Skip to content

King of Gods 396

King Of Gods

บทที่ 396 : มุมมองของปักษาที่เหนือกว่าผู้ใด

หลังจากที่หุ่นเชิดศพทั้งสองถูกลบตราจิตออกไปแล้วก็ได้ส่งเสียงคำรามแผ่ว สร้างปราณศพหนาแน่นออกมาอย่างน่าตื่นตะลึง แสดงท่าทีคุกคาม เตรียมตัวก่อเรื่อง

จ้าวเฟิงยืนอยู่ข้างหนึ่ง มีท่าทีสนอกสนใจ

ดรุณีบัวดำตื่นตะลึง พลันเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา น้ำเสียงสั่นสะท้านถูกเอ่ยขึ้น”ไม่นะ…”

กร๊าซซซ

หุ่นเชิดศพทั้งสอง หลังจากได้รับอิสระก็ส่งเสียงกรีดร้องทิ่มแทงไปถึงจิตวิญญาณออกมา แสยะเขี้ยวอ้าปากกว้าง พุ่งตรงไปยังร่างของดรุณีบัวดำ

หลังจากที่ได้รับ ‘อิสระ’ คืนมา หุ่นเชิดศพทั้งสองไม่กล้าที่เข้าใจจ้าวเฟิงตามสัญชาตญาณ เลือกที่จะโจมตีดรุณีบัวดำแทน

ทั้งโลหิตและปราณจิตวิญญาณ หุ่นเชิดศพสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่ถือกำเนิด ใช้สัญชาตญาณในการกลืนกินเลือดเนื้อเพื่อเติบโต

“ฮี่ฮี่”

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากเบื้องหลังของหุ่นเชิดศพ

มืออันทรงพลังได้จับไปยังไหล่ของสองหุ่นเชิดศพ ความเย็นเยียบแพร่กระจายไปในอากาศ แทรกซึมเข้าไปกัดกร่อนถึงจิตวิญญาณ

หุ่นเชิดศพทั้งสองส่งเสียงคำรามต่ำ ร่างพลันหยุดนิ่ง ไม่กล้าที่จะขยับเคลื่อนไหว

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสั่นระริก ส่องประกายเย็นเยียบทิ่มแทงไปถึงจิตวิญญาณ ส่งกลิ่นอายโบราณสง่างามออกมา สร้างความหวาดกลัวให้กับภูตผีเหล่านี้

การต่อสู้ก่อนหน้า เพียงดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มจ้องมองก็เอาชนะภูตผีชั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำได้หลายตนพร้อมกัน สร้างความหวาดกลัวให้พวกมันจนแทบสิ้นสติ

ในอดีต ที่แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ สถานที่ที่เต็มไปด้วยคำสาปอันน่าพรั่นพรึงที่ไม่อาจมองเห็น ทว่าพวกมันก็ไม่อาจเข้าใกล้จ้าวเฟิงได้ อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นสิ่งต้องห้ามของเหล่าภูตผีปีศาจ

ในยามนี้

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงส่งแรงกดดันออกมาอย่างจงใจ สติปัญญาของหุ่นเชิดศพทั้งสองมีไม่มากพอ ร่างกายสั่นสะท้านขดตัว ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว

นี่ได้ทำให้ดรุณีบัวดำรู้สึกตื่นตะลึงจนสิ้นเสียงไป

นางไม่อาจจะทำใจให้เชื่อได้ว่าในโลกใบนี้จะมีสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งเพียงนี้ สามารถเอาชนะศาสตร์แห่งวิญญาณมารได้ถึงระดับนี้

จากนั้น เด็กสาวจึงเห็นด้วยตาตนเองว่าจ้าวเฟิงได้ใช้วิธีการที่เพิ่งจะเรียนรู้ไปยังร่างของหุ่นเชิดศพทั้งสอง สร้างตราจิตขึ้น

การที่จะทำได้ถึงระดับนี้ ในระดับพลังฝึกตนของดรุณีบัวดำก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน นอกจากนั้น หุ่นเชิดศพทั้งสองยังต้องอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจที่จะต่อต้านได้

