านผู้นี้คือใคร แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ต้องตกตะลึง
“เกิดอะไรขึ้นกับเส้นผมของมัน? ข้าจำได้ว่ายังมีเหลืออยู่อีกเล็กน้อย” เขาคิด ไม่เพียงแต่เมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่กำลังมองไปยังผู้ถูกเลือกเหล่านี้ ผู้เข้าร่วมการต่อสู้คนอื่นๆ ต่างก็กำลังสำรวจไปที่พวกมันอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก่อนที่เสียงของหลิงอวิ๋นจื่อจะได้ยินมาอีกครั้ง
“สังเวียนการประลองของวิญญาณแรกก่อตั้ง, ตัดวิญญาณ และค้นหาเต๋า จะแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง และจะมีผลลัพธ์แยกกัน ใบของต้นไม้เต๋าโบราณที่พวกเจ้ายืนอยู่นั้น มีความสามารถเคลื่อนย้ายทางไกล มันไม่เพียงแต่จะเคลื่อนย้ายคนสองคนไปบนใบไม้หนึ่งใบเพื่อต่อสู้เท่านั้น แต่จะเคลื่อนย้ายผู้ชนะไปยังระดับต่อไปอีกด้วย!”
“การต่อสู้จะดำเนินไปเช่นนี้จนกระทั่งไปถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย”
“ในสังเวียนการประลอง เป็นหรือตายถูกตัดสินด้วยโชคชะตา ผู้ที่พ่ายแพ้จะถูกให้ออกไปจากการต่อสู้ ถ้าเปล่งคำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ ก็จะถูกให้ออกไปจากการต่อสู้นี้ด้วยเช่นกัน”
“จดจำไว้ว่าพวกเจ้าอยู่ในอาณาเขตของเศษซากเซียน ซึ่งมีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่ทั่วทุกที่! ถ้ามีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นที่ด้านนอก พยายามจะรบกวนจิตใจหรือหลอกล่อให้ออกไป พวกเจ้าต้องไม่ออกไปจากเขตของใบไม้โดยเด็ดขาด!”
“พวกเจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่บนใบไม้ ถ้าออกมาจากใบไม้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่า…พวกเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่”
“สังเวียนการประลองเริ่มขึ้นได้ ณ บัดนี้!”
แทบจะในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากของหลิงอวิ๋นจื่อ จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ร้องตะโกนเป็นเสียงดังออกมา
“ท่านปรมาจารย์ โปรดรอสักครู่!”
เสียงของเขาดังก้องออกมา ดึงดูดความสนใจคนรอบข้างอยู่ไม่น้อย หลิงอวิ๋นจื่อขมวดคิ้วมองมายังเมิ่งฮ่าว ตอนแรกมันพยายามจะไม่สนใจเขา แต่หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสีหน้าของเมิ่งฮ่าว ตอนที่เขาชูหลัวผานสูงขึ้น จิตใจมันก็อ่อนโยนลง
“มีอะไร?”
“ท่านปรมาจารย์ ข้าอยากจะรู้ว่า ซากศพมหึมาด้านล่างนี้ เป็นผู้ฝึกตนหรือไม่?” อันที่จริง ไม่ใช่เมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยากจะรู้ถึงคำตอบนี้ ผู้เข้าร่วมการต่อสู้ทั้งหมดต่างก็สงสัยในสิ่งเดียวกันนี้ สำหรับผู้ถูกเลือกที่เพิ่งจะมาถึง พวกมันยังคงสงบนิ่งอยู่ได้เนื่องจากว่า ได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนที่อยู่ในโลกด้านนอกมาแล้ว
หลิงอวิ๋นจื่อเงียบไปชั่วครู่ จริงๆ แล้วมันไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบคำถามนี้ได้ด้วยตัวเอง มันมองไปยังชายชราอีกสองคน และพวกมันก็สบตากันไปมา จากนั้นพวกมันก็หยิบเอาแผ่นหยกที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับสำนักงานใหญ่ เพื่อสอบถามไปว่าสามารถจะตอบคำถามนี้ได้หรือไม่
หลังจากผ่านไปชั่วขณะ หลิงอวิ๋นจื่อก็เก็บแผ่นหยกกลับเข้าไป และมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว
“นี่คือเทพแห่งนิพพาน!”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกไป หลิงอวิ๋นจื่อไม่รอให้คนทั้งหมดทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ร้องตระโกนออกมาอีกครั้งในทันที “เริ่มการประลอง!”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และไม่อาจจะควบคุมตัวเองไม่ให้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ได้ เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เทพ…
อันที่จริงแล้วผู้เข้าร่วมการต่อสู้ทั้งหมดต่างก็สะท้านใจไปตามๆ กัน แต่ขณะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ โลกที่เบื้องหน้าคนทั้งหมดก็เริ่มแตกกระจายไป พวกมันเริ่มเลือนลางลงไป ในชั่วพริบตาคนทั้งหมดก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง และพวกมันก็ไปอยู่บนใบไม้ชั้นต่อไป
อย่างไรก็ตามแทนที่จะไปอยู่บนใบไม้เพียงคนเดียว แต่ละคนกำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อยู่ในตอนนี้
เมิ่งฮ่าวพบว่าตนเองกำลังมองไปยังบุรุษหนุ่มที่เดิมทีเต็มไปด้วยพละกำลัง แต่ทันทีที่เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น เมื่อมันมองเห็นว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับเมิ่งฮ่าว สีหน้ามันก็สลดลง
