ตอนที่ 949
ดินแดนบรรพบุรุษที่สุดแสนอันตราย
ไม่มีใครในโลกด้านนอก จะสามารถมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษนี้
ทั้งผู้เฒ่าสูงสุด ทั้งปู่และบิดาของฟางเว่ย ต่างก็ไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดๆ ได้ทั้งสิ้น ผู้เฒ่าสูงสุดไม่ได้โกหกในตอนที่มันได้อธิบายถึงเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ที่ด้านใน
ในตระกูลฟาง ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามปกติ ยกเว้นว่ากลุ่มคนสายโลหิตหลักกำลังมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ฟางซีมีกำลังใจที่ตกต่ำลงอย่างน่าเหลือเชื่อ และรู้สึกเป็นห่วงเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างมาก
แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาได้ทราบข่าวที่เมิ่งฮ่าว ได้มุ่งหน้าเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษเพื่อทำการฝึกฝนตนเอง และรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน อันที่จริงนักปรุงยาระดับแปดทั้งสิบแปดคน ยังได้ไปพูดคุยกับผู้เฒ่าสูงสุดด้วยตนเองอีกด้วย
จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้น และจบลงด้วยการที่นักปรุงยาระดับแปดต้องจากไปด้วยโทสะราวกับเป็นลมพายุ ไม่นานหลังจากนั้นแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาก็ได้ประกาศว่า พวกมันจะไม่ปรุงเม็ดยาให้กับตระกูลอีก จนกว่าเมิ่งฮ่าวจะกลับออกมาด้วยความปลอดภัย
คำพูดเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ตระกูลทั้งหมดต้องสั่นสะเทือน จากนั้นผู้เฒ่าสูงสุดได้ไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาด้วยตนเอง เพื่อขอเข้าพบผู้เฒ่าโอสถ แต่ผู้เฒ่าโอสถก็ยืนกรานปฏิเสธที่จะพบกับมัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ทำให้สายโลหิตของฟางเว่ยเริ่มตระหนักว่า เมิ่งฮ่าวได้หยั่งรากฝังลึกลงไปในตระกูล และได้สร้างระดับพลังเช่นนั้นขึ้นมาได้ จนแม้แต่พวกมันก็ยังต้องเกิดเป็นความหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาในจิตใจ
แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาคือป้อมปราการแห่งการพึ่งพาของเมิ่งฮ่าว ที่อยู่ภายในตระกูลอย่างแท้จริง!
เรื่องราวทั้งหมดนี้คือความผิดของฟางซิ่วซาน สิ่งเดียวที่มันสามารถจะทำได้ก็คือ พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะปิดปากผู้อาวุโสที่กำลังมีโทสะและไม่พอใจของสายโลหิตมัน อันเนื่องมาจากความเดือดร้อนที่พวกมันต้องสูญเสียการสนับสนุนจากแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาไป
อย่างไรก็ตามฟางซิ่วซานก็ยังคงมีความหวัง ตราบเท่าที่เมิ่งฮ่าวตกตายไป แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาก็จะไม่ต่อสู้กับตระกูลเพื่อซากศพซากหนึ่ง ถึงตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไข และบุตรชายของมัน ฟางเว่ย ก็จะกลายเป็นผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งของตระกูลขึ้นอีกครั้ง และในที่สุดสายโลหิตของมันก็จะสามารถสะกดข่มสายโลหิตหลักในตอนนี้ได้!
อย่างไรก็ตาม ความหวังของมัน…ได้หลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
ตอนนี้ฟางเว่ยได้กักตัวเองเพื่อนั่งเข้าฌาณตามลำพังอยู่ในถ้ำลับของมัน ฟางซิ่วซานนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่มองไปยังแก้วผลึกที่มันถืออยู่ในมือ
ภายในแก้วผลึกคือภาพของห้องโถงเก็บแผ่นหยกชีวิตของตระกูลฟาง แผ่นหยกนับไม่ถ้วนเป็นตัวแทนชีวิตของกลุ่มคนในตระกูลฟางที่ถูกจัดวางอยู่ในห้องโถง
ถ้าคนในตระกูลตายไป แผ่นหยกก็จะแตกกระจาย เพื่อแจ้งให้ตระกูลทราบในทันที ซึ่งจากนั้นก็จะมีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ ฟางซิ่วซานกำลังมองไปยังแผ่นหยกของเมิ่งฮ่าว ซึ่งได้วางอยู่ในท่ามกลางแผ่นหยกอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวกลับเข้ามาในตระกูล และได้รับเหรียญคำสั่งไป เขาต้องทิ้งแผ่นหยกชีวิตไว้ในห้องโถงที่เก็บแผ่นหยกชีวิตด้วยเช่นกัน ตอนนี้แผ่นหยกนั้นกำลังสาดประกายเจิดจ้าขึ้น และไม่มีรอยแตกร้าวขึ้นมาแม้แต่น้อยนิด
บนชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป เป็นแผ่นหยกชีวิตของกลุ่มคนในตระกูลที่อยู่ในอาณาจักรโบราณทั้งหมด เมื่อครู่นี้หนึ่งในแผ่นหยกเหล่านั้นเกิดเป็นเสียงแตกร้าวขึ้นและจากนั้นก็แตกกระจายไป ทำให้เกิดเป็นความสนใจขึ้นมาอย่างมากมายในทันที และการค้นหาความจริงก็เริ่มขึ้น
การแตกกระจายไปของแผ่นหยก ทำให้จิตใจของฟางซิ่วเฟิงเริ่มเต้นรัว
มันได้จ่ายออกไปด้วยราคาที่สูงลิ่ว เพื่อจัดเตรียมให้ผู้อาวุโสอาณาจักรโบราณเก้าคน เข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษ และทำการสังหารเมิ่งฮ่าว
“เกิดอะไรขึ้นที่นั่น!?!?” มันครุ่นคิดพร้อมกับหอบหายใจออกมา “ผู้อาวุโสอาณาจักรโบราณ…ตายไปจริงๆ? ตายไปได้อย่างไรกัน!?!?”
“ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ เจ้าลูกสุนัขบัดซบนั่นยังคงมีชีวิตอยู่!” มันไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ที่ด้านในของดินแดนบรรพบุรุษ
ตระกูลเริ่มทำการตรวจสอบอย่างละเอียด ถึงการตายไปของคนในตระกูลที่อยู่ในอาณาจักรโบราณ โชคดีที่ฟางซิ่วซานได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า สำหรับผู้แข็งแกร่งทั้งเก้าที่เข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษ ทำให้ดูเหมือนว่าพวกมันได้ออกไปจากดาวตงเซิ่งเพื่อไปปฏิบัติภารกิจของตระกูล
อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นคงจะถ่วงเวลาไปได้ไม่นานนัก การตรวจสอบอย่างเข้มงวดของตระกูลจะทำให้ร่องรอยปรากฏขึ้นในที่สุด
“มันอาจจะตายไปเพราะสถานการณ์ที่อันตรายของดินแดนบรรพบุรุษก็เป็นได้” ฟางซิ่วซานคิด “คงไม่มีอะไรนอกจากเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น…อีกไม่นานเจ้าลูกสุนัขนั่นก็คงจะตายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ!” รังสีสังหารแวบขึ้นมาในดวงตา และมันก็แทบจะทนรอไม่ไหวที่จะได้เห็นแผ่นหยกชีวิตของเมิ่งฮ่าวแตกกระจายไป
“เมื่อไหร่ที่เจ้าลูกสุนัขนั่นตายไป และเว่ยเอ๋อร์ทะลวงผ่านกลายเป็นเซียนแท้ เมื่อนั้น…ก็ไม่สำคัญว่าผู้คนจะค้นพบความจริงหรือไม่ เมื่อถึงตอนนั้นมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป การตายไปของฟางฮ่าวก็จะเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายสำหรับตระกูล!”
ฟางซิ่วซานสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย
เวลาเดียวกันนั้น ในดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลฟาง บุรุษหนุ่มในชุดดำกำลังก่นด่าสาปแช่งฟางซิ่วซานด้วยความไม่พอใจ ขณะที่มันหลบหนีจากไปด้วยความหวาดกลัว
“มันช่างไร้ยางอายนัก! ช่างหลอกลวงปลิ้นปล้นเป็นอย่างยิ่ง! สองเดือน? บัดซบ! ยังเหลืออีกตั้งสองเดือน…ก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะเปิดออกและข้าก็สามารถจะออกไปได้ ข้า…ข้าควรจะทำเช่นไรดี?” ใบหน้าบุรุษหนุ่มซีดขาวขณะที่หลบหนีจากไป ที่ด้านหลังของมันเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นมา เสียดแทงเข้าไปในหูของมัน เข้าไปในจิตใจของมัน
ที่ห่างไกลออกไปด้านหลัง รูปปั้นของเมิ่งฮ่าวถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ ขณะที่มันพุ่งไล่ตามบุรุษหนุ่มไป เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านบนสุด และขณะที่เข้ามาใกล้ ดวงตาเขาก็แวบรังสีสังหารขึ้นมา
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองหดแคบลง หนึ่งหมื่นจ้าง, แปดพันจ้าง, ห้าพันจ้าง, สามพันจ้าง…
ในตอนนี้เองที่บุรุษหนุ่มชุดดำเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้น พร้อมที่จะทุ่มออกมาจนสุดตัว มันหยุดลงหมุนตัวกลับไป ขยับมือขึ้นร่ายเวท ทำให้ตะเกียงวิญญาณเก้าดวงหมุนวนอย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
มันกำลังโจมตีไปด้วยตะเกียงวิญญาณ ซึ่งประกอบไปด้วยพลังชีวิตของตนเอง จากที่เห็นนี้ก็สามารถบอกได้ว่ามันได้บ้าคลั่งและหมดหวังถึงเพียงใด
เมื่อตะเกียงวิญญาณที่แปดดวงสว่างและหนึ่งดวงดับไป ใกล้เข้ามายังเมิ่งฮ่าว รูปปั้นก็ยกกระบี่ขนาดใหญ่นั้นขึ้นมา และกลิ่นอายแห่งผู้ยิ่งใหญ่เสมือนเต๋าก็ระเบิดออกไปในทันที
“อย่าได้สังหารมัน” เมิ่งฮ่าวพูดขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้นนักรบศิลาก็เปลี่ยนกระบี่จากมือขวาไปที่มือซ้ายของมัน จากนั้นก็ยื่นมือขวาออกไปคว้าจับบุรุษหนุ่มชุดดำนั้นไว้
ทันใดนั้นทุกสรรพสิ่งในบริเวณนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวเหมือนกับก่อนหน้านี้ บุรุษหนุ่มชุดดำถูกตรึงแน่นไว้ไม่อาจจะขยับเขยื้อนร่างกายได้ สติของมันเริ่มเลือนลางลงไป
พลังที่พุ่งออกมานั้น เป็นสิ่งที่ยากจะต่อต้านหรือต่อสู้กลับไปได้ และดูเหมือนว่าจะปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า ที่เบื้องหน้าของนักรบศิลา บุรุษชุดดำที่มีตะเกียงวิญญาณซึ่งดับไปหนึ่งดวง ไม่ต่างอะไรไปจากมดแมลง
เมื่อมืออันใหญ่โตของนักรบศิลายื่นไปยังตะเกียงทั้งเก้าดวงนั้น ก็แทบจะราวกับว่า มีพื้นที่ราบอื่นปรากฏขึ้น ได้พุ่งตรงมายังตะเกียงทั้งเก้าและตรงมายังบุรุษหนุ่มชุดดำที่ประหลาดใจและสิ้นหวัง โอบล้อมไปรอบๆ ตัวมันในชั่วพริบตา ขณะที่มือนั้นจับแน่นขึ้น เสียงแตกร้าวก็ได้ยินมา เมื่อกระดูกหลายท่อนของมันถูกบดขยี้ไป
หลังจากที่คว้าจับและดึงมันกลับมา โลกแห่งนั้นก็กลับเป็นปกติเหมือนเดิม อากาศเริ่มเคลื่อนไหวไปมาอีกครั้ง และเสียงแผดร้องของบุรุษชุดดำก็ดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากมัน และความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็กระจายออกไปทั่วร่าง มันติดอยู่ในมือของนักรบศิลาไปโดยสิ้นเชิง พื้นฐานฝึกตนของมันกระจัดกระจายไป และอ่อนแอลงเหมือนกับคนธรรมดา ร่างกายมันสั่นสะท้านไปมา ความสิ้นหวังเต็มอยู่ในดวงตา ตามมาด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย
“ฟางซิ่วซาน! ถึงข้าจะกลายเป็นภูติผี ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าอย่างแน่นอน!” มันแผดร้องออกมา ในตอนนี้มันรู้สึกเกลียดชังเมิ่งฮ่าว แต่ก็เกลียดชังฟางซิ่วซานมากยิ่งกว่า
“และเจ้า, ฟางฮ่าว ถ้าไม่เป็นเพราะว่าผู้พิทักษ์เต๋าของตระกูลแล้วละก็ ข้าคงจะสังหารเจ้า…ได้อย่างง่ายดายราวกับการเชือดไก่ให้ตายไป!” มันร้องตะโกนขึ้นด้วยโทสะ โลหิตไหลซึมออกมาจากปาก และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความเกลียดชังต่อเมิ่งฮ่าว
“ในตอนนี้” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น “ข้าสามารถบดขยี้เจ้าให้ตายไปได้ง่ายยิ่งกว่าบดขยี้ไก่ซะอีก”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น ขยับร่ายเวทแปลกๆ ออกมาด้วยมือขวา ทันใดนั้น สัญลักษณ์เวทจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นอยู่บนมือ
สัญลักษณ์เวทเหล่านั้นส่องประกายริบหรี่ บ้างก็เป็นสีขาว บ้างก็เป็นสีดำ แทบจะดูคล้ายกับว่ามือของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีดำและสีขาวไป
กลิ่นอายแปลกๆ ได้ปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ ตัวเขา ดูเหมือนจะก่อตัวเป็นกระแสแห่งปราณ ซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งมือ และจากนั้นก็หลอมรวมเข้ากับสัญลักษณ์เวทเหล่านั้น ในที่สุดทุกสรรพสิ่งในบริเวณนั้นก็กลายเป็นสีดำและสีขาวไป
มือของเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่มีใครจะสามารถบอกได้ ไม่แม้แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดที่อยู่สูงขึ้นไปในอากาศ ทั้งหมดที่มันรับรู้ได้คือสัญลักษณ์เวทสีดำและขาวบนมือขวาของเมิ่งฮ่าว ซึ่งประกอบไปด้วยกลิ่นอายของแก่นแท้บางอย่าง
นี่คือ…เวทผนึกอสูรรุ่นที่หก!
เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองมันจากกระบี่ที่อยู่ในเศษซากเซียน ซึ่งประกอบไปด้วยกลิ่นอายของเวทรุ่นหก เขาทำการครุ่นคิดใคร่ครวญหาความรู้แจ้งจากเวทนี้อย่างต่อเนื่อง และในตอนนี้ก็พยายามจะใช้มันออกมา อย่างไรก็ตามเวทนี้ยากที่จะฝึกฝนได้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ แต่ก็ไม่อาจจะใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่เขาขาดไปมากที่สุดก็คือเป้าหมายที่เหมาะสมในการฝึกฝน และในตอนนี้ เขาเพิ่งจะได้เป้าหมายที่มีชีวิตอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่ฉับพลันนั้นมือขวาก็เสถียรมั่นคงขึ้น และเขาก็ชี้ออกไปยังบุรุษชุดดำ ทันใดนั้นสัญลักษณ์เวทสีดำและขาวก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน และพุ่งตรงไปที่มันในทันที
ดวงตาของมันเบิกกว้าง แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านได้ สัญลักษณ์เวทแวบขึ้น ขณะที่กระแทกเข้าไปที่หน้าผากของมัน และจากนั้นก็เริ่มซึมลงไปในร่างกายมัน
เมิ่งฮ่าวเฝ้ามองดูอย่างใกล้ชิด ในชั่วสองสามอึดใจใบหน้าของบุรุษชุดดำก็บิดเบี้ยวไปมา เส้นเลือดโผล่ขึ้นมาบนหน้าผาก จากนั้นมันก็ส่งเสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจออกมา
เสียงแผดร้องนั้นทำให้แม้แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดก็ยังต้องสะดุ้งขึ้น
ความเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ กระจายไปทั่วร่างของบุรุษชุดดำ มันรู้สึกราวกับว่าวิญญาณกำลังถูกกลืนกินไป และร่างกายกำลังถูกฉีกกระชากออกไป ในที่สุดเสียงแผดร้องของมันก็กลายเป็นเสียงที่คล้ายกับเป็นเสียงแผดร้องของสัตว์ป่า
เพียงแค่ห้าอึดใจ ร่างกายของบุรุษชุดดำ ทันใดนั้นก็ระเบิดขึ้นกลายเป็นกลุ่มหมอกของเลือดเนื้อ มันตกตายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ
สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดอ้าปากค้าง ขณะที่สายตาอันเคร่งขรึมของมันไปหยุดนิ่งอยู่บนร่างเมิ่งฮ่าว ดวงตาค่อยๆ เริ่มเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ช่างโหดเหี้ยมนัก” มันคิด ในความคิดของมัน นิสัยของเมิ่งฮ่าวค่อนข้างจะเหมือนกับมันเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว และจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“ล้มเหลวอีกแล้ว บางทีข้าอาจจะใช้มันได้ไม่ถูกต้อง” เขาคิดย้อนกลับไปยังวิธีที่ผู้ผนึกอสูรรุ่นหกใช้เวทเป็นตายนี้ และคนทั้งหมดที่ถูกผนึกไว้ จู่ๆ ก็ถูกควบคุมความเป็นตายของพวกมันไว้ คนเหล่านั้น…ได้คล้ายกับเป็นหุ่นเชิดที่อยู่ในมือของผู้ผนึกอสูรรุ่นหก
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่บุรุษชุดดำได้ตายไป ฟางซิ่วซานกำลังนั่งอยู่ในคฤหาสน์โบราณของตระกูลฟาง ใบหน้ามันซีดขาวเมื่อมองเห็น…แผ่นหยกชีวิตได้แตกกระจายไปอีกหนึ่งชิ้น
“เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้! ดินแดนบรรพบุรุษช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!!” ฟางซิ่วซานกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และดวงตาของมันก็กลายเป็นสีแดงก่ำไป