ทว่าดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเพียงเหลือบมองทั้งสองเล็กๆ สร้างตราขึ้นอย่างง่ายดาย หุ่นเชิดศพทั้งสองได้มีท่าที ‘เชื่อฟัง’ มากเป็นพิเศษ

สองหุ่นเชิดศพไปยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว ราวกับผู้คุ้มกันส่วนตัวของเด็กหนุ่ม

“อืม ดี ดี”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ครุ่นคิดถึงวิธีควบคุมหุ่นเชิดศพทั้งสองอยู่ในใจ

ทว่าจ้าวเฟิงพบว่าเขาไม่จำเป็นต้องตั้งใจเรียนรู้ก็สามารถควบคุมหุ่นเชิดศพทั้งสองได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าเป็นสัญชาตญาณ

ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงยังมีประสบการณ์การควบคุมสัตว์วิเศษและสัตว์ปีศาจมาก่อน

ในทางกลับกัน ดวงตาเทพเจ้าก็ดูจะมาจากเทพบรรพกาล ทำให้หุ่นเชิดศพทั้งสองสั่นสะท้าน หวาดกลัวยอมสวามิภักดิ์อย่างง่ายดาย

หรือเอ่ยสั้นๆ คือ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนับว่ามีพรสวรรค์ในเรื่องนี้

นอกจากนั้น การควบคุมศพทั้งสองยังเกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งวิญญาณ ไม่ใช่วิชาที่ต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้งอันใด

“นี่… เป็นไปได้อย่างไร”

ดรุณีบัวดำเบิกตากว้าง ไม่อาจที่จะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สติว่างโล่งไปชั่วครู่

ในเวลาเพียงหนึ่งนาที

หุ่นเชิดศพทั้งสองของนางก็ได้ถูก ‘แย่งชิง’ ไปโดยจ้าวเฟิงอย่างง่ายๆ

คนผู้นี้ นับว่าเป็นปรปักษ์กับศาสตร์แห่งวิญญาณมารโดยสิ้นเชิง

“บัวดำและหุ่นเชิดศพของเจ้าถูกข้ายึดแล้ว”

จ้าวเฟิงนำมือไปลูกที่บัวดำ หมอกสีดำปรากฏขึ้น เก็บหุ่นเชิดศพทั้งสองไป

ในบัวดำนั้นเต็มไปด้วยปราณหยินมาร เหมาะสมในการฝึกฝนภูตผี

นอกจากสองหุ่นเชิดศพที่พลังต่อสู้เข้าใกล้ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด ผีตนอื่นๆ ที่มีพลังต่ำว่าในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงไม่ได้เข้ามาอยู่ในความสนใจของจ้าวเฟิง

เด็กหนุ่มนับผีตนอื่นๆ ที่อยู่ในบัวดำเป็น ‘ปุ๋ย’ อย่างสิ้นเชิง ใช้ในการเพิ่มพลังให้กับหุ่นเชิดศพทั้งสอง ย่อมสามารถทำให้พวกมันสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดได้อย่างสมบูรณ์

ในยามนี้

สีหน้าของจ้าวเฟิงพลันแปรเปลี่ยนไป ดวงตาเทพเจ้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง

“เร็วเพียงนี้? คนของตำหนักผาดำของเจ้านับว่าไม่ขาดแคลนวิญญาณหยินโดยแท้”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองเลยห่างไป 100-200 ลี้ เห็น ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ที่ลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ

ความจริงแล้ว

เนตรโคมวิญญาณนั้นมีขนาดเล็กยิ่งนัก เมื่อเทียบกับดวงตาของคนทั่วไปแล้วยังนับว่าเล็กกว่า ทั้งยังอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ โดยปกติแล้วย่อมไม่อาจมองเห็นได้

ทว่าดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นมีสายตาที่ทรงพลังอย่างมาก แม้จะเป็นเพียงยุงตัวหนึ่งในระยะเท่ากัน เด็กหนุ่มกระทั่งสามารถแยกแยะเพศของมันได้

ดรุณีบัวดำไม่อาจมองเห็น ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ได้ ทว่าเมื่อมองไปยังสีหน้าของจ้าวเฟิงก็พอคาดเดาได้ว่าความช่วยเหลือจากตำหนักผาดำได้มาถึงแล้ว เด็กสาวอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้

ไม่นาน

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังชื่อกุ้ยที่นำคนเจ็ดคนเข้าใกล้ตำแหน่งของตนเองมา

“เป็นวิชาแกะรอยที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ด้วยวิชาดวงตาบางอย่าง รับรู้และตั้งเป้ามาที่กลิ่นอายของข้าผ่านอากาศ”

จ้าวเฟิงไม่ได้หลบหนีไปในทันที ทว่าหาวิธีการป้องกัน

หากไม่ค้นพบถึงต้นเหตุ ‘เนตรโคมวิญญาณ’ นั่นได้มุ่งเป้ามายังกลิ่นอายของจ้าวเฟิง ใช้เป็นตำแหน่งเป้าหมาย แม้คิดจะหลบหนีก็ยากยิ่งนัก

หลังจากค้นพบสาเหตุ จ้าวเฟิงก็เริ่มคิดถึงวิธีการต่างๆ

อย่างแรก เด็กหนุ่มพยายามปิดกั้นกลิ่นอายของตนเอง ทว่าผลของมันไม่น่าพึงพอใจเท่าใด

วิธีการของเนตรโคมวิญญาณบนอากาศนั่นละเอียดอ่อนอย่างมาก ตราบเท่าที่อยู่ในระยะจะสามารถรับรู้ได้ แทบจะเพิกเฉยต่อหลักการทั่วไป

จากนั้น

จ้าวเฟิงจึงใช้ ‘ผ้าคลุมเงาหยิน’ สร้างร่างเงาสองร่าง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

“ร่างเงามีกลิ่นอายพลังแบบเดียวกับข้า”

จ้าวเฟิงลอบคิดในใจ

สุดท้าย

‘เนตรโคมวิญญาณ’ ที่กลางอากาศนั้นได้เหลือบมองไปมาเล็กๆ ก่อนที่จะกลับมามองยังจ้าวเฟิงอย่างไม่ยอมแพ้

หากมีเพียงแค่ ‘เนตรโคมวิญญาณ’ มันย่อมไม่มีสติปัญญา ไม่สามารถตัดสินใจได้ ทว่าปัญหาคือเบื้องหลังเนตรโคมวิญญาณคือชื่อกุ้ยที่ครอบครอง ‘เนตรมารทมิฬ’ คอยควบคุมอยู่

ชื่อกุ้ยเชี่ยวชาญในการแกะรอย การตัดสินใจเฉียบแหลมน่าตื่นตะลึง กลิ่นอายของร่างเงาไม่อาจที่จะสร้างความสับสนให้แก่เขาได้

ทว่ายิ่งยามค่ำคืนเข้าใกล้มามากเท่าใด ทัศนะวิสัยของ ‘เนตรโคมวิญญาณ’ รวมทั้งความสามารถในการรับรู้จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ในเมื่อไม่อาจหลบได้ ก็มีเพียงแค่ทำลายเนตรโคมวิญญาณนั่น”

นัยน์ตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ

ทว่าปัญหาคือระยะของเนตรโคมวิญญาณนั้นห่างจากจ้าวเฟิงกว่า 100-200 ลี้ ไม่อยู่ในระยะการโจมตีที่มีประสิทธิภาพของจ้าวเฟิง

สี่วิชาดวงตา รวมทั้งคันศรหลัวซุยดูจะเกินกำลังในการทำลายมัน

“ดูเหมือนว่า… ต้องลองใช้กระบวนท่านั้น”

จ้าวเฟิงอดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกไม่ได้

เกี่ยวกับ ‘กระบวนท่านั้น’ จ้าวเฟิงยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก กำลังพยายามค้นหาความสามารถของมัน ทว่ายามแรกยังไม่อาจที่จะใช้ออกได้

ทว่าบัดนี้ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาได้เข้าสู่ระดับของขั้นนายเหนือแท้ โอกาสสำเร็จและความสามารถในการควบคุมควรที่จะสูงขึ้นกว่าเดิม

