Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 882

ตอนที่ 882

ลำดับที่สิบสาม!

เวทผนึกอสูรรุ่นที่หก เวทเป็นตาย!!

ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หกชี้นิ้วขวาออกไป และทันใดนั้นกระแสปราณสองสายก็ไหลออกไป หนึ่งเป็นสีดำและอีกหนึ่งเป็นสีขาว หมุนวนไปรอบๆ ซึ่งกันและกันเพื่อก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน

กระแสน้ำวนนั้น…เป็นสีเทา!

กระแสน้ำวนสีเทาขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็มีความกว้างมากกว่าหนึ่งพันจ้าง และกระจายแรงดึงดูดออกไปในทั่วทุกทิศทาง เงาร่างที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นเริ่มส่งเสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจออกมา พวกมันสั่นสะท้านขณะที่ร่างกายเน่าเปื่อยไป และสัญลักษณ์เวทก็ปรากฏขึ้นอยู่ทั่วร่าง

สัญลักษณ์เวทเหล่านั้นเป็นสีเทาด้วยเช่นเดียวกัน และพวกมันก็ส่งแสงระยิบระยับขึ้น ขณะที่เงาร่างเหล่านั้นแผดร้องออกมา จากนั้นก็มองไปยังผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หกด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า คุกเข่าลงไปและโขกศีรษะกราบคารวะ

แม้แต่ผู้ฝึกตนที่มีครึ่งท่อนล่างเป็นอสรพิษก็กระทำเช่นเดียวกัน

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หนังศีรษะก็เริ่มด้านชา และเริ่มถอยไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เองที่ผู้ผนึกอสูรรุ่นหกหันหน้ามามองยังเมิ่งฮ่าวตรงๆ

ทันใดนั้นบุรุษผู้นั้นก็ต้องตกตะลึง

เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าโลหิตกำลังถูกแช่แข็งไป รับรู้ได้ถึงวิกฤตอันร้ายแรงอย่างเข้มข้น และทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักนิ่ง และจ้องมองกลับไปยังผู้ผนึกอสูรรุ่นหก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าถ้าเขายังคงถอยต่อไป บุรุษผู้นั้นก็จะโจมตีมา

ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้ผนึกอสูรรุ่นหกกำลังครุ่นคิดด้วยความลังเลอยู่

เวลาดูเหมือนว่าจะเริ่มช้าลงไป อสรพิษสีดำไหลออกมาจากบาดแผลของบุรุษผู้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกมันก็หมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ร่างมัน ดูเหมือนว่ากำลังจะหลบหนีจากไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกปิดกั้นอยู่ในบริเวณนั้น ไม่อาจจะหลบหนีจากไปได้

หลังจากที่ผ่านไปนาน ผู้ผนึกอสูรรุ่นหกก็เริ่มพูดขึ้น

“จุดจบของพันธมิตรผู้ผนึกอสูรเพื่อแลกเปลี่ยนกับการ รักษาวิญญาณที่หลับใหลของท่านผู้หลุดพ้น หรือว่า…จะปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา ฝากความหวังไว้ที่พันธมิตรผู้ผนึกอสูร” มันพึมพำ จ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่ลึกซึ้งอยู่นานชั่วครู่ และจากนั้นก็มองลงไปยังกระบี่ที่เมิ่งฮ่าวถืออยู่ในมือ

“ฉวยโอกาสนี้พิจารณาเรื่องราวให้ละเอียดมากขึ้น” มันกล่าวด้วยใบหน้าที่เมตตา น้ำเสียงที่อ่อนโยน จากนั้นก็หันหลัง ยังคงใช้มือกดลงไปบนบาดแผล และเริ่มเดินออกไปยังที่ห่างไกล ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยอสรพิษโลหิตสีดำที่กำลังแผดร้องออกมา เห็นได้ชัดว่าอสรพิษเหล่านั้นต้องการจะหลบหนีออกไปจากบริเวณรอบๆ ผู้ผนึกอสูรรุ่นหก แต่ก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ และกำลังดิ้นรนไปมา ขณะที่มันเดินห่างออกไป

สำหรับเงาร่างอื่นๆ ทั้งหมดในบริเวณนั้น ที่ตกอยู่ในเวทเป็นตาย ดูเหมือนว่าพวกมันจะสูญเสียความรู้สึกของตนเองไป และค่อยๆ เริ่มติดตามผู้ผนึกอสูรรุ่นหกไป

