บทที่ 216 : ระดับหกของฝ่ามือวายุอัสนี
ยังคงเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่งานสิบสามสำนักพันธมิตรจะเริ่มต้นขึ้น
จ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านฝึกตนในยามนี้เพราะเขาได้เข้าสู่คอขวดในทุกๆ ด้านแล้ว
ทว่า
ในวินาทีที่เขาออกจากการปิดด่านฝึกตน เขาก็ได้ดึงดูดความสนใจของศิษย์ผู้อื่นและเหล่าระดับสูงของสำนัก
มันไม่เพียงเพราะจ้าวเฟิงคือหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานพันธมิตร ทว่ายังเป็นเพราะเหตุผลอื่นด้วย
ภายในที่พักของผู้อาวุโสผู้หนึ่ง
“ท่านอาจารย์ จ้าวเฟิงออกมาแล้วขอรับ”
ฉวนเฉินเอ่ยอย่างเคารพ
“สายฟ้าได้ปรากฏขึ้น ณ สถานที่ฝึกตนจองจ้าวเฟิงในเวลาสองเดือนที่ผ่านมา หากมิใช่ว่าสามารถทำได้แล้ว นับว่ามีโอกาสสูงที่เขาจะพยายามทะลวงขั้นสู่ระดับหกของฝ่ามือวายุอัสนี เจ้าไปบอกเป่ยม่อและหยวนจื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้เดี๋ยวนี้…”
ผู้อาวุโสหยุนไห่ยืน สองมือไขว้หลัง
หลายเดือนที่ผ่านมา
จ้าวเฟิงได้ฝึกตนอย่างหนักหน่วงและถ่อมตัวยิ่งนัก เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความยโสจองหองก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนได้ยินเสียงของสายฟ้าดังขึ้นจากที่พักของเด็กหนุ่มอย่างชัดแจ้ง
หลายคนคาดเดาว่า ‘จ้าวเฟิงจึ’ (TL: 疯子[fengzi] หมายถึง เสียสติ, บ้า) กำลังพยายามเข้าสู่ระดับสูงสุดของฝ่ามือวายุอัสนี
มีอัจฉริยะจำนวนเพียงน้อยนิดที่สามารถฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีจนเข้าสู่ระดับหกได้ ส่วนมากมักยอมแพ้ไปกลางคันหรือไม่ก็เป็นคนพิการ บางครั้งกระทั่งสิ้นชีพ
มันมีตัวอย่างของอัจฉริยะที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีจนถึงระดับสูงสุดและถูกฟ้าผ่าจนตายมาแล้ว
ไม่กี่วันก่อน
ปรากฏการณ์สายฟ้าจากที่พักของจ้าวเฟิงได้หายไป หรือเขาฝึกฝนสำเร็จแล้ว?
หากเขาสำเร็จ เขาจะถูกฟ้าผ่าจนตายหรือไม่?
มันเป็นคำถามที่ทุกคนให้ความสำคัญยิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นศัตรูของเขาด้วยก็ตาม
สิ่งแปลกประหลาดคือการที่ผู้อาวุโสหนึ่งยังคงนิ่งเงียบตลอดเวลา
“มันต้องมีบางอย่างที่ทำให้ผู้อาวุโสหนึ่งไม่หยุดจ้าวเฟิง”
ผู้อาวุโสหยุนไห่ มิใช่คนโง่เขลา
ความจริงแล้ว
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนผู้อาวุโสหยุนไห่และจ้าวสำนักได้ไปหาผู้อาวุโสหนึ่งเพื่อพูดคุย พยายามทำให้ชายชราหยุดจ้าวเฟิง
จะอย่างไรก็ตาม จ้าวเฟิงคือศิษย์หลักและสำนักต้องพึ่งพาเขาในงานพันธมิตรเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงสำนัก
ทว่าผู้อาวุโสหนึ่งทำเพียงส่ายศีรษะ เอ่ยบอกพวกเขาว่าเขาไม่อาจหยุดมันได้ และกระทั่งส่งคนออกไปป้องกันศิษย์ผู้นั้น มิให้ผู้ใดขัดขวาง
เทือกเขานภาจันทร์
ภายในตำหนักหยก
“จ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้วหรือ? บอกให้เขามาหาข้าทันที”
จ้าวสำนักจันทร์สลายเอ่ยต่อหลันเสี่ยวหยวนและศิษย์พี่หยวน
“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงให้ความสำคัญกับเขานักเจ้าคะ?”