เมื่อคิดดูแล้ว

จ้าวเฟิงก็เข้าสู่สภาวะ ‘แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณคืนสู่สามัญ หลอมรวมกับฟ้าดิน’

นี่เป็นเพียงแค่ขั้นแรก เป็นการเตรียมการในการใช้กระบวนท่านั้น

จากนั้น

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็เป็นราวกับบ่อน้ำเย็นเยียบที่แผ่ขยายออกอย่างไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอายเฉียบแหลมลึกล้ำถูกกระตุ้นใช้ออกจนถึงขีดสุด

ในที่สุด กลิ่นอายเก่าแก่ทรงพลังที่คำว่าน่าพรั่นพรึงไม่อาจอธิบายได้ก็ได้ปะทุออกจากร่างของจ้าวเฟิง

ดรุณีบัวดำ รวมทั้งหุ่นเชิดศพทั้งสองขดตัวสั่นสะท้าน

ในเวลาเดียวกัน

พวกชื่อกุ้ยกำลังเร่งรีบอยู่ห่างออกไป ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ ‘เนตรโคมวิญญาณ’

ชื่อกุ้ยใช้พลังดวงตาของตนเองในการคงสภาพ ‘เนตรโคมวิญญาณ’ เอาไว้ พลังถูกใช้ไปอย่างไม่หยุดยั้ง ท่าทีปรากฏความเหนื่อยอ่อนอยู่เล็กๆ

เป็นเรื่องดีที่ยามราตรีได้มาถึง ทำให้พลังที่ไหล่บ่าออกไปนั้นลดลงหลายส่วน

ในยามหนึ่ง

ชื่อกุ้ยพลันรับรู้ถึงบางอย่างขึ้น รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกจ้องมองจากอากาศที่สูงกว่า

ในความมืดมิดนั้นราวกับว่ามีเทพเจ้าอันสูงศักดิ์กำลังชายตามองเหล่ามดปลวกบนพื้นดิน ราวกับเป็นลิขิตแห่งสวรรค์

เขาสะดุ้ง

ชื่อกุ้ยคิดว่าเขาคิดไปเอง ทว่าจากสัญชาตญาณของ ‘เนตรมารทมิฬ’ มันไม่ใช่การเข้าใจผิด ทว่าพวกเขาได้ถูกจ้องมองอยู่จริงๆ

เป็นการจ้องมองที่ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตัวตนเปลือยเปล่า

สุดท้ายแล้ว

อัจฉริยะคนอื่นๆ ของตำหนักผาดำเองก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็น

ทันใดนั้น ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ที่อยู่ด้านบนพลันสั่นกระเพื่อม

“นั่นมัน”

อัจฉริยะจากตำหนักผาดำหลายคนตื่นตะลึง ตกใจจนใบหน้าซีดขาว จ้องมองไปยังกลางอากาศ

การก้าวเท้าของชื่อกุ้ยชะงักค้าง สีหน้าเย็นเยียบ

ภายใต้ผืนม่านแห่งราตรี ท้องฟ้าเหนือเนตรโคมวิญญาณได้ปรากฏ ‘เนตรสวรรค์’ ขึ้นจางๆ ส่องประกายสีฟ้าสว่างจ้า สายตาไร้ความรู้สึก ราวกับว่ายืนอยู่เคียงข้างฟ้าดิน จ้องมองทุกสิ่งเบื้องล่าง

‘เนตรสวรรค์’ ที่ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่านั้นมองตรงไปยัง ‘เนตรโคมวิญญาณ’ อยู่ราวหนึ่งลมหายใจ แรงกดดันที่มันสร้างนั้นไม่ต้องสงสัย

กิ้ง

เนตรโคมวิญญาณสั่นสะท้าน ส่องประกายเพลิงวูบ ถูกแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็นสลายไปในเสี้ยวพริบตา จางหายไปจากผืนม่านแห่งราตรี

ทุกสิ่งได้เกิดขึ้นภายในเวลาหนึ่งลมหายใจเท่านั้น

ชื่อกุ้ยที่อยู่ด้านล่าง จิตใจเชื่อมต่ออยู่กับ ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ส่งเสียงครางในลำคอออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในใจส่งเสียงกรีดร้องเตือน”นั่น… มันอันใดกัน?”

