ตอนที่ 903
แวบหนึ่งของพรสวรรค์
เทือกเขาที่ประกอบกันขึ้นเป็นแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาของตระกูลฟาง ยืดยาวออกไปอย่างไร้ขอบเขตในทั่วทุกทิศทาง มีภูเขาทั้งหมดหนึ่งหมื่นลูกอยู่ในเขตส่วนใน ซึ่งถูกครอบครองโดยนักปรุงยา และถูกห้อมล้อมไว้ด้วยภูเขาอื่นๆ อีกหนึ่งแสนลูก
ยิ่งนักปรุงยามีระดับสูงขึ้นมากเท่าใด ก็จะยิ่งได้อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของภูเขาทั้งหมดมากขึ้นเท่านั้น
ภูเขารอบนอกหนึ่งแสนลูก ถูกแบ่งออกเป็นสิบเขต ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ศึกษาเรียนรู้ของเด็กฝึกปรุงยา พวกมันเป็นที่รู้จักกันในนามว่ากระท่อมปรุงยา และมีทั้งหมดหนึ่งหมื่นยอดเขา
จุดหมายปลายทางของเมิ่งฮ่าวคือกระท่อมปรุงยายอดเขาที่เจ็ดหนึ่งเก้าหนึ่ง
โชคดีที่ไม่มีเขตห้ามบินในสถานที่แห่งนี้ มิเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวคงต้องใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง ที่จะไปถึงจุดหมายได้ เขาพุ่งตรงไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด และด้วยความช่วยเหลือของแผนที่ ในที่สุดก็บรรลุถึงยอดเขาที่ดูเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่ง
ยอดเขานี้ไม่ได้มีปลายแหลมและสูงชัน แต่ดูเหมือนว่าตรงส่วนบนสุดได้ถูกตัดออกไป เพื่อสร้างเป็นสิ่งที่ดูคล้ายกับเป็นเขตจัตุรัสส่วนรวมขนาดใหญ่ ในตอนนี้มีผู้คนนับร้อยกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่รอบๆ แท่นเวทีที่ยกสูงขึ้นมาตรงกลาง กำลังรับฟังชายชรากล่าวสอนเกี่ยวกับต้นสมุนไพร ชายชราผู้นั้นสวมใส่ชุดยาว มีปกเสื้อที่ถูกปักไว้ด้วยมังกรสีทองหนึ่งตัว
ชายชราพูดจาไปเรื่อยๆ หยิบเอาต้นสมุนไพรออกมาเป็นระยะ บ่อยครั้งที่หนึ่งในต้นสมุนไพรเหล่านั้นจะผลิดอก และถูกห้อมล้อมด้วยแสงหลากสี เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนที่ฟังอยู่เริ่มเข้าใจรู้แจ้งขณะที่พวกมันมองไป
ในกลุ่มผู้ฟังที่เป็นผู้ฝึกตนนับร้อย มีทั้งบุรุษและสตรี ชราและเยาว์วัย คนทั้งหมดเป็นสมาชิกของตระกูลฟาง มายังที่แห่งนี้เพื่อเรียนรู้วิธีการปรุงยา แน่นอนว่าคนทั้งหมดต้องเริ่มต้นจากการเป็นเด็กฝึกหัดปรุงยามาก่อน
ไม่มีใครให้ความสนใจต่อการมาถึงของเมิ่งฮ่าวมากนัก เขานั่งลงห่างออกไปที่ด้านข้าง รับฟังคำสอนของชายชรา
“นี่คือเสินจ้าวฮวา (ดอกประกายเทพ)” ชายชรากล่าวเสียงราบเรียบ “ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า หยางเซิงเยี่ย (ใบกำเนิดตะวัน) ในหนึ่งวันมันจะมีความเข้มข้นของตัวยาสูงสุดอยู่ที่ตอนเที่ยง ตั้งใจดูให้ดีถึงรูปแบบลายเส้นบนดอกของมัน เพราะว่ามันจะดูคล้ายคลึงกับเสินอวี่ฮวา (ดอกพิรุณเทพ)” ด้วยเช่นนั้น มันก็หยิบเอาต้นสมุนไพรอื่นออกมา และเริ่มแนะนำขึ้นอีกครั้ง
ชายชรามักจะมองออกไปยังกลุ่มฝูงชนเป็นระยะ และเมื่อมันเห็นสีหน้าที่กระตือรือร้นของเด็กฝึกหัดปรุงยา มันก็รู้สึกว่าค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ
มันเป็นนักปรุงยาแค่ระดับแรกเท่านั้น และไม่เคยมีความหวังว่าจะถูกเลื่อนขั้นไปตลอดชีวิตที่เหลือของมัน ดังนั้นมันจึงถูกแต่งตั้งให้มาสอนเรื่องพืชสมุนไพรแก่เด็กฝึกหัดปรุงยา มีแต่อยู่ในช่วงเวลานี้เท่านั้น มันถึงจะมีความสุขเมื่อได้เห็นกลุ่มฝูงชนกำลังมองมาที่มันด้วยความอิจฉา