“ผู้อาวุโส! เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ท่านกำลังจะไปที่ไหน!?!?” เมิ่งฮ่าวร้องตะโกนขึ้นในทันที

“ข้าพ่ายแพ้ให้กับทัณฑ์แห่งขุนเขาทะเลที่สาม…” เสียงอันเก่าแก่โบราณของผู้ผนึกอสูรรุ่นหกดังก้องมา “ข้ากำลังไปค้นหาสถานที่พักแห่งสุดท้ายของข้า…สำหรับเจ้า…ในวันข้างหน้า เจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์แห่งขุนเขาทะเลด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้าพ่ายแพ้ พวกมันก็จะรอคอยเจ้าบนเส้นทางที่จะไปยังสถานที่พักแห่งสุดท้ายนั้น”

“ผู้ผนึกอสูร พันธมิตร พวกเราแข็งแกร่งมากที่สุดในขุนเขาทะเลที่เก้า และพวกเราคือผู้ที่…ทุกข์ทรมานมากที่สุดด้วยเช่นกัน”

“มันคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม ดูแลตัวเองให้ดี…”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังแผ่นหลังของผู้ผนึกอสูรรุ่นหก ขณะที่มันลอยออกไปยังที่ห่างไกล

“พ่ายแพ้?” เขากล่าวขึ้นจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง จากนั้นจู่ๆ เขาก็คิดย้อนกลับไปยังคำพูดที่เอ่ยขึ้นมาโดยผู้ผนึกอสูรรุ่นแปด ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในแผ่นหยก ได้กล่าวถึงการเอาชนะทัณฑ์แห่งขุนเขาทะเลด้วยเช่นกัน!

“ทัณฑ์แห่งขุนเขาทะเลคืออะไร!?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นอย่างเร่งรีบ ขณะที่มองไปยังผู้ผนึกอสูรรุ่นหก จู่ๆ เขาก็สังหรณ์ใจขึ้นอย่างรุนแรงว่าสักวันหนึ่ง…เขาก็จะต้องจบลงเช่นนี้

“เต๋าโบราณ; ปรารถนาที่จะปิดผนึกสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง; สร้างคุณความดีเพื่อทั้งหมดในขุนเขา; ทัณฑ์แห่งเต๋าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของเก้าขุนเขาทะเล; จะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์”

“เต๋าโบราณ; ศึกษารูปแบบของอสูรมามากมายนับไม่ถ้วน; ไม่ได้เหยียบย่างไปบนเส้นทางของเซียนอมตะ; เผชิญหน้ากับทัณฑ์ของเก้าขุนเขาทะเล; เต๋าของข้าคือความเป็นนิรันดร์; มีความหลงผิดอยู่มากมาย แต่เต๋าของข้าคือความถูกต้อง; จะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์!”

โคลงกลอนทั้งสองนี้มีความหมายเหมือนกัน!

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน พวกมันคือคำพูดเดียวกันที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของผู้ผนึกอสูรรุ่นที่แปด

“ถ้าทำได้สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้น!?” เมิ่งฮ่าวถาม ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หกอยู่ในที่ห่างไกลออกไปแล้ว แต่หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เสียงอันเก่าแก่โบราณของมันก็ดังอย่างแผ่วเบาอยู่ในหูของเมิ่งฮ่าว

“แค่คิด เก้าขุนเขาก็จะอยู่ที่นั่น แค่คิด เก้าทะเลก็จะปรากฏขึ้น เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ จะกลายเป็นแก่นแท้”

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวซีดขาว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นเมื่อออกมาจากสังเวียนการประลองคล้ายกับเป็นความฝัน กลายเป็นว่าบุรุษครึ่งศีรษะนี้จริงๆ แล้วคือ…ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หก

“ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คือการที่มันพ่ายแพ้ต่อทัณฑ์บางอย่าง…แล้วสิ่งที่น่ากลัวซึ่งเกิดขึ้นกับร่างกายมันคืออะไรกัน? และอสรพิษโลหิตเหล่านั้นคืออะไร?!”

“แค่คิด เก้าขุนเขาก็จะอยู่ที่นั่น แค่คิด เก้าทะเลก็จะปรากฏขึ้น เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ จะกลายเป็นแก่นแท้ มันหมายความว่าอย่างไร?”

