Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 965

ตอนที่ 965

ดินแดนบรรพบุรุษเปิดออก!

ชีพจรเซียนทั้งแปดจุด ทำให้เกิดเป็นพลังอันเข้มข้นพุ่งกระจายไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว ปราณเซียนไหลเวียนไปมา และกระจายแรงกดดันอันรุนแรงออกมา ดวงตาสาดกระกายด้วยแสงเซียน ราวกับเป็นตะเกียงที่กำลังลุกไหม้อยู่สองดวง ซึ่งได้จุดประกายแห่งชีวิตขึ้นมาอยู่ภายในสุสาน

ตอนนี้สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว ทุกสรรพสิ่งดูแตกต่างกันออกไป เขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม แม้แต่เศษฝุ่นเพียงน้อยนิด ก็สามารถจะมองเห็นไปทั่วทั้งโครงสร้างที่ประกอบกันขึ้นมาของมันได้

“ความรู้สึกนี้…ช่างดียิ่ง” เมิ่งฮ่าวพึมพำ แปดจุดชีพจรเซียนคือขีดจำกัดของเขา ไม่มีปราณเซียนหลงเหลืออยู่อีกในบริเวณนั้น ทำให้ยากที่จะทำการเพิ่มให้มากไปกว่านี้ได้

กลุ่มหมอกมังกรได้หายไปโดยสิ้นเชิง ถูกเมิ่งฮ่าวดูดซับเข้าไปจนหมดสิ้น ตอนนี้สุสานของปรมาจารย์รุ่นแรกว่างเปล่าและเงียบสงบ

เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ และเสียงแตกร้าวก็ได้ยินมา ขณะที่พลังอันเข้มข้นได้พุ่งขึ้นมาอยู่ภายในร่าง

“ทันทีที่ข้าออกไปจากดินแดนบรรพบุรุษนี้ ทัณฑ์เซียนของข้าก็จะปรากฏขึ้น!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ขณะที่ทำให้พลังระเบิดออกมาอีกครั้ง เพื่อทดสอบว่าเขาได้ครอบครองโชควาสนาอย่างมากมายเท่าใดกัน

จากนั้นในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ เขาเห็นกลุ่มหมอกที่อยู่ในกระถางปรุงยาได้จางหายไปเรียบร้อยแล้ว อย่างน่าตกใจยิ่ง ตอนนี้ผลเนี่ยผานซึ่งตั้งอยู่บนจานหยก กำลังเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา!

มันดูโปร่งใสคล้ายกับแก้วผลึก และดูสวยงามจนยากที่จะเปรียบได้

กลิ่นหอมที่ประกอบด้วยเต๋าอันยิ่งใหญ่เริ่มกระจายออกมา เห็นได้ชัดว่าผลเนี่ยผานนี้ได้ฟื้นฟูกลับคืนมาโดยสมบูรณ์แล้วในตอนนี้

เมิ่งฮ่าวเดินไปยังกระถางปรุงยา และมองไปยังผลเนี่ยผาน ดวงตาสาดประกายขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วขณะก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว หยิบเอาผลเนี่ยผานขึ้นมาถืออยู่ที่เบื้องหน้า

“ผลเนี่ยผาน…ของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก” เขามองไปยังผลเนี่ยผานและตระหนักว่าในตอนนี้มีอยู่สองทางเลือก

“ข้าเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน ก็เพื่อผลเนี่ยผานนี้ แล้วจะลังเลไปทำไม?” เมิ่งฮ่าวหัวเราะให้กับตนเองด้วยเสียงแผ่วเบา ในที่สุดก็หันหน้าไปยังซากศพของปรมาจารย์รุ่นแรก ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นโดยไม่ลังเลอีกต่อไป เมื่อเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องลังเลใดๆ อีก

อันที่จริงผลเนี่ยผานที่ถูกฟื้นฟูกลับคืนมาด้วยการดูดซับหยดของเหลวเจ็ดสีเข้าไปนั้น ไม่ได้เป็นที่กังวลของเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อย เขายกมันขึ้นมาและกดลงไปอย่างแรงตรงหน้าผาก

ถึงเวลาที่ต้องลองเสี่ยงดวงดูแล้ว!

ผลเนี่ยผานไม่ใช้วิธีการกินเหมือนกับผลไม้ทั่วไป พวกมันจะถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายโดยตรง

ทันทีที่มันแตะสัมผัสไปที่หน้าผากของเมิ่งฮ่าว เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในร่างกาย และรู้สึกราวกับว่ากำลังจะระเบิดออกไป มันหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว และหายไปอย่างไร้ร่องรอย จู่ๆ เขาก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง

พลังขนาดใหญ่ได้ระเบิดออกมาอยู่ภายในร่าง กระจายเต็มไปทั่วทั้งร่างกายและหมุนวนไปมาเป็นวงจรที่ต่อเนื่อง มันไปพบกับบริเวณที่ถูกปิดผนึกไว้ในร่างเมิ่งฮ่าวมากมายด้วยความรวดเร็ว เป็นบริเวณที่แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่เคยรู้มาก่อน และระเบิดพวกมันให้เปิดออก!

โลหิตได้ไหลซึมออกมาจากทวารทั้งเจ็ด (หู, ตา, จมูก, ปาก) และเขาก็สั่นไปทั้งตัว รูขุมขนได้เปิดขยายออกไปทั่วร่าง

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงได้กระจายออกไปยังแขนขาทั้งสี่ แต่ดวงตาเขาก็ยังคงสาดประกายด้วยความเจิดจ้าขึ้น

เมิ่งฮ่าวไม่ได้รู้สึกถึงวิกฤตอันตรายใดๆ แต่รับรู้ได้ถึงพลังที่พุ่งกระจายออกไปทั่วร่าง ทำให้เขามีความแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้!

ภาพแห่งธรรมของเขาปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านหลัง และจากนั้นภาพแห่งธรรมภาพที่สองก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างน่าตกใจยิ่ง!

มันดูแตกต่างไปจากภาพแห่งธรรมของเมิ่งฮ่าว ถึงแม้ว่าจะดูคล้ายคลึงกันก็ตามที ภาพแห่งธรรมที่สองนี้…จริงๆ แล้วก็เป็นของปรมาจารย์รุ่นแรก!

ขณะที่พลังอันเข้มข้นได้พุ่งขึ้นมาอยู่ในร่างเมิ่งฮ่าวมากขึ้น เหงื่อก็เริ่มไหลออกมาอย่างมากมาย แต่ดวงตาก็ยังคงสาดประกายเจิดจ้าขึ้น

“นี่คือ…สิ่งที่เป็นความรู้สึกเมื่อใช้ผลเนี่ยผาน!”

“ข้าสามารถจะก่อตัวเป็นภาพแห่งธรรมที่สองขึ้นมาได้ และพื้นฐานฝึกตนของข้าก็ระเบิดขึ้นมาด้วยพลังที่มากขึ้นกว่าเดิม! แต่…นอกเหนือจากภาพแห่งธรรมนี้แล้ว ก็ยังมีส่วนที่สำคัญไปกว่านั้นอีก…มันสามารถเพิ่มพลังของชีพจรเซียนได้เป็นสองเท่าตัว!”

“ตอนนี้ข้ามีแปดชีพจรเซียน หลังจากที่ดูดซับผลเนี่ยผาน ข้าก็สามารถใช้พลังที่เทียบเท่ากับสิบหกชีพจรเซียน!”

“นี่คือประโยชน์ที่แท้จริงของผลเนี่ยผาน!” เส้นเลือดได้โผล่ขึ้นมาบนหน้าผากเมิ่งฮ่าว ตอนนี้เขามีเพียงแค่แปดชีพจรเซียน แต่พลังที่เขาสามารถจะใช้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!

“เหตุผลที่ก่อนหน้านี้ฟางเว่ยไม่อาจจะใช้พลังนั้นได้ ก็น่าจะเป็นเพราะว่ามันต้องอยู่ในอาณาจักรเซียนก่อน!”

“ถ้าข้าเปิดชีพจรเซียนได้หนึ่งร้อยจุด และมีผลเนี่ยผานนี้ด้วย ข้าก็สามารถจะปลดปล่อยพลังของชีพจรเซียนออกมาได้สองร้อยจุด!”

“สำนักและตระกูลทั้งหลายต่างก็มีเวทลับเช่นเดียวกัน แต่เมื่อคิดว่าผลเนี่ยผานเป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็น จึงสมเหตุสมผลที่จะสรุปว่าเวทลับเหล่านั้นไม่อาจจะเทียบได้กับผลเนี่ยผานนี้!”

“มิเช่นนั้นตระกูลฟางก็คงไม่อาจจะรักษาตำแหน่ง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผลเนี่ยผานไม่ได้ปรากฏขึ้น!”

เมิ่งฮ่าวสั่นไปทั้งร่างขณะที่พลังได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็รู้สึกได้ด้วยเช่นกันว่า เขาไม่อาจจะอยู่ในสถานะการหลอมรวมเช่นนี้ได้นานนัก เขาเงยหน้าขึ้นและพยายามยื่นมือขวาตรงไปยังแสงลูกทรงกลมที่โคจรหมุนวนอยู่รอบๆ ร่างของปรมาจารย์รุ่นแรก

ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำทั้งหมดก็คือคว้าจับมันไว้ และลูกทรงกลมก็เริ่มสั่นสะท้าน เสียงกระหึ่มได้ยินมา และแสงขนาดใหญ่จำนวนมากก็ระเบิดออกไปในทั่วทุกทิศทาง หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะสิ่งที่ดูเหมือนว่าแทบจะลังเลอยู่ จู่ๆ ก็กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว กลายเป็นดวงดาวก้อนศิลาตกลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา

ดวงดาวศิลานั้นส่องแสงระยิบระยับออกมา ดูสวยงามอย่างถึงที่สุด

เมิ่งฮ่าวมองไปยังดวงดาวศิลานั้นชั่วครู่ จากนั้นก็กำมือจับมันไว้แน่น

ทันใดนั้นระลอกคลื่นก็เริ่มกระจายออกมาจากดวงดาวศิลา ไหลเข้าไปในจิตใจเมิ่งฮ่าวและกลายเป็นเวทที่ถูกประทับเข้าไปในความทรงจำ ซึ่งประกอบไปด้วยคำพูดอยู่มากมาย

เวทความทรงจำนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็น…หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว!

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมถึงไม่เคยมีใครจะเรียนรู้หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวได้มาก่อน! มันมีการเชื่อมต่อกับสุสานแห่งนี้ และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ…ในแต่ละครั้งจะมีแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่จะได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับเวทนี้! เมื่อไหร่ที่มรดกได้ถูกส่งต่อไป ก็จะไม่มีใครสามารถเรียนรู้มันได้อีก จนกว่าบุคคลแรกได้ตายไปก่อน!”

“นั่นเป็นเพราะว่าหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวได้เป็นทั้งเวทแห่งเต๋า…และไม่ใช่เวทแห่งเต๋าด้วยเช่นกัน!”

“มันยังเป็นของวิเศษ…และไม่ใช่ของวิเศษอีกด้วย!”

“มันมีลักษณะเป็นของวิเศษ แต่หลังจากที่ทำการหลอมรวมเข้าไป ก็สามารถจะกระจาย…เจตจำนงแห่งความเป็นนิรันดร์ออกมาได้ชั่วคราว!” เมื่อได้รับความรู้แจ้งนี้ เขาก็บีบมือลงไปยังดวงดาวศิลาอีกครั้ง ทำให้มันหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำที่ปกคลุมไปทั่วฝ่ามือ จากนั้นก็กระจายออกไปทั่วทั้งร่างกาย และไหลซึมเข้าไปในร่างเขา ไม่นานต่อมา จุดแสงมากมายของดวงดาวก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาด้านซ้ายของเขาอย่างน่าตกใจยิ่ง!

จุดแสงของดวงดาวดูแปลกเป็นอย่างมาก ขณะที่พวกมันกระพริบไปมา ก็แทบจะดูเหมือนว่าดวงตาข้างซ้ายของเมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ระลอกคลื่นอันน่าตกใจได้ปรากฏขึ้นขณะที่เขามองออกไป ใครก็ตามที่มาสบตากับเขาก็จะต้องรู้สึกหวาดกลัวขึ้นอย่างแน่นอน

หลังจากที่ดูดซับดวงดาวศิลาเข้าไป ร่างกายเมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง และดวงตาก็เบิกกว้าง เส้นเลือดได้โผล่ขึ้นมาบนหน้าผากมากขึ้น จนดูเหมือนจะระเบิดออกไปได้ทุกเมื่อ เสียงกระหึ่มได้กระจายออกมาจากภายในร่าง และผลเนี่ยผานที่เขาได้ดูดซับเข้าไป ก็เริ่มมองเห็นได้จากบนหน้าผากอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันไม่อาจจะคงอยู่ภายในร่างเขาได้นานมากนัก

แต่ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ผลเนี่ยผานกำลังกระจายร่องรอยแห่งเต๋าออกมา

เป็นเต๋าที่ดูเหมือนจะประกอบไปด้วยท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอย่างไร้ขอบเขต เป็นทั้งวิชาเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์มากมายนับไม่ถ้วน อันที่จริงก็ยังมีสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเมิ่งฮ่าวเองอีกด้วย ราวกับว่า…พวกมันเป็นความทรงจำของใครบางคน เป็นส่วนที่เหลือของใครบางคนที่เคยคงอยู่มาก่อนเมื่อในอดีต!

ดูเก่าแก่โบราณเหมือนกับอยู่ในยุคสมัยโบราณที่ห่างไกลออกไป

ภาพที่ปรากฏขึ้นในจิตใจเมิ่งฮ่าวเป็นภาพของบุรุษวัยกลางคน มีเส้นผมสีขาวที่ยาวพลิ้วไปมาอยู่รอบๆ ตัว มีผลเนี่ยผานสี่ลูกหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ร่าง แต่ละลูกกระจายกลิ่นอายที่ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องรู้สึกหวาดกลัว และต้องเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละลูกแข็งแกร่งเพียงพอที่จะแยกสวรรค์หั่นปฐพีให้ขาดออกจากกันได้

บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นท่านปรมาจารย์รุ่นแรก!

ดวงตาท่านเต็มไปด้วยแสงแห่งความมุ่งมั่น ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยแสงดาว และตอนนี้กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังระดับที่ไร้ผู้ต่อต้าน

เมิ่งฮ่าวอยากจะมองเห็นให้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่อาจจะฝืนไปได้อีก ใบหน้าเขาซีดขาวขณะที่ผลเนี่ยผานได้ลอยออกมาจากหน้าผากด้วยเจตจำนงของมันเอง ขณะที่มันลอยไปอยู่บนฝ่ามือของเขา โลหิตก็ไหลซึมออกมาจากปาก และเขาก็นั่งลงขัดสมาธิเพื่อเข้าฌาณ หลังจากที่พักฟื้นได้ชั่วขณะ ก็ลืมตาขึ้นมาและร่างกายก็ฟื้นคืนกลับมาจนถึงจุดสูงสุดของตัวเองอีกครั้ง

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สงบจิตใจให้เยือกเย็นลง จากนั้นก็เริ่มคิดคำนวนเวลา

“สามสิบลมหายใจ!”

“เมื่อคิดว่าผลเนี่ยผานของท่านปรมาจารย์รุ่นแรกนี้ไม่ได้เป็นของข้า และจากระดับพื้นฐานฝึกตนของข้าในตอนนี้ ทำให้สามารถจะหลอมรวมเข้าไปร่างได้แค่สามสิบลมหายใจเท่านั้น! ถ้าพวกมันเป็นผลเนี่ยผานของข้าเอง ข้าก็สามารถจะหลอมรวมกับพวกมัน…ได้ตลอดไป!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ

“ภาพที่ท่านปรมาจารย์รุ่นแรกกำลังมองไปคือที่แห่งใดกัน นี่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่คงอยู่ภายในผลเนี่ยผานอย่างแน่นอน”

“บางที…อาจจะมีวิธีการใช้ผลเนี่ยผานได้มากกว่านี้!” เมื่อเมิ่งฮ่าวคิดย้อนกลับไปยังภาพที่เห็น เขาจำได้ว่าปรมาจารย์รุ่นแรกถูกห้อมล้อมด้วยผลเนี่ยผานสี่ลูก ซึ่งแต่ละลูกก็ได้กระจายกลิ่นอายที่ทำให้แม้แต่สวรรค์ก็ยังต้องสั่นสะท้าน

“ฟางเว่ย…” หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็มองขึ้นไป และดวงตาก็แวบแสงอันดุร้ายขึ้นมา ในที่สุดเขาก็หันร่างไปหาปรมาจารย์รุ่นแรกและโค้งตัวลงไปจนต่ำ จากนั้นก็โบกสะบัดมือขวา ทำให้ประตูหลักของวิหารโลกันต์เปิดออก จากนั้นเขาก็ก้าวเดินออกไป

“ถึงเวลาที่จะต้องออกไปจากที่นี่แล้ว!”

ที่ด้านนอกของอุโมงค์หมอกสวรรค์ เมิ่งฮ่าวหยิบตะเกียงสัมฤทธิ์ออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นกลุ่มหมอกที่ปกคลุมอยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็เริ่มสั่นกระเพื่อมไปมา จากนั้นก็ถอยร่นออกไป อีกครั้งที่เส้นทางได้เปิดออกที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว

เขาเดินออกไปด้วยความรวดเร็วมากที่สุดกว่าตอนที่เข้ามา ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นก่อนที่เขาจะบินออกมาจากอุโมงค์หมอกสวรรค์ ขณะที่ทำเช่นนั้นก็มองไม่เห็นร่องรอยของฟางเต้าหงและฟางหลินเหอแล้ว

เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ว่ากระแสน้ำวนขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นในบริเวณที่อยู่ห่างไกลออกไปของดินแดนบรรพบุรุษ

“ทางออกได้เปิดขึ้นแล้ว!” เขาคิด มองออกไปยังที่ห่างไกล ไม่รู้ว่ามันได้เปิดออกมานานเท่าใดแล้ว เห็นได้ชัดว่าฟางเต้าหงและคนอื่นๆ ทั้งหมดได้จากไปเรียบร้อยแล้ว

มีแต่นักรบศิลาเท่านั้นที่ยังคงเฝ้ารอคอยเมิ่งฮ่าวอยู่ ในทันทีที่เขาโผล่ออกมา ดวงตามันก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังมัน สายตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจที่จะต้องแยกจากกัน

ก่อนหน้านี้เขาได้รับรู้ถึงร่องร่อยต่างๆ ที่ทำให้ได้ข้อสรุปที่แน่นอนออกมา ตอนนี้ด้วยพื้นฐานฝึกตนที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้เขาสามารถจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม

ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่นักรบศิลาได้เฝ้ารอคอยเมิ่งฮ่าวมา มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น มันได้ถูกหลอมรวมเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษนี้ ดังนั้นจึงไม่อาจจะออกไปจากที่แห่งนี้ตราบชั่วนิรันดร์ ด้วยพลังที่อยู่ในจุดสูงสุดของมันได้

อย่างไรก็ตาม ถ้ามันโผล่ออกไปที่โลกด้านนอกเป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้กลับเข้ามา มันก็จะเริ่มเสื่อมโทรมผุพังลงไป และจะมีอายุหลายหมื่นปีไปในช่วงเวลาสั้นๆ

“วิธีทางเดียวที่ข้าจะนำมันจากไปได้ก็คือ ข้าต้องมีชิ้นส่วนของเศษซากเซียน และข้าก็จะสามารถนำมันไปด้วยได้ตราบนานเท่านาน” เมิ่งฮ่าวบินขึ้นไปนั่งบนศีรษะของนักรบศิลา ซึ่งมันได้เปลี่ยนรูปร่างให้มีขนาดใหญ่โตเหมือนเดิม และใช้ความรวดเร็วสูงสุดเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังทางออก

ยิ่งเข้าไปใกล้ทางออกมากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งมีสัญญาณของการเน่าเปื่อยผุพังมากขึ้นเท่านั้น เมิ่งฮ่าวถอนหายใจออกมา หลังจากที่แน่ใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยินดีที่จะต้องจากมันไปก็ตามที แต่ก็ไม่ต้องการจะเห็นมันเสียหายมากไปกว่านี้

เขาตัดสินใจทิ้งมันไว้ที่ด้านข้างของภูเขาที่พังทลายลงมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้พบกับมันในครั้งแรก กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไปเถอะ เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปปั้นเหมือนเดิม ข้าสัญญาว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะกลับมานำเจ้าออกไป น่าเสียดายที่เมื่อดินแดนบรรพบุรุษปิดลง การเชื่อมต่อของพวกเราก็จะถูกตัดไป”

ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว ดวงตาของรูปปั้นก็สาดประกายขึ้น ทันใดนั้นก็ยกกระบี่ขนาดใหญ่ของมันขึ้น และกวัดแกว่งไปมาในอากาศ ทำให้รอยแตกขนาดใหญ่เปิดออก แทบจะกรีดเฉือนให้ท้องฟ้าทั้งหมดแยกออกจากกัน

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้น

“เจ้าสามารถเฉือนเป็นเส้นทางออกไปจากที่แห่งนี้ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น “ถ้าให้พูดในอีกแง่ก็คือ เจ้าสามารถไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ ใช่หรือไม่?”

นักรบศิลาพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายศีรษะ ในที่สุดมันก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยแววตาอันลึกล้ำ และเป็นครั้งแรกที่มันพูดขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งอู้อี้อยู่ในลำคอ

“ตระกูลฟาง…ดินแดนบรรพบุรุษ…หนึ่งพันหลี่…ข้าปกป้องเจ้า”

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงนี้ จิตใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมา นี่คือเสียงที่เขาไม่มีทางจะลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตนี้ เสียงของเคออวิ๋นไห่

“อี้ฟู่ (พ่อบุญธรรม)…” ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่า เคออวิ๋นไห่ไม่เพียงแต่จะใช้พลังชีวิตบางส่วนของท่านจากตะเกียงมังกรที่มีไส้ตะเกียงเป็นหงส์ มาสร้างเป็นนักรบศิลานี้เท่านั้น แต่ยังได้ใช้เส้นใยแห่งวิญญาณของท่านด้วยเช่นกัน

หลังจากที่ผ่านไปนาน เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังนักรบศิลาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หมุนตัวและมุ่งหน้าตรงไปยังทางออก หลังจากที่เก็บซ่อนความทรงจำไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ทั่วทั้งร่างก็เริ่มกระจายกลิ่นอายอันน่ากลัวและดุร้ายออกมา คล้ายกับเป็นกระบี่ที่หลุดออกมาจากฝัก สาดประกายด้วยแสงอันเย็นเยียบ!

“ฟางเว่ย ถึงเวลาที่จะจบเรื่องราวระหว่างพวกเราแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!