ศิษย์พี่หยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะเป็นศิษย์หลัก เขาก็เป็นเพียงศิษย์ผู้หนึ่ง และไม่แม้กระทั่งเป็นศิษย์ของจ้าวสำนัก
“ยังคงเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าก่อนที่จะถึงงานพันธมิตร ศิษย์วิหารโบราณต่างก็มีความชำนาญด้านการใช้พลังจิต ล้วนเป็นตัวปัญหา และจ้าวเฟิงเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวที่เชี่ยวชาญในด้านพลังจิตในสำนัก…”
จ้าวสำนักจันทร์สลายแย้มยิ้ม
“เช่นนี้เอง”
ศิษย์พี่หยวนเข้าใจในทันที
การกระทำของจ้าวสำนักนั้นล้วนเพื่อผลประโยชน์ของสำนักทั้งสิ้น
หากจ้าวเฟิงทำให้เหล่าศิษย์ ‘รู้สึก’ ว่าการถูกโจมตีด้วยพลังจิตเป็นเช่นไรก่อน และค้นหาวิธีที่จะป้องกันมัน พวกเขาก็จะมีโอกาสชนะสูงขึ้นเมื่อต่อกรกับคนจากวิหารโบราณ
เหตุผลที่ทำให้จ้าวสำนักเรียกเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวมาในทันทีนั้นเป็นเพราะนางกลัวว่าจ้าวเฟิงจะกลับไปฝึกตนอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน
ตำหนักของผู้อาวุโสหนึ่ง
“ในที่สุดเฟิงเอ๋อร์ก็ออกมา”
ผู้อาวุโสหนึ่งปรากฏร่องรอยความกังวลและคาดหวังอยู่บนใบหน้า
จ้าวเฟิงทำสำเร็จหรือไม่? เขาทะลวงผ่านวัฏจักรแห่งความตายของฝ่ามือวายุอัสนีได้หรือไม่?
“เรียกจ้าวเฟิงมาตอนนี้”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยสั่ง
“ท่านอาจารย์ จ้าวสำนักได้ส่งคนไปหาศิษย์น้องจ้าวเช่นกัน”
หยางก่านเอ่ย
ในยามนั้น
การที่จ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านฝึกตนได้ดึงดูดความสนใจของทั้งสำนัก สร้างความเคลื่อนไหวบางอย่าง
เหล่าคนรุ่นใหม่ล้วนสงสัยเกี่ยวกับพลังที่เพิ่มขึ้นของจ้าวเฟิง
หลังจากลับมาจากงานสามสำนัก ศิษย์หลักอันดับหนึ่งและอันดับสอง หยางกานและเป่ยม่อต่างก็ไม่ได้มีพลังฝึกตนเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะได้เจอปัญหาคอขวด มาถึงจุดตันแล้ว
เป่ยม่อยังคงอยู่ห่างไกลจากขั้นสุดยอดของนภาที่ห้านัก
หยางกานเองก็ยังคงอยู่ในนภาที่หก ทว่าเวลาไม่กี่เดือนนับว่าไม่เพียงพอให้เข้าเข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หก
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หยางกานต้องการเวลาสองถึงสามปีเป็นอย่างน้อยในการเข้าสู่นภาที่เจ็ด และเป็นไปได้ว่าเขาอาจต้องใช้เวลาสิบปีเป็นอย่างมาก เว้นเสียแต่เขาจะมีพรสวรรค์เทียบเท่ากายจิตวิญญาณดินหรือมีทรัพยากรจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่นภาต่อไปในเวลาไม่กี่เดือน
ทุกๆ นภาในขอบเขตก่อกำเนิดปราณล้วนยากขึ้นที่จะทะลวง พลังที่ต้องใช้ในแต่ล่ะขั้นจะมากมายขึ้นเรื่อยๆ
ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงนั้นอยู่เพียงนภาที่สี่ ดังนั้นแล้วเขาจึงมีที่ว่างให้พัฒนาได้มากกว่า
วินาทีที่เขาออกจากการปิดด่านฝึกตน ผู้คนจำนวนมากก็ได้มาแสดงความยินดีต่อเขา
หลินฟ่านเป็นคนแรกที่มาถึง จากนั้นจึงเป็นอวิ๋นเซียงเมิ่ง เซียวหยุ่น สวี๋จรื๋อ หลิวเยว่เอ๋อร์ และศิษย์หลักบางคนที่ค่อยๆ ทยอยมา