“เก้าขุนเขาทะเล แก่นแท้…พันธมิตรผู้ผนึกอสูร…” เมิ่งฮ่าวกำลังหอบหายใจอยู่ในตอนนี้

“แล้วผู้ผนึกอสูรรุ่นหกใช้เวทรุ่นแปดได้อย่างไรกัน?”

หลังจากที่ผ่านไปนาน เมิ่งฮ่าวก็เริ่มเยือกเย็นลง จากนั้นก็มองไปรอบๆ พยายามนึกไปถึงเส้นทางที่ผู้ผนึกอสูรรุ่นหกได้นำเขามายังสถานที่แห่งนี้อย่างรอบคอบมากที่สุด และเริ่มเดินทางย้อนกลับไปด้วยความระมัดระวัง

มีอันตรายแอบซุกซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้มากมาย ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอันตรายต่อเขาอย่างร้ายแรง สิ่งที่เขาสามารถจะทำได้ก็คือระมัดระวังตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การก้าวพลาดไปแม้แต่น้อยนิด ก็อาจจะทำให้เขาต้องตายไปอย่างง่ายดาย

เวลาผ่านไป

การประลองต่อสู้ได้จบสิ้นลงไปแล้ว สีหน้าเจ็บปวดใจมองเห็นได้บนใบหน้าของหลิงอวิ๋นจื่อ จริงๆ แล้วมันได้ให้ความสำคัญต่อเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างมาก ไม่อาจจะลืมเลือนสีหน้าอันแน่วแน่ของเขา เมื่อมันหยิบเอาหลัวผานไปจากมือเขาได้

มันจากไปพร้อมกับชายชราอีกสองคนจากกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่อื่น พวกมันนำผู้ฝึกตนออกไปจากสังเวียนการประลอง ซึ่งเป็นต้นไม้เต๋าบนซากศพเทพ และเศษซากเซียน พวกมันกลับเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

บางคนก็กลับบ้านไป บางคนก็ถูกนำตัวไปเป็นศิษย์ในสำนัก การแข่งขันทั้งสิบด่านและการประลองต่อสู้ของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการแล้ว

จ้าวอีฝานถูกนำตัวกลับไปยังสำนักกระบี่ไท่สิง เมื่อมันได้สติกลับคืนมา และได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็กำมือเป็นหมัดจนแน่นและต่อยลงไปบนพื้น โลหิตแตกกระจายออกมาจากหมัดของมัน และความเสียใจอย่างรุนแรงก็มองเห็นได้ในดวงตามัน ตามมาด้วยความมุ่งมั่น

สุดท้ายเฉินฝานก็ถูกนำตัวไปเป็นศิษย์ของอีเจี้ยนเก๋อ (ศาลากระบี่เดียวดาย)

เจ้าอ้วนไปยังกู่เซียนหลิง (สุสานเซียนโบราณ) เมื่ออาจารย์ติดตามมันกลับไปยังดาวหนานเทียน และพบว่ามันมีภรรยาร้อยกว่าคน อาจารย์มันก็จ้องมองไปด้วยความตกตะลึง และไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เป็นเวลานาน

หลี่ซือฉีเข้าสังกัดนิกายเซี่ยหลัน (กล้วยไม้โลหิต) เมื่อพิจารณาว่านางมีประสบการณ์ในการหลอมรวมเข้ากับกล้วยไม้โลหิต นางจึงถูกจัดให้กลายเป็นเซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์) ในทันที

หวังโหย่วฉายพบเจอกับประสบการณ์ที่โหดร้ายอย่างไร้ที่เปรียบ มันได้ทำลายดวงตาของตนเองไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ต้องตกอยู่ในโลกแห่งความมืดมิด จริงๆ แล้วก็สอดคล้องกับเต๋าแห่งเยี่ยหู (ทะเลสาบจันทรา) เป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่จันทราลาลับ ก็ไม่มีแสงอื่นใดอีกในสววรค์และปฐพี ก่อนที่แสงจะสาดส่องมา เมื่อไม่มีดวงจันทร์ ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกปกคลุมโดย…ความมืดมิด

นอกจากคนทั้งสี่เหล่านี้ ก็มีผู้คนไม่น้อยจากดาวหนานเทียนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ต่างก็ถูกสำนักที่มีชื่อเสียงรองลงมารับเข้าไปเป็นศิษย์ ส่วนคนอื่นๆ ต้องกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง

หนึ่งเดือนผ่านไป ตลอดช่วงหนึ่งเดือนมานี้ นามฟางมู่กลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้า แม้แต่ผู้ฝึกตนที่ไม่ได้ดูจอภาพกระแสน้ำวนก็ยังได้ยินถึงเรื่องราวของฟางมู่

เขาไม่ได้เป็นเซียน แต่ก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นที่สี่!