ขณะที่มันกำลังสอนอยู่ต่อไป แสงแห่งความไม่พอใจจู่ๆ ก็แวบขึ้นมาจากในดวงตา มันเพิ่งจะได้เห็นบุรุษหนุ่มในกลุ่มผู้ฟัง กำลังขมวดคิ้วในสิ่งที่มันกำลังพูดอยู่ ตอนแรกมันไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่หลังจากที่หนึ่งชั่วยามผ่านไป มันก็ตระหนักว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นได้ขมวดคิ้วไปเจ็ดถึงแปดครั้ง
ทำให้ชายชรารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ มันเคยทำการสอนในที่แห่งนี้มานานแล้วหลายปี และเด็กฝึกหัดปรุงยาทุกคนจะมองมาที่มันด้วยความสุภาพและเคารพอย่างลึกล้ำ แม้แต่ผู้ถูกเลือกจากแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาคนอื่นๆ ก็มักจะให้เกียรติมันในสถานที่แห่งนี้
ชายชราไม่เคยพบเจอใครเช่นเมิ่งฮ่าวมาก่อน ซึ่งได้ขมวดคิ้วในสิ่งที่มันพูดออกมา ยิ่งมันเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวรับฟังคำสอนของมันต่อไป ในที่สุดชายชราก็เริ่มพูดเกี่ยวกับหมิงเยี่ยเถิง (ต้นเถาวัลย์ประกายจันทร์) และเมิ่งฮ่าวก็ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง เขาสามารถบอกได้ชัดเจนว่าชายชราผู้นี้มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพร มันกำลังทำความผิดพลาดขึ้น ถ้าผู้ฟังที่เป็นเด็กฝึกหัดปรุงยาจำข้อมูลที่ผิดๆ นี้ไป ก็จะทำให้เกิดเป็นปัญหาต่อพวกมันได้ในอนาคต พวกมันอาจจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างแสนสาหัส ก่อนที่จะเข้าใจได้ถึงความจริงเหล่านี้
“ต้นไม้ชนิดนี้เติบโตขึ้นในอากาศหนาวของเขตที่ครั้งหนึ่งเคยร้อนอย่างที่สุดมาก่อน มันถูกเรียกว่าตงมู่ (ต้นเหมันต์) เมื่อนำมันมาเผา ก็จะได้ยางที่ถือว่าเป็นของวิเศษอันล้ำค่า ซึ่งมีนามว่าตงหานเยี่ย! (ยางเหมันต์ยะเยือก)” ทันทีที่มันพูดจบ ก็มองเห็นเมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง ทำให้เป็นจำนวนกว่าสิบครั้งแล้วที่เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ท้ายที่สุดชายชราก็ไม่อาจจะอดทนได้อีกต่อไป ด้วยใบหน้าที่เย็นชา มันชี้นิ้วตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
“เจ้า! มีนามว่าอะไร!?” มันถาม ด้วยน้ำเสียงที่ดังกระหึ่มราวกับเป็นเสียงฟ้าร้อง เด็กฝึกหัดปรุงยาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น เพิ่งจะรับฟังคำสอนของมันด้วยความเคลิบเคลิ้ม ต่างก็ตกใจขึ้นในทันที พวกมันรีบหันหน้าไปตามนิ้วของมัน และมองเห็นเมิ่งฮ่าวในทันที
“เมิ่งฮ่าว หรือท่านจะเรียกข้าว่าฟางฮ่าวก็ได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“เจ้าไม่มีความเคารพต่อผู้อาวุโส! ในฐานะที่เป็นนักปรุงยา เหล่าฟูจะถามเจ้าที่เป็นเด็กฝึกหัดปรุงยาหนึ่งคำถาม มาดูกันว่าเจ้าจะกล้ายืนขึ้นและตอบได้หรือไม่!?” ชายชราหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา
เมิ่งฮ่าวไม่มีความตั้งใจที่จะโต้เถียงกับชายชราผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นมายืนด้วยท่าทางเรียบง่ายสบายๆ
“เจ้ารู้ความผิดของตัวเองแล้วหรือไม่?” ชายชราถามขึ้น “นี่ก็เย็นมากแล้ว เหล่าฟูขอถามเจ้า ทำไมเจ้าถึงสงสัยตลอดช่วงการสอนของข้า? ทำไมเจ้าถึงขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา? ถ้าเจ้าไม่พอใจที่จะรับฟังคำสอนของข้าในที่แห่งนี้ เจ้าก็แค่จากไป! ไม่มีใครบังคับให้เจ้าต้องมาอยู่ในที่แห่งนี้ มาคอยทำความรำคาญให้กับคนอื่นๆ!”