ร่างในชุดสีหม่นของตำหนักผาดำนิ่งอึ้งใบหน้าซีดขาว ตกใจจนสิ้นเสียง บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่าตื่นตะลึงเกินไป ทั้งยังใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ในความรู้สึกราวกับเข้าใจผิดไป

ทว่า ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ที่อยู่บนฟ้าได้ถูกทำลายไปแล้ว สูญเสียความสามารถในการแกะรอย กระทั่งแทบจะสะท้อนกลับไปยัง ‘ชื่อกุ้ย’

“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย นั่นมันวิชาดวงตาอันใดกัน สามารถขึ้นไปบนอากาศสูงได้เพียงนั้น มองลงมายังพวกเรา”

“ดวงตานั่นแม้จะไม่ได้สำแดงพลังที่สะท้านสวรรค์ ทว่าท่าทีเหนือกว่าสูงศักดิ์นั่นราวกับสามารถปกคลุมไปทั้งผืนฟ้า เป็นเหนือผู้ใดในฟ้าดิน”

อัจฉริยะจากตำหนักผาดำหลายคนปรากฏความหวาดกลัวขึ้น

แม้ว่า ‘เนตรสวรรค์’ นั่นจะไม่ได้แสดงพลังออกมา ทว่าท่าทีและแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็น รวมทั้งสายตาไร้ความรู้สึกนั้นได้สร้างความตื่นตะลึงให้พวกเขา ทำได้เพียงแค่แหงนมองขึ้นไป

“ดวงตาลึกลับนั่นอยู่ในชั้นบรรยากาศที่สูงกว่า ดูเหมือนเป็นวิชาดวงตาประเภทสังเกตการณ์ ทว่ามีท่าทียิ่งใหญ่ ใช้เพียงแรงกดดันทางจิตวิญญาณในการทำลาย ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ของข้าตรงๆ”

ชายหนุ่มจมูกดำ ‘ชื่อกุ้ย’ อดที่จะสูดลมหายใจลึกเข้าไปไม่ได้ มือทั้งสองกำแน่น ร่างสั่นสะท้านเล็กๆ

เปลวเพลิงในดวงตาของเขาเต้นตุบเล็กๆ แม้จะตกใจ ทว่าเขาก็ต้องยอมรับความจริง ในการประลองสายเลือดดวงตาครั้งแรก ตัวเขาได้พ่ายแพ้

บางทีพลังฝึกตนและความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้อาจจะด้อยกว่าตัวเขา

ทว่าในด้านของสายเลือดดวงตาที่เขาภาคภูมิใจ คู่ต่อสู้กลับลำบากเพียงจ้องมองอย่างเหยียดหยาม เขาก็พ่ายแพ้

คนที่แข็งแกร่งเช่นชื่อกุ้ย แม้จะรู้สึกหงุดหงิด ทว่ามันกลับกระตุ้นจิตต่อสู้ในกายของเขาให้มากขึ้นกว่าเดิมในยามนี้

ห่างออกไป บนต้นไม้สูง

จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิม หุ่นเชิดศพทั้งสองเป็นเหมือนผู้คุ้มกัน ยืนอยู่ข้างๆ

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ร่างกายปรากฏหยาดเหงื่อไหลโชก ใบหน้าขาวซีดลงเล็กๆ

เมื่อครู่นี้

สตินึกคิดของเขาได้ออกจากร่างกาย ขึ้นไปบนอากาศสูง ข้ามผ่านระยะห่างกว่า 100-200ลี้ อยู่ในมุมมองของปักษา ใช้แรงกดดันจิตวิญญาณที่ทรงพลังอย่างไม่อาจเทียบออกไป

ท่าทีและการกระทำทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในมุมมองอย่างผู้เหนือกว่า ราวกับลิขิตแห่งฟ้าดินต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงย่อมไม่อาจใช้ออกได้ดั่งใจ ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณถูกใช้ไปกว่าสามส่วนในเสี้ยววินาที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!