Skip to content

King of Gods 855

King Of Gods

บทที่ 855 เสียงเพรียกจากเทพปีศาจ

กลางอากาศ

แสงกระบี่แวววาวที่แปรสภาพจากผู้เฒ่าเคราขาวเริ่มหดกลับ ผิวนอกผุดระลอกแสงโปร่งใสบริบูรณ์ เสวียนอ้าวศาสตร์กระบี่สว่างไสวโคจรเป็นวัฏจักร

“เซียนกระบี่!”

ใบหน้ายิ้มแย้มของผู้เฒ่ายังเหมือนเคย เลือดเนื้อร่างกายค่อยๆ อ่อนจางลงจนเริ่มโปร่งใส รอยยิ้มบนใบหน้าเขาดูปล่อยวางและมีความสงบสุขหลายส่วน กวาดผ่านกลุ่มคนจากหอกระบี่ฟ้าก่อน แล้วจึงมองผ่านทุกคนในหอหลอมศาสตรา

ระหว่างนั้น แววตาผู้เฒ่าเคราขาวหยุดที่จ้าวเฟิง ก่อนพยักหน้าด้วยเจตนาดี

“เสวียนอ้าวศาสตร์กระบี่ของเขาเหนือกว่าตัวของตัวเอง ทั้งยังหลุดพ้นจากรูปกายชีวิตทั้งหมด…”

จ้าวเฟิงอดเคารพเลื่อมใสไม่ได้

ก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงรับรู้ถึงระดับขั้นเสวียนอ้าวศาสตร์กระบี่ของเซียนกระบี่ได้รางๆ อย่างน้อยมันคือขั้นจักรพรรดิชั้นยอด หรือแตะถึงเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ

ทว่า ระดับขอบเขตเทวาเร้นลับต่างจากปราณเทวะ การเปลี่ยนสภาพของระดับนี้รวดเร็วมาก ไม่ใช่แค่วิญญาณ แต่เน้นหนักที่ชั้นกายเนื้อมากกว่า หรือกล่าวได้ว่า ต่อให้สภาพวิญญาณไปถึง ก็ทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับไม่ง่าย และยามนี้ จ้าวเฟิงมองความลึกซึ้งของชั้นจิตกระบี่ศาสตร์วิญญาณในตัวผู้เฒ่าเคราขาวไม่ปรุโปร่งอีกแล้ว

มั่นใจได้ว่าความเชี่ยวชาญด้านกระบี่ของเขาอยู่เหนือกว่ายอดฝีมือศาสตร์กระบี่ที่จ้าวเฟิงเคยเจอมา รวมถึงจักรพรรดิศาสตร์วิชานี้ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ด้วย

ขณะนี้ เลือดเนื้อร่างกายของผู้เฒ่าเคราขาวอ่อนจางลงทีละน้อย ราวกับหิมะหลอมละลาย

“จะ…เจ้าพูดอะไรกับผู้อาวุโสเซียนกระบี่กันแน่!”

พวกหญิงชุดดำจากหอกระบี่ฟ้ามองจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าเป็นปฏิปักษ์และไม่พอใจ

เดิมทีรูปกายชีวิตของผู้เฒ่ายังไปไม่