“เจ้ามีนามว่าฟางฮ่าว หือ? นับจากนี้ไป ที่แห่งนี้จะไม่ต้อนรับเจ้า!” มันแค่นเสียงอย่างเย็นชา ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ ดังนั้นการขมวดคิ้วอย่างต่อเนื่องของเมิ่งฮ่าว ได้ไปยั่วเย้าหรือแม้กระทั่งท้าทายมันขึ้นมา
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว และแสงอันเย็นชาก็มองเห็นได้อยู่ในดวงตา เขามองไปยังชายชราอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา ขณะที่หันหลังเพื่อจะจากไป ชายชราก็แค่นเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้ว? ถ้าเจ้าไม่อาจจะอธิบายได้ว่า ทำไมถึงได้ขมวดคิ้วเมื่อครู่นี้ ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปเอง! ไม่ใช่แค่เดินออกไปเช่นนี้!”
เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง และมองกลับไปยังชายชราอย่างช้าๆ จากนั้นก็เริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ครั้งแรกที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านพูดถึงหยางเซิงเยี่ย (ใบกำเนิดตะวัน) ถึงแม้ว่าความเข้มข้นตัวยาของใบ จะอยู่ที่ยามเที่ยงวันจริงๆ ก็ตามที แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว ถ้าใช้มันมาทำการปรุงยาเพียงอย่างเดียวในช่วงเวลานั้น พลังหยางที่อยู่ในใบจะเข้มข้นมากเกินไป ถ้าท่านปรุงยาโดยที่ไม่ใช้มันเป็นส่วนผสมหลักก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าท่านใช้มันเป็นส่วนผสมหลัก การปรุงยานั้นก็จะล้มเหลว! เวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวของใบนี้ อยู่ที่หลังเที่ยงวัน!”
เสียงเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง ขณะที่ก้าวเดินตรงไปยังชายชราหนึ่งก้าว
ใบหน้าชายชราหมองคล้ำลง และกำลังจะกล่าวอะไรออกมา แต่เมิ่งฮ่าวก็พูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ครั้งที่สองที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านพูดถึงลั่วตี้เกิน (รากบนพื้น) สิ่งที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดไม่ถูกต้อง ท่านบอกว่าลั่วตี้เกินประกอบด้วยกลิ่นอายแห่งความเน่าเปื่อย แต่ลั่วตี้เกินที่แท้จริง คือส่วนที่เชื่อมต่อกับลำต้นที่อยู่บนพื้นดิน ต้องอยู่ใต้ดินลึกลงไปครึ่งชุ่น และอีกครึ่งชุ่นต้องอยู่บนพื้นดิน! ถ้าท่านเก็บเกี่ยวไปผิดตำแหน่งของต้นไม้นี้ เม็ดยาที่ปรุงออกมาก็จะเป็นสีดำและเต็มไปด้วยพิษ มันจะเป็นอันตรายต่อใครก็ตามที่กินเข้าไป”
ขณะที่พูด เขาก็เดินตรงไปอีกหนึ่งก้าว และพลังก็พุ่งขึ้นมา
สีหน้าชายชราเปลี่ยนไป เมื่อพูดถึงหยางเซิงเยี่ย (ใบกำเนิดตะวัน) มันก็มีข้อโต้แย้งที่จะกล่าวตอบโต้ไปได้ แต่เมื่อพูดถึงลั่วตี้เกิน (รากบนพื้น) ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว จิตใจมันก็เริ่มเต้นรัว ทันใดนั้นมันก็จำได้ว่าเมื่อมันพยายามจะปรุงเม็ดยาด้วยลั่วตี้เกินเมื่อในอดีต ผลลัพธ์ก็ออกมาตรงตามที่เมิ่งฮ่าวอธิบายไว้ทุกประการ