“ยินดีด้วยศิษย์น้องจ้าวที่สามารถฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีจนเข้าสู่ระดับสูงสุดได้”
ฉวนเฉินหัวเราะ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์คนอื่นๆ ก็เริ่มเยินยอเด็กหนุ่ม
คนส่วนมากอาจยินดีในการที่จ้าวเฟิงทะลวงขั้นได้ ทว่าเมื่อเอ่ยถึงฝ่ามือวายุอัสนีนั้นกลับมีความหมายที่แตกต่างออกไป
“ฝ่ามือวายุอัสนีกระจอกๆ นี้ไม่เพียงพอสำหรับข้า ข้ากำลังคิดจะเปลี่ยนมันกับวิชาที่มีระดับสูงกว่าอยู่”
จ้าวเฟิงคิดและเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงของเขาดูเย่อหยิ่ง ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่
จ้าวเฟิงฝึกฝนสำเร็จหรือไม่? หมายความว่าอย่างไรที่จะเปลี่ยนมันกับวิชาอื่น?
“เหตุใดจ้าวเฟิงจึงจะเปลี่ยนวิชา? หรือเป็นว่าเขาเข้าสู่ระดับหกสำเร็จ ทว่ามันอันตรายเกินไป เขาจึงต้องการเปลี่ยนมันกับวิชาอื่น? หรือเป็นว่ามันไม่สามารถใช้ได้ง่ายๆ อาจด้วยเพราะมีข้อจำกัด?”
ประกายแสงแล่นวาบผ่านดวงตาของฉวนเฉิน
ความคิดของเขามีเหตุผลมาก
ตามสถิติแล้ว ยามเมื่อคนผู้หนึ่งฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีจนถึงระดับสูงสุด มันยังมีโอกาสสูงที่จะถูกฟ้าผ่า
จ้าวเฟิงไม่ตาย ทว่าการที่เอ่ยว่าเขาต้องการวิชาอื่นอาจมีความหมายอื่นใดซ่อนอยู่
ไม่ช้า
หยางกาน หลันเสี่ยวหยวน และศิษย์พี่หยวนต่างก็มาถึง
จ้าวสำนักและผู้อาวุโสหนึ่งล้วนมีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับเด็กหนุ่ม ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจพบกันที่ โถงกลาง
“ได้”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะและไปยังโถงกลางพร้อมกับศิษย์หลัก
โถงกลาง
จ้าวสำนัก ผู้อาวุโสหนึ่ง และผู้อาวุโสหยุนไห่ล้วนอยู่ที่นั่น
จ้าวสำนักจันทร์สลายมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า
ผู้อาวุโสหนึ่งสีหน้าไร้อารมณ์ทว่าปรากฏความคาดหวังในแววตา
ดวงตาของผู้อาวุโสหยุนไห่ส่องประกายระริกยามที่มองไปยังจ้าวเฟิง
ไม่ช้าทั้งสามก็เอ่ยถึงสิ่งที่ตนเองต้องการเอ่ย
มันมีสองเรื่อง
เรื่องแรกคือปัญหาที่จ้าวเฟิงฝึกฝ่ามือวายุอัสนี
เรื่องที่สองคือการที่สำนักต้องการให้จ้าวเฟิงใช้การโจมตีพลังจิตเพื่อให้ศิษย์หลักได้สัมผัสเป็นประสบการณ์
สำหรับเรื่องที่สอง จ้าวเฟิงตกลงในทันที
“มีคนเข้าร่วมงานพันธมิตรครั้งนี้มากเท่าใดกันขอรับ?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“สิบคน”
จ้าวสำนักจันทร์สลายเอ่ยตอบ
จ้าวเฟิงคิดว่าจำนวนนั้นมินับว่าน้อย กระทั่งมากกว่าที่คาด
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอธิบาย “ตามกฎนั้น มันมีตำแหน่งแน่นอนทั้งหมดสามที่ สำหรับที่อื่นๆ ทุกๆ สำนักต้องจ่ายผลึกเริ่มต้นจำนวนมากเพื่อมัน อีกทั้งงานนี้ยังมีรางวัลให้ รางวัลเหล่านั้นก็มาจากทั้งสิบสามสำนักช่วยกันออกทุนทรัพย์”
จ้าวเฟิงเข้าใจในทันที