เขาได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันสิบด่านแรก และอันดับหนึ่งในการประลองต่อสู้ เนื่องจากสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ฟางมู่กลายเป็นตำนานไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกอย่างจบลงด้วยการที่เขาหายตัวไปในเศษซากเซียน เนื่องจากเช่นนั้น ทำให้ตำนานของเขาถูกเผยแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น

ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวพยายามเดินทางอยู่ในเศษซากเซียนด้วยใบหน้าที่ซีดขาว เขาส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป แต่ก็ไม่กล้าที่จะส่งไปไกลมากนัก ตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันร้ายแรงอยู่หลายครั้ง จนเกือบจะต้องตายไปถึงสามครั้ง

เขามองเห็นกลุ่มศีรษะขนาดใหญ่ที่กำลังลอยอยู่มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ละศีรษะดูเหมือนจะใหญ่โตเท่ากับดาวทั้งดวง ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องหอบหายใจออกมา จิตใจหมุนเคว้งคว้าง

เขามองเห็นสนามรบโบราณ ที่เต็มไปด้วยซากศพนับไม่ถ้วน ที่กำลังเร่ร่อนไปมาอยู่ในท่ามกลางซากศพเป็นผู้คนที่…กินเนื้อที่เน่าเปื่อยอยู่รอบๆ ซากศพเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าการต่อสู้นี้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ซากศพยังคงมีผิวกายที่สดใหม่อยู่ ราวกับว่าพวกมันไม่มีทางจะเน่าเปื่อยไป

เขามองเห็นสวนต้นสมุนไพรขนาดใหญ่ ที่ถูกปกคลุมเต็มไปด้วยวัชพืช อย่างไรก็ตามภายในวัชพืชเหล่านั้น เมิ่งฮ่าวมองเห็นต้นสมุนไพรในตำนานอยู่บางส่วน ภาพที่เห็นนี้ทำให้เขาต้องหอบหายใจออกมา

พวกมันเป็นต้นไม้ที่ตานกุ่ยได้เคยเอ่ยถึง ตอนที่เขาฝึกฝนเต๋าแห่งการปรุงยาอยู่ในสำนักจื่อยิ่น เป็นต้นสมุนไพรที่ถูกถือว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว อย่างไรก็ตามภายในสวนต้นสมุนไพรเหล่านั้น เขาได้เห็นต้นสมุนไพรในตำนานเช่นนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป

ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาคิดว่ามันน่าจะสำคัญมากเป็นพิเศษ…ต้นเถาวัลย์ประกายเซียน!!

แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า มีตัวด้วงสีดำอยู่เป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น จนดูเหมือนว่าจะไร้จุดที่สิ้นสุด ถ้าเขาเข้าไปใกล้มากเกินไป พวกมันก็จะบินขึ้นมากลายเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ บังคับให้เขาต้องหลบหนีออกไปในที่ห่างไกล ถ้าเขาหนีออกไปช้าแม้แต่นิดเดียว ก็คงต้องตายไปอย่างแน่นอน

เขามองเห็นบางสิ่งที่มีขนาดเท่าดวงดาว แต่ก็ถูกปกคลุมเต็มไปด้วยหนวดที่ยืดยาวออกมา เพียงมองไปแค่แวบเดียว ก็ทำให้หนังศีรษะเมิ่งฮ่าวต้องด้านชา และเขาต้องหลบหนีไปในทันที

ในบางครั้ง เขามองเห็นมือขวาที่มีขนาดใหญ่โตมาก จนดูคล้ายจะใหญ่เท่ากับจักรวาล…

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เขายังมองเห็นซากศพนับไม่ถ้วนกำลังลอยไปมาอยู่ในเศษซากเซียน ยังมีเศษซากชิ้นส่วนของอาคารบ้านเรือนที่กระจัดกระจายยืดยาวออกไปเต็มพื้นที่บริเวณนั้น มองเห็นแม้แต่สัตว์อสูรที่กำลังพุ่งฝ่าอากาศไปจนเกิดเป็นเสียงแหลมเล็กออกมา

เมื่อเปรียบเทียบกับเศษซากเซียนที่ลึกลับและมีขนาดที่กว้างใหญ่เหล่านี้ ตัวเมิ่งฮ่าวเองช่างเล็กกระจ้อยร่อยและอ่อนแอมากเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งประหลาดที่เขาได้เห็นมาทั้งหมดเหล่านี้ ก็ทำให้ต้องรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย

ตลอดช่วงหนึ่งเดือนมานี้ พลังชีวิตบางส่วนของเมิ่งฮ่าวได้หายไป แต่พื้นฐานฝึกตนค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกมีความเชื่อมั่นมากขึ้น สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ กระบี่ของผู้ผนึกอสูรรุ่นหกประกอบด้วยพลังบางอย่างที่แปลกๆ ทุกครั้งที่เขาต้องพบเจอกับอันตรายบางอย่าง กระบี่นั้นจะกระจายแสงอันเจิดจ้าออกมา ซึ่งก็คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่เมิ่งฮ่าวยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป

เมื่อเขาสัมผัสไปที่พื้นผิวของกระบี่ ก็รับรู้ได้ถึงเวทผนึกอสูรรุ่นหก อย่างไรก็ตามเวทนี้ยากที่จะเรียนรู้ได้เป็นอย่างยิ่ง ตลอดทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะได้รับความรู้แจ้งเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่เดินไปทั่วเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เขาไม่อาจจะค้นหาซากศพของเทพผู้หลุดพ้นได้ และไม่อาจจะมองเห็นต้นไม้เต๋าด้วยเช่นเดียวกัน วิธีเดียวที่เขาจะค้นหาเส้นทางกลับไปได้ ก็คือต้องหาซากศพและต้นไม้นั้นให้พบ

ในวันหนึ่ง เขามองเห็นถ้ำแห่งเซียน กำลังลอยอยู่ที่นั่นในอากาศ เหมือนว่าจะอยู่ในท่ามกลางของวงจรการเคลื่อนย้ายทางไกล บางครั้งก็อยู่ที่นั่น บางครั้งก็ไม่อยู่แล้ว

มันถูกปกคลุมด้วยรอยแตกมากมาย ราวกับว่ามีการต่อสู้นับไม่ถ้วนกำลังสู้กันไปมาอยู่ที่ด้านนอกของมัน เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเข้าไปในรอยแตกเหล่านั้น จิตใจก็ต้องหมุนคว้าง ราวกับว่ามีความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทอันน่าตกใจอยู่ภายในมากมาย

ทันทีที่เขามองเห็นถ้ำแห่งเซียนนั้น ประตูของถ้ำก็เปิดออกอย่างไร้เสียง มองเห็นหญิงสาวชุดขาวนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่น ในตอนนั้นดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งได้หายไป ยกเว้นหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง

สายตานางสงบนิ่ง ขณะที่มองออกไปยังที่ห่างไกล แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างไม่รู้จบด้วยเช่นเดียวกัน…

ดูเหมือนว่านางเป็นบุคคลที่สามารถจะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องนับถือเทิดทูนนาง เป็นผู้ที่สามารถทำให้เศษซากเซียนต้องสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่านางได้สูญเสียบางสิ่งที่ไม่อาจจะได้คืนกลับมา เป็นบางสิ่งที่มีแต่บทเพลงอันโศกเศร้าซึ่งดังก้องออกมาโดยต้นไม้เต๋าเท่านั้น ถึงจะสามารถอธิบายได้อย่างแจ่มชัด

นางค่อยๆ มองขึ้นไปอย่างช้าๆ และสายตาก็ตกกระทบมาบนร่างเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่ตระหนักว่าหญิงสาวนางนี้…คือคนที่เคยปรากฏขึ้นตรงต้นไม้เต๋าโบราณ เป็นคนที่ทำให้เงาร่างอื่นๆ ทั้งหมดต้องโขกศีรษะเพื่อแสดงความคารวะต่อนาง

“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคืออันดับที่สิบสาม” นางกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ เสียงนั้นดังก้องออกมาราวกับว่าเป็นเสียงสะท้อนที่ดังมาจากในสมัยโบราณ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!