“ครั้งที่สามที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านพูดถึงสวีหลิ่วจือ (กิ่งหลิวอ่อน) ครึ่งแรกที่ท่านกล่าวมาถูกต้องทั้งหมด ถ้านำใบของมันมาเก้าใบและกลั่นสกัดเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นใบสวีหลิ่วที่แท้จริง แต่ท่านก็พลาดบางสิ่งที่สำคัญมากไป มันจำเป็นที่จะต้องเก็บดินซึ่งอยู่ใต้ต้นนี้มาด้วย เพื่อนำมาเป็นส่วนผสม เหตุผลก็คือว่ามันเป็นดินที่อยู่ในบริเวณที่สวีหลิ่วจือเติบโตขึ้นมา เมื่อนำมาคลุกเคล้ารวมกับธาตุไม้และทอง ก็จะสกัดเอาส่วนที่เป็นไม้ออกไป เหลือไว้แต่ทองที่จะเกิดใหม่เป็นต้นไม้!”
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินออกไปอีกหนึ่งก้าว สีหน้าของชายชราก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เหงื่อเท่าเม็ดถั่วเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของมัน และต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้สึกตัวในทันที ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ ชายชราก็รับรู้ได้ถึงพลังที่ไร้รูปร่างของความหวาดกลัวเต็มอยู่ในจิตใจ
สิ่งที่สำคัญมากที่สุด เมื่อเมิ่งฮ่าวพูดถึงใบสวีหลิ่ว ก็ทำให้มันต้องตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ยินเรื่องเช่นนี้ แต่ทันใดนั้นก็ทำให้มันต้องคิดย้อนกลับไปในตอนที่มันได้ถูกเชิญให้ไปเยี่ยมนักปรุงยาคนหนึ่ง ซึ่งกำลังทำการปรุงยาด้วยใบสวีหลิ่ว คนผู้นั้นได้ใส่ดินลงไปเป็นส่วนผสมอยู่จริงๆ ในตอนนั้นมันรู้สึกงุนงงว่าทำไมนักปรุงยาผู้นั้นถึงได้ทำเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“ครั้งที่สี่ที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านพูดถึงอวิ๋นตุนเฉ่า (หญ้าจิบเมฆา) หญ้านั้นเติบโตขึ้นอยู่ในกลุ่มเมฆได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ท่านได้พูดไว้? มันช่างไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง! หญ้านั้นเติบโตขึ้นในลำธารของภูเขาที่ถูกห้อมล้อมด้วยปุยเมฆและกลุ่มหมอก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงถูกเรียกว่าอวิ๋นตุนเฉ่า! (หญ้าจิบเมฆา)”
ก้าวต่อไปที่เมิ่งฮ่าวเดินไป ทำให้ชายชรามีใบหน้าที่ซีดขาวไปโดยสิ้นเชิง อีกครั้งที่มันต้องถอยไปทางด้านหลังโดยไม่รู้สึกตัว ทันใดนั้นมันก็จำได้ว่าอวิ๋นตุนเฉ่าเป็นเหมือนกับที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะอธิบายมาจริงๆ สิ่งที่มันได้พูดไปก่อนหน้านี้ มันได้ตั้งใจที่จะพ่นเรื่องไร้สาระออกมาบ้าง คำอธิบายของมันจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงเลย นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้นไม้ชนิดนี้จริงๆ แล้วเป็นเช่นไร