มันไม่ใช่หนึ่งในผู้ถูกเลือกจากสำนักที่ด้านนอก แต่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้น…มันยังเคยอยู่บนแท่นบูชาเดียวกับบุรุษวัยกลางคน ที่เมิ่งฮ่าวได้ระบายโทสะไปก่อนหน้านี้ มันจึงได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นด้วยสองตาของตนเองอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยแสงอันดุร้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว มันส่งเสียงแผดร้องที่ทรงพลังออกมา และโคจรพลังจากพื้นฐานฝึกตนทั้งหมดขึ้นมา ขณะที่กลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งขณะที่มันใกล้เข้ามา ยกมือขวาขึ้นและต่อยออกไปในอากาศ จากนั้นก็หมุนตัว เริ่มเดินตรงไปยังชายขอบของสังเวียนการประลอง
แทบจะในทันทีที่เขาหมุนตัว เสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ได้ยินมา โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากของบุรุษหนุ่มผู้นั้น ถึงแม้ว่ามันจะพุ่งเข้ามาราวกับเป็นดาวตก แต่ทันใดนั้นเองทางด้านขวามือของมันก็มืดสลัวลงไป มันถูกบังคับให้ถอยไปทางด้านหลังมากกว่าสิบจ้าง จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง สีหน้าหดหู่และซีดขาวโดยสิ้นเชิง
มันตระหนักดีว่าเมิ่งฮ่าวได้ออมมือให้ แรงระเบิดเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นในอากาศตรงหน้ามัน ไม่ได้พุ่งตรงมาที่ร่างกายมันโดยตรง แต่มันก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย ถูกบังคับให้ต้องถอยไปทางด้านหลังและได้รับบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยหน้าตาที่เศร้าสร้อย ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“ข้ายอมแพ้” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นเล็กน้อย
ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก ร่างมันก็จางหายไป กลับไปยังใบไม้ระดับแรก ซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่ามันถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน สำหรับเมิ่งฮ่าว เขานั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่ชายขอบของสังเวียนการประลอง และมองไปรอบๆ ยังสถานที่ต่อสู้ของคนอื่นๆ
เขากำลังรู้สึกค่อนข้างจะพึงพอใจกับตนเอง แต่สำหรับผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เก้า ที่กำลังเฝ้ามองการต่อสู้อยู่นี้ พวกมันต่างก็สั่นสะท้านต่อพลังของเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง
“หนึ่งหมัด…ต่อยเข้าไปในอากาศ! ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าต้องได้รับบาดเจ็บ!”
“ฟางมู่ผู้นี้ยังไม่ได้ใช้วิชาเวทใดๆ เลย! มันพึ่งพาแต่ความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเองเท่านั้น!”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันสามารถจะต่อต้านกับแรงกดดันที่อยู่ด้านนอกของแท่นบูชาได้! ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเช่นนั้น ช่างเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากที่สุด!”
การแข่งขันรอบแรกนี้เป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับจ้าวอีฝาน รวมทั้งผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ไม่มีใครในพวกมันต้องใช้เวลามากกว่าสิบลมหายใจเพื่อที่จะได้รับชัยชนะมา
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ บริเวณนั้นยังสังเวียนการประลองอื่นๆ และแยกแยะออกมาได้ประมาณสิบคน นอกเหนือจากผู้ถูกเลือก ที่คู่ควรต่อการเฝ้าจับตาดู ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น หนึ่งคือบุรุษหนุ่มสวมหน้ากาก หลีเหยียน อีกคนคือผู้ฝึกตนที่มีฝูงยุง และคนที่สามเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ตอนแรกด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยพูดจาออกมา แต่ก็สามารถเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เข้าร่วมการต่อสู้ค้นหาเต๋าหนึ่งพันคน และมีความสามารถที่โดดเด่นของตัวเอง
ในรอบแรกนี้ มันโจมตีไปอย่างชั่วร้าย ผลก็คือทำให้คู่ต่อสู้ของมันกลายเป็นแอ่งโลหิตไปในทันที
บุคคลที่สี่เป็นชายชราที่ช่างพูด ซึ่งกำลังยืนตัวสั่นและพึมพำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา คู่ต่อสู้คนแรกของมันเป็นผู้ถูกเลือกจากสำนักชีไห่ (เจ็ดทะเล) อย่างน่าแปลกใจยิ่ง ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าชายชราซึ่งกำลังพูดพึมพำอยู่ จู่ๆ ก็ดูเหมือนว่าผู้ถูกเลือกนั้นเริ่มบ้าคลั่งและพยายามจะพุ่งออกไปจากสังเวียนใบไม้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าหลิงอวิ๋นจื่อได้เข้ามาช่วยมันไว้อย่างทันท่วงทีแล้วละก็ มันก็คงจะตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวงไปแล้ว
สำหรับสี่คนเหล่านี้ คนที่ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกตกตะลึงมากที่สุด ไม่ใช่ชายชราที่พูดมากหรือหลีเหยียน แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาผู้นั้น!
“มันมีพลังแห่งเซียนแท้อย่างน้อยก็สามในสิบส่วน!” เมิ่งฮ่าวคิดมองไปอย่างละเอียด แทบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังมัน เด็กหนุ่มนั้นก็หันหน้ามองกลับมา สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน ผ่านสังเวียนการประลองที่อยู่ระหว่างกลางทั้งหมด และปากของเด็กหนุ่มก็บิดขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย