บทที่ 1159 วายุอัสนีธาตุทอง
หลังจากทำให้เผ่าสุริยันชาดถอยร่นไปแล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มฝึกตน
พลังของเขาในตอนนี้ไม่อาจบุกตะลุยในเกาะเทียนอวี่ได้ตามใจชอบ ยิ่งไม่พูดถึงอ่าวทะเลคราม หรือว่าพื้นที่ที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า กระทั่งพื้นที่ทั้งสิบแปดเขตในดินแดนเทพรกร้าง
จากกองทรัพยากรจำนวนมหาศาล จ้าวเฟิงเพิ่งจะผ่านอุปสรรคของวายุอัสนีธาตุดิน พลังเพิ่มขึ้นไม่หยุด มีแนวโน้มว่าจะบรรลุ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ อีกขั้นหนึ่ง
“ยังมีทรัพยากรแขนงดินจำนวนมากเช่นนี้ ไม่สู้ดูดซึมพวกมันให้หมด แล้วค่อยทะลวงวายุอัสนีธาตุทองในขั้นที่สิบ!”
จ้าวเฟิงกดข่มขอบเขตพลังเอาไว้ และดูดซึมพลังในทรัพยากรอย่างบ้าคลั่ง
สำหรับทรัพยากรที่ใช้ฝึกฝนวายุอัสนีธาตุดิน จ้าวเฟิงเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ ดังนั้นในตอนที่ใกล้จะทะลวงผ่าน เขาจึงยังมีทรัพยากรอยู่อย่างเหลือเฟือ
อีกด้านหนึ่งนั้นเอง จากการเสริมสร้างเป็นระยะเวลานานจากพลังอัสนีเทวะในกายวิญญาณอัสนี กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงจึงสามารถต้านทานอัสนีเทวะได้มากขึ้น ถึงขั้นเป็นร่างภาชนะของอัสนีเทวะได้ทีเดียว
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงสามารถเหนี่ยวนำพลังอัสนีเทวะจากผลึกเทพอัสนีเข้าไปในกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้โดยตรง
ตอนนั้น กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงจะไม่ใช่วิชาป้องกัน แต่เป็นวิชาทำลายล้าง
อนึ่ง พลังอัสนีเทวะที่แฝงในผลึกเทพอัสนีมีมหาศาล ความสามารถในการลอกเลียนแบบของดวงตาซ้ายจ้าวเฟิงอาจจะคัดลอกไม่ได้ ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงวางแผนจะดูดซึมพลังอัสนีเทวะเพิ่ม รอตอนที่พลังวิญญาณของตนเองเพิ่มไปอีกขั้น แล้วจึงค่อยคัดลอกผลึกเทพอัสนี
ถึงตอนนั้น ร่างภาชนะอัสนีเทวะของจ้าวเฟิงก็เท่ากับใช้ได้อย่างไม่หมดสิ้น
ถึงแม้ไม่สามารถคัดลอกผลึกเทพอัสนีได้ แต่จะให้คัดลอกมนตราอากาศก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ในวันนี้ จ้าวเฟิงจึงจัดแจงโยกย้ายสิ่งมีชีวิตและทรัพยากรจำนวนมากในมนตราอากาศไปยังมิติเก็บของระดับสูงอีกแห่งหนึ่ง
มิติเก็บของแห่งนี้เป็นของที่จ้าวเฟิงชิงมาจากเฉินอวี๋ไห่ คุณภาพไม่เลวนัก เข้าใกล้ระดับอาวุธเทพชั้นรอง สามารถแบกรับสิ่งมีชีวิตได้
จากนั้น จ้าวเฟิงจึงดูดมนตราอากาศเข้าไปในมิติดวงตาซ้ายและเริ่มคัดลอกมัน
แผนของจ้าวเฟิงคือจะมอบให้จ้าววั่นกับจ้าวหวางคนละอัน จากนั้นให้พวกเขาจากไปยังสถานที่อื่นเพื่อฝึกตน
จ้าวเฟิงเองก็ต้องการมนตราอากาศแห่งหนึ่งเอาไว้เพื่อสำรอง จึงจำเป็นต้องคัดลอกมนตราอากาศรวมสามแห่ง
การคัดลอกอาวุธเทพชั้นรองยากเย็นนัก จำต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงเอาแต่ปิดด่านฝึกตนในช่วงนี้
ส่วนโลกภายนอก ทั่วทั้งเกาะเทียนอวี่ปั่นป่วน ในตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายทั้งสี่จุดมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นเผ่าไหนที่ได้ครองสิทธิ์ดูแลตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย!”
“ได้ยินมาว่าอัจฉริยะของเผ่าปีกมรกตบังเอิญได้รับมรดกเทพแท้จริงชิ้นหนึ่งมา วันนี้พลังแข็งแกร่งผิดปกติ!”
“เซินอวี่อัจฉริยะของเผ่าเขี้ยวฉลามประมือกับเทพแท้จริงขั้นหนึ่งได้หลายกระบวนท่าแล้ว!”
ในหอไข่มุกเซียน ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่กำลังลิ้มลองอาหารเลิศรส ถกกันเรื่องอัจฉริยะแต่ละเผ่าที่ตนเองคิดว่ามีความสามารถจะชนะได้
“พี่จาง เล่าข่าวผู้ถูกเลือกจากเผ่าสุริยันชาดของพวกท่านให้ฟังหน่อย!”
ในขณะนี้ เด็กหนุ่มที่กินอาหารอยู่กับชายผิวหยาบสีแดงเข้มถามอย่างสงสัย
เผ่าสุริยันชาดก็เป็นเผ่าสี่ดาวที่แกร่งกล้าสิบลำดับแรกในเกาะเทียนอวี่ ถึงแม้จะไม่อาจชนะอัจฉริยะของห้าขั้วอำนาจแรก แต่ก็น่าจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“เผ่าสุริยันชาด…จะไม่เข้าร่วมศึกช่วงชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย!”
ชายผู้นี้เอ่ยอย่างขัดเขินเล็กน้อย เป็นถึงเผ่าสุริยันชาดแต่พูดจาเช่นนี้ต่อหน้าคนจำนวนมาก กระทั่งเขายังรู้สึกเสียหน้า
ทว่าครั้งนี้เผ่าสุริยันชาดไม่มีทางแย่งชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายมาได้แน่
“พี่จาง เพราะเหตุใดกัน?”
สหายที่ร่วมดื่มสุรากับเขาถามอย่างฉงน แขกคนอื่นรอบบริเวณสงสัยมากเช่นกัน
“ผู้ถูกเลือกแห่งเผ่าสุริยันชาดสู้รุ่นที่ผ่านมาไม่ได้เลย!”
พี่จางก้มศีรษะถอนหายใจ เอ่ยอย่างคลุมเครือ
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เผ่าสุริยันชาดทุ่มเทฟูมฟักอัจฉริยะกลุ่มหนึ่ง และได้เลือกคนจำนวนหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาเพื่อเตรียมตัวรอศึกชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย แต่ทว่า หลังจากที่เผ่าสุริยันชาดโจมตีแพะเพลิงทองเมื่อครึ่งปีก่อนก็ล้มเลิกความคิดที่จะแย่งชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะชายหนุ่มนามจ้าวเฟิงผู้นั้น
ขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูงกลับทำร้ายจนเทพแท้จริงจวี้หั่วได้รับบาดเจ็บ ทำให้ผู้ถูกเลือกในเผ่าเสียขวัญและขาดความมั่นใจ
ในตอนนั้น เขาเองก็อยู่ในเหตุการณ์ มองเห็นทุกอย่างด้วยสายตาตนเอง
และเพราะเหตุนี้ คนระดับสูงของเผ่าสุริยันชาดจึงเชื่ออย่างยิ่งว่าตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแห่งหนึ่งในละแวกใกล้นี้ จะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
เผ่าสุริยันชาดถึงไม่มีเรื่องกับเผ่านั้น
ส่วนเรื่องที่เทพแท้จริงจวี้หั่วถูกเจ้ามนุษย์นิรนามผู้หนึ่งทำร้ายถูกเก็บเงียบจากคนทั้งระดับสูงและล่างของเผ่าสุริยันชาด คนภายนอกจึงยังไม่รู้ข่าวนี้
ในหอไข่มุกเซียน ยอดฝีมือทั้งหมดต่างมองออกว่าคนของเผ่าสุริยันชาดผู้นี้ไม่ยินยอมจะพูด ถึงแม้จะสงสัยนักว่าเพราะอะไร แต่ความสนใจของทุกคนก็เปลี่ยนไปที่เรื่องอื่นๆ แทน
ณ พื้นที่ต้องห้ามของตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย ภายในตำหนักมืดสลัวที่เย็นเฉียบแห่งหนึ่ง
“ผู้อาวุโสสูงสุด ศึกชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายครั้งนี้ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
“จ้าวเฟิงคนนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาสังหารครึ่งเทพหนึ่งคนกับเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์สองคนที่พวกเราส่งไปแล้ว!”
“ได้ยินมาว่าในวันนั้นสุริยันชาดยกพวกไปเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง แต่ต้องถอยกลับโดยไม่ได้สู้ ก็เป็นเพราะจ้าวเฟิงผู้นี้!”
คนระดับสูงมากมายในเผ่าพันธุ์หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าหวาดวิตกอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าดวงตาสีฟ้าคนหนึ่งในนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด คนผู้นี้ก็คือผู้เฒ่าที่ประเมิณสิ่งของประมูลให้จ้าวเฟิงในกาลก่อน เพราะเขาประมาท จึงไม่ได้ประเมินพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิง ถึงได้ปล่อยให้หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าไปล่วงเกินอีกฝ่าย
ไม่เช่นนั้น ก่อนที่ศึกชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายจะเกิดขึ้น เผ่าพวกเขาคงจะชักจูงจ้าวเฟิงมาเป็นพวก และจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่าฮ่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้ว!”
ในตอนนี้ ผู้เฒ่าเย็นชาในชุดสีฟ้าบนที่นั่งสูงส่งหัวเราะร่วน
ด้านล่าง ผู้อาวุโสระดับสูงจำนวนมากพลันหน้าเปลี่ยนสี เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา หรือว่าผู้อาวุโสยังมีวิธีอื่นอีก?
“ออกมาเถอะ!”
ผู้เฒ่าชุดฟ้าหัวเราะอย่างชั่วร้าย
จากนั้นเงากระบี่เหมันต์สายหนึ่งกระทบลงข้างร่างของเขาทันใด
ชายผู้นี้อายุไม่มากนัก แต่ทั่วร่างกลับสาดซัดจิตกระบี่เย็นเยียบที่ทำให้ใจคนหวาดกลัว แววตาของเขาพลันเพ่งมอง ก่อนปรากฏกระบี่แสงเหมันต์ไร้รูปร่างเล่มหนึ่งกลางอากาศ ไอหนาวเหน็บทิ่มแทงเข้าไปในกระดูก ทำให้จิตใจผู้แข็งแกร่งทุกคนตรงนั้นสั่นสะท้าน ร่างกายและวิญญาณเหมือนถูกทะลวงผ่านไป
“เป็นจิตกระบี่ที่แข็งแกร่งเหลือเกิน!”
“คนผู้นี้คือใคร เพียงแค่สายตาปราดเดียวก็ทำให้ข้าต้องยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง!”
คนฝ่ายหมาป่าเหมันต์ระดับสูงมากมายรวมไปถึงผู้อาวุโสครึ่งเทพพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
“เอาละ กูหลาน คู่ต่อสู้ของเจ้าจะปรากฏตัวขึ้นหลังจากนี้ไม่นาน!”
ผู้เฒ่าชุดฟ้าหัวเราะอย่างฮึกเหิม
ตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแห่งหนึ่งจะต้องเป็นของเผ่าพันธุ์หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าตลอดไป
……
ในมนตราอากาศ
กลางอากาศเหนือจ้าวเฟิง พลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีสี่สีที่เป็นดุจน้ำวนปรากฏขึ้น ภายในนั้นมีวายุอัสนีธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุไฟ และธาตุดิน หมุนวนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
วายุอัสนีธาตุดินมีมากที่สุดในนั้น ประหนึ่งคลื่นที่ปั่นป่วน ถาโถมไม่หยุด
เวลาเดียวกัน ในกลุ่มแสงวนพลังศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิง พลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีทั้งสี่หลอมรวมเข้ากับกฎเกณฑ์เสวียนอ้าวอันยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ หมุนวนอย่างรวดเร็ว
วู้ม โครม!
ใจกลางน้ำวนแสงพลังศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนั้น มีเส้นแสงสีทองที่แหลมคมลอยขึ้น แผ่พลังแห่งทองที่ทะลวงผ่านสรรพสิ่งออกมา ต่อมา พลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีธาตุดินขยายใหญ่ สร้างพลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีธาตุทองกลุ่มหนึ่งขึ้นมา
“วายุอัสนีธาตุทองเป็นพลังโจมตีในระดับขั้นสูงกว่าวายุอัสนีธาตุไฟ!”
จ้าวเฟิงเผยสีหน้ายินดี
ในวินาทีที่วายุอัสนีธาตุทองปรากฏขึ้นมา ขอบเขตพลังของจ้าวเฟิงก็ไม่สามารถกดข่มเอาไว้ได้อีก จึงทะลวงถึงเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์ทันที ซึ่งก็คือขั้นราชาเซียนในดินแดนทวีป
พรึ่บ พรึ่บ!
เบื้องหน้าจ้าวเฟิงปรากฏทรัพยากรและหินแร่ธาตุทองหลายชิ้น
เนิ่นนานก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงก็เริ่มเตรียมทรัพยากรฝึกฝนวายุอัสนีธาตุทองเอาไว้ ส่วนของเหล่านั้นที่เขาเอาออกมาเมื่อครู่เป็นแค่ของระดับต่ำที่สุดในนั้น
วิ้ง! จ้าวเฟิงรีบควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีทั้งห้ากลุ่มเบื้องหน้า ดูดซึมพลังธาตุทอง และสร้างพลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีธาตุทองขึ้นใหม่ทั้งหมด
วูบ วูบ!
พลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีธาตุทองของจ้าวเฟิงเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีอานุภาพเทียบเท่าวายุอัสนีอีกสี่กลุ่ม ที่วายุอัสนีธาตุทองเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงใช้ผลไม้เถาวัลย์ที่แฝงไปด้วยพลังสำนึกรู้ธาตุทอง อีกทั้งเพิ่มความลึกซึ้งในสำนึกรู้ธาตุทองของตน
เพิ่งได้รับวายุอัสนีธาตุทอง จ้าวเฟิงก็รู้สึกคุ้นเคยกับพลังกลุ่มนี้อย่างยิ่ง
ไม่นานเท่าไหร่นัก จ้าวเฟิงก็ควบคุมวายุอัสนีธาตุทองได้คล่องแคล่ว
“ดัชนีคลั่งวายุอัสนี!”
จ้าวเฟิงโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีธาตุทอง สำแดงวิชาดัชนีออกมา
เห็นเพียงแสงทองแวววับสว่างวาบกลางอากาศ ก่อนพุ่งทะยานออกไป
อีกด้าน มังกรวารีล้างโลกาที่กำลังฝึกตนอยู่ ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ จ้าวเฟิงจะใช้ตนมาเป็นคู่ซ้อม จึงหลบไม่ทัน
วูบ! แสทองเล็กละเอียดเส้นหนึ่งทะลวงผ่านฝ่ามือของเขา
‘เจ้าเด็กนี่ เพิ่งจะทะลวงเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์ ก็เก่งกล้าสามารถเช่นนี้แล้ว!’
มังกรวารีล้างโลกาเพิ่งจะฟื้นคืนกลับสู่ขั้นครึ่งเทพ ส่วนศักยภาพของกายมังกร แข็งแกร่งยิ่ง ระดับขั้นสูงส่งขึ้น ถึงขั้นอาจสูงส่งกว่ากายเทพขั้นหนึ่ง แต่ก็ยังคงถูกนิ้วชี้ส่งๆ ของจ้าวเฟิงทะลวงผ่านดังเดิม
โชคดีที่ดัชนีนี้ของจ้าวเฟิงไม่มีพลังอัสนีเทวะแฝงอยู่ มังกรวารีล้างโลกาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่นานอาการบาดเจ็บบนร่างก็หายไป
“เสี่ยวเฮย ข้าอนุญาตให้ขอบเขตพลังเจ้าฟื้นคืนสู่เทพแท้จริงขั้นที่หนึ่งได้!”
ยามนี้เอง จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ได้ ขอบพระคุณนายท่านมาก!”
การตัดพ้อต่อว่าเมื่อครู่ของมังกรวารีล้างโลกาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงขั้นที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่จ้าวเฟิงเรียกเขาว่าเสี่ยวเฮยอีก
“หืม? สำเร็จแล้ว?”
ดวงตาจ้าวเฟิงทอประกายแวววับ
เกิดกระแสสีทองชั้นหนึ่งขึ้นในดวงตาซ้ายของเขา
วูบ! น้ำวนพลังดวงตาก่อตัวขึ้นกลางอากาศ มนตราอากาศทั้งสี่ก็ปรากฏขึ้นทันควัน
เหตุเพราะว่าฝึกตนจริงจังมากจนเกินไป มนตราอากาศคัดลอกจนสำเร็จแล้ว จ้าวเฟิงเพิ่งจะรู้ตัวเอาในตอนนี้
จ้าวเฟิงรีบย้ายสิ่งของทั้งหมดในมิติเก็บของเข้าไปในมนตราอากาศ
“นี่คือของพวกเจ้าทั้งสอง!”
จ้าวเฟิงมอบมิติเก็บของให้จ้าวหวางและจ้าววั่นคนละอัน
หลังจากกำชับเรื่องอื่นๆ แล้ว จ้าวเฟิงจึงเตรียมตัวฝึกตนต่อ
“ดูดซึมพลังอัสนีเทวะเข้าไปภายในวายุอัสนีธาตุทอง พลังวายุอัสนีธาตุทองจึงจะแข็งแกร่งทรงอานุภาพยิ่งขึ้น!”
นี่คือแผนการที่จ้าวเฟิงเตรียมเอาไว้นานแล้ว
‘ถ้าหาก…หลอมรวมวายุอัสนีธาตุไฟและธาตุทองเข้าด้วยกันเล่า?’
จู่ๆ ความคิดเช่นนี้ก็ผุดขึ้นในใจจ้าวเฟิง
เพราะภายในวายุอัสนีธาตุไฟของจ้าวเฟิง เดิมทีก็แฝงด้วยพลังอัสนีเทวะ ถ้าหากสามารถหลอมรวมวายุอัสนีธาตุไฟ ธาตุทอง และพลังอัสนีเทวะเข้าด้วยกัน จะสร้างเป็นพลังที่น่ากลัวขนาดไหนกันเชียว?
ใจจ้าวเฟิงเต้นระรัว!
แต่ในเวลานี้เอง ป้ายส่งข่าวที่อยู่ไม่ไกลนักทอแสงสีทองเป็นประกาย
“จะเริ่มแล้วหรือ?”
จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนไปปีหนึ่ง จนจะลืมเรื่องศึกชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายไปเสียสนิท อย่างไรเสีย การสู้รบกับครึ่งเทพก็ไม่มีความหมายใดๆ กับเขาอีกต่อไป
อีกทั้งในตอนนี้ระดับพลังของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น จนฝึกฝนได้วายุอัสนีธาตุทอง การประลองแย่งชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วเป็นเหมือนการละเล่นสนุกสนานเท่านั้น
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงออกจากมนตราอากาศทันที
“สหายน้อยจ้าว ควรออกเดินทางได้แล้ว!”
คนระดับสูงทั้งหมดของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองรอจ้าวเฟิงอยู่เงียบๆ ที่โลกภายนอก
คนเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองทั้งหมดด้านล่างแหงนมองเขาประหนึ่งเทพเซียนสูงส่ง สายตาเต็มไปด้วยความเคารพและกระตือรือร้น