“ครั้งที่ห้าที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านพูดเกี่ยวกับจิ๋วเหยี่ยนมู่ (ต้นเก้าตา)…”
“ครั้งที่หกที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านพูดเกี่ยวกับหลัวหลินเฉ่า (หญ้าไม้ตาข่าย)…”
“ครั้งที่เจ็ดที่ข้าขมวดคิ้ว…”
ทุกครั้งที่พูดขึ้น เมิ่งฮ่าวก็จะเดินตรงไปหนึ่งก้าว และใบหน้าของชายชราก็ยิ่งซึดขาวลงไปมากขึ้น ขณะที่มันล่าถอยไปทางด้านหลัง ในที่สุดสีหน้ามันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้เด็กฝึกหัดปรุงยาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง
“ครั้งที่สิบสองที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นเพราะว่าท่านได้บอกว่าหมิงเยี่ยเถิง (ต้นเถาวัลย์ประกายจันทร์) มีดอกที่บานออกมาเป็นสองสี สีหนึ่งมีพิษ อีกสีไม่ใช่ ท่านได้พูดเกี่ยวกับคุณสมบัติตัวยาของต้นไม้นี้ แต่ก็ไม่เคยอธิบายว่าทั้งสองสีนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร นั่นคือเหตุผลที่ข้าขมวดคิ้ว!” เมิ่งฮ่าวได้กล่าวอธิบายถึงความแตกต่างของแต่ละสีให้ฟัง และชายชราก็ถอยไปทางด้านหลังอีกครั้ง ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้ไปยืนอยู่บนแท่นเวที
“ครั้งสุดท้ายที่ข้าขมวดคิ้ว เป็นตอนที่ท่านได้พูดเกี่ยวกับตงหานเยี่ย (ยางเหมันต์ยะเยือก) ข้าไม่รู้ว่าท่านไปเรียนเรื่องต้นพืชสมุนไพรมาจากใคร แต่ถึงแม้ว่าตงหานเยี่ยจะเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ด้วยเปลวไฟจากการฝึกตนได้ก็ตามที แต่มันก็จะทำให้เกิดเป็นผลผลิตที่ด้อยกว่า ตงหานเยี่ยที่มีคุณภาพสูง จะต้องใช้แสงเวทสร้างมันขึ้นมา” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อขึ้น
เขากล่าวต่อไปด้วยสุ้มเสียงที่ดังก้องกังวาน “เต๋าแห่งการปรุงยาช่างกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด จำนวนต้นสมุนไพรคล้ายกับเป็นน้ำในทะเล ไม่มีใครสามารถจดจำได้ทั้งหมด และความผิดที่ท่านได้ทำไว้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจจะอภัยให้ไม่ได้ แต่…พวกเราอยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาของตระกูล เด็กฝึกหัดปรุงยาในที่แห่งนี้ ซึ่งรับฟังคำสั่งสอนของท่านคือสมาชิกของตระกูลรุ่นต่อมาทั้งหมด ถ้าท่านรู้เรื่องบางอย่างแล้วพูดออกมา ด้วยความที่ไม่ชัดเจนมากนัก ก็ไม่มีใครจะเยาะเย้ยท่านได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องพูดไปถึงสิ่งที่ไร้สาระ! ถ้าท่านทำเช่นนั้น เด็กฝึกหัดปรุงยาเหล่านี้ก็อาจจะต้องใช้ชีวิตของพวกมันมาสังเวย อันเนื่องมาจากความผิดที่พวกมันอาจจะทำขึ้นมาในวันข้างหน้า!”
คำพูดของเมิ่งฮ่าวไม่ค่อยจะมีมารยาทมากนัก เดิมทีเขาตั้งใจที่จะจากไปอย่างเรียบง่าย แต่ชายชราก็มาตอแยเขาด้วยความก้าวร้าว และด้วยเช่นนั้น เขาจึงได้บ่งบอกเหตุผลทั้งหมดออกมา ว่าทำไมถึงต้องขมวดคิ้วก่อนหน้านี้
ชายชราอ้าปากขึ้นเพื่อจะตอบโต้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่มันจะพูดออกมาได้ จิตใจมันหมุนคว้าง ขณะที่ตระหนักว่าจริงๆ แล้ว มันไม่รู้ว่าสิ่งที่มันได้พูดออกไปนั้นคืออะไร แต่มันก็ติดนิสัยการบรรยายสิ่งเหล่านั้น บนพื้นฐานของความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของตนเองเท่านั้น
ตอนนี้ใบหน้ามันซีดขาวราวคนตาย และกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่มีอะไรที่มันจะสามารถนำไปหักล้างกับคำวิจารณ์อันรุนแรงของเมิ่งฮ่าวได้ อันที่จริง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อมันมองไปยังเมิ่งฮ่าว ก็เกิดเป็นความรู้สึกที่หวาดกลัว เหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่มันยังเป็นเด็กฝึกหัดปรุงยา ซึ่งกำลังมองไปยังนักปรุงยาที่แท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เมิ่งฮ่าวได้กล่าวมานั้น ทำให้จิตใจมันต้องสั่นสะท้าน และจริงๆ แล้วก็เป็นคำตอบของหลายๆ คำถามที่มันเคยสงสัยมาก่อน
หลังจากความเงียบ เด็กฝึกหัดปรุงยาของตระกูลฟางนับร้อยที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็เริ่มพูดขึ้นมา
“ฟางฮ่าว…ข้าจำได้แล้ว! มันคือคนที่มีลำแสงสายโลหิตหนึ่งหมื่นจ้าง! สายโลหิตของมันช่างเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อนัก! มันก็คือฟางฮ่าว!!”
“เป็นมันจริงๆ! มันมาจากดาวหนานเทียน กล่าวกันว่ามันต้องพบเจอกับทัณฑ์ทรมานเจ็ดปีบางอย่าง ตอนนี้มันได้กลับมาแล้ว และไม่เพียงแต่จะมีสายโลหิตที่เข้มข้นเท่านั้น มันยังทำให้นักปรุงยาต้องเงียบไป เกี่ยวกับเรื่องพืชสมุนไพรอีกด้วย!”
“มันคือหลานปู่คนโตแห่งสายโลหิตหลัก! สายโลหิตของมันยังได้เข้มข้นมากกว่าเว่ยกงจื่อซะอีก คิดไม่ถึงว่ามันจะมาอยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาที่นี่ได้!”
“หลังจากที่ได้ยินมันพูดเกี่ยวกับต้นสมุนไพรที่แตกต่างกันทั้งหมดเหล่านั้น จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่ามีความเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม! เป็นไปได้หรือไม่ว่า ฟางฮ่าวก็เป็นนักปรุงยาด้วยเช่นกัน?”
เมิ่งฮ่าวกำลังจะจากไป แต่ชายชราที่กำลังสั่นสะท้านก็ก้าวเดินตรงมา ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าว
“ฟางตานซือ (นักปรุงยาฟาง) ท่านตำหนิได้ถูกต้อง เหล่าฟูมีนามว่าฟางฉวิน ทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของข้าเอง ขอให้ฟางตานซืออยู่ต่อสักเล็กน้อย เพื่อช่วยขจัดความโง่เขลาของข้าบ้าง ข้า…ข้ามีคำถามเกี่ยวกับต้นสมุนไพร ขอให้ฟางตานซือช่วยชี้แนะด้วย” ถึงแม้ดูเหมือนว่าฟางฉวินจะรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะกล่าวเช่นนี้ แต่มันก็ไม่ลังเลที่จะพูดออกมา
คำพูดของมันทำให้เกิดเป็นความตื่นเต้นขึ้นมาในทันที ในท่ามกลางเด็กฝึกหัดปรุงยาที่อยู่รอบๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเห็นว่าทักษะเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพรของเมิ่งฮ่าว สูงเกินกว่าของฟางฉวินมากนัก
ความคิดที่สามารถจะได้ยินคำบรรยายโดยนักปรุงยาเช่นนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง และถือว่าเป็นโชควาสนาอย่างแท้จริง
“ขอเชิญฟางตานซือกล่าวขึ้นสักเล็กน้อย เพื่อช่วยชี้แนะพวกเราบ้าง!!”
“ฟางตานซือ พวกเรามีคำถามมากมายเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพร! เห็นแก่หน้าพวกเราที่เป็นสหายร่วมตระกูลเดียวกัน ได้โปรดอยู่ต่อเพื่อช่วยขจัดความสงสัยบางอย่างให้กับพวกเราด้วย…?”
คนทั้งหมดเริ่มพูดขึ้น ประสานมือและโค้งตัวลง เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง และมองไปรอบๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า
ความตื่นเต้นพุ่งขึ้นมาจากกลุ่มฝูงชนที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น