งานพันธมิตรนั้นเป็นเวทีสำหรับยอดฝีมือของสำนัก และมันคือโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าแต่ล่ะที่จะมีค่ามากเพียงใด สิบสามสำนักก็ยอมจ่ายเพื่อมัน
เพื่อที่จะทำให้ศิษย์หลักทั้งสิบได้เข้าร่วม แสดงว่าสำนักจันทร์สลายก็คงจ่ายไปไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าสำนักที่ครองอันดับสูงกว่าอาจจะมีตำแหน่งมากกว่าเพราะพวกเขามีเงินและอำนาจในการที่จะทำให้ศิษย์ของพวกเขาเข้าร่วม
จ้าวสำนักจันทร์สลายแย้มยิ้มและเอ่ยว่า “เหล่าผู้ที่มาจากวิหารโบราณล้วนเป็นยอดฝีมือ และศิษย์แทบทั้งหมดของพวกเขาติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรก ดังนั้นแล้ว ศิษย์ของพวกเราย่อมต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาหากเราต้องการที่จะติดหนึ่งในยี่สิบ”
นางยังได้เอ่ยขอเพิ่มเติมว่า เมื่อจ้าวเฟิงใช้พลังจิตโจมตี เขาจะต้องไม่สร้างอันตรายและทำให้ศิษย์หลักเหล่านั้นบาดเจ็บได้ ยิ่งไปกว่านั้น ห้ามให้พวกเขาตกอยู่ในความหวาดผวาด้วย
ทุกคนรู้ว่าพลังจิตโจมตีของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นแข็งแกร่ง กระทั่งผู้ที่อยู่ในนภาที่ห้าก็ไม่อาจป้องกันได้
“ไม่มีปัญหา มันขึ้นอยู่กับแรงใจของคนผู้หนึ่งที่จะสร้างกำลังต่อต้านสิบจากร้อยส่วน หรือกระทั่งมากกว่าร้อยจากร้อยส่วน”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะตอบรับ
มันเป็นเวลาที่จะช่วยเหลือสำนัก และสำนักย่อมมอบรางวัล รวมทั้งแต้มสนับสนุนและผนึกเริ่มต้นแก่เขาเป็นการตอบแทน
ยิ่งสถานะในสำนักของจ้าวเฟิงสูงมากเพียงใด เขาก็ยิ่งได้รับการปกป้องมากขึ้นเท่านั้น ทั้งกว่างจวิ้นโหวและตระกูลจ้าวย่อมได้รับการดูแลอย่างดี
สีหน้าของผู้อาวุโสหยุนไห่แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเล็กๆ ทว่ามันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าในเวลาไม่นาน
“จ้าวเฟิง ฝ่ามือวายุอัสนีของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าสู่ระดับสูงสุด ไม่ว่าผู้ใดที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมตายตก และเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็กระทั่งต้องระแวดระวัง”
ในที่สุด ผู้อาวุโสหยุนไห่ก็เอ่ยถามปัญหาที่เขาสนใจมากที่สุด
หัวใจของทุกคนกระตุกยามเมื่อได้ยินว่าผู้ใดก็ตามที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะตายตก “ฝ่ามือวายุอัสนีนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
ศิษย์หลักมองไปยังจ้าวเฟิงจึ (คนเสียสติจ้าว) ด้วยสายตาหวาดระแวง
จ้าวเฟิงจึเป็นฉายาที่ถูกมอบให้กับเด็กหนุ่มโดยคนของสำนักจันทร์สลาย มันเป็นเพราะแต่เดิมนามของเขาได้มี ‘เฟิง’ อยู่แล้ว และเขาได้ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี ในสำนักแทบจะไม่มีผู้ใดกล้าสร้างความขุ้นเคืองแก่เขาแล้ว
“หรือเขาอาจจะฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีจนเข้าสู่ระดับสูงสุดแล้วจริงๆ?”
หัวใจของทุกคนกระตุก
กระทั่งจ้าวสำนักและผู้อาวุโสหนึ่งก็สงสัยเช่นกัน
“ศิษย์ผู้นี้ได้ฝึกฝนมันจนเข้าสู่ระดับสูงสุดแล้วจริงๆ”
จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ในโถงนั้นล้วนตื่นตะลึง
ฉวนเฉิน เป่ยม่อ และคนอื่นๆ แสดงอาการราวกับถูกตี
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ในอันตรายหรือไม่?”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยถาม
จ้าวเฟิงเอ่ยอธิบาย “เมื่อผ่านการพัฒนาของข้าแล้ว อันตรายของวิชานี้ได้ลดลง ทว่าพลังของมันเองก็เทียบได้เพียงวิชาขั้นสุดยอดในวิชาชั้นมนุษย์ระดับสูงเท่านั้น”
ยามเมื่อวิชามนุษย์ระดับสูงถูกฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับสุดยอด พลังของมันน่าหวั่นเกรงยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับสายฟ้า
“เช่นนั้น มันมีโอกาสใด้หรือไม่ที่จะเรียกเก้ามหาอัสนี?”
ดวงตาของผู้อาวุโสหยุนไห่สำรวจอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด
จากที่จ้าวเฟิงเอ่ย แม้ว่าฝ่ามือวายุอัสนีจะน่าหวาดหวั่น มันก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับของสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด
“มีขอรับ”
จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
มันเป็นความจริง
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยียบ กระทั่งจ้าวสำนักและผู้อาวุโสก็ตื่นเต้น
“แน่นอน พลังใดที่เหนือกว่าขีดจำกัดของคนผู้หนึ่งล้วนมีข้อจำกัดและข้อแลกเปลี่ยนที่มากมาย”
เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ
ข้อจำกัดและข้อแลกเปลี่ยนที่มากมาย?
ผู้อาวุโสหยุนไห่เอ่ย ‘เช่นที่ข้าคิด’ ในใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ในการที่จะเรียกสายฟ้า มันต้องเป็นวันที่มีเมฆมากหรือพายุเข้า มันมีโอกาสห้าสิบในร้อยส่วนในการเรียกสายฟ้าในวันที่มีเมฆมาก และโอกาสร้อยส่วนในการเรียกในวันที่มีพายุ นี่คือข้อจำกัด”
เด็กหนุ่มหยุดไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยต่อ “เมื่อข้าเรียกสายฟ้าและพลังที่แข็งแกร่งกว่าข้านับสิบเท่า ไม่ว่าผู้ใดที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงล้วนต้องตาย และเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แน่นอน เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน มีโอกาสห้าสิบในร้อยส่วนที่ข้าจะตาย ยิ่งสายฟ้านั้นแข็งแกร่งเพียงใด หมายความว่าโอกาสที่ข้าจะตายสูงขึ้นเท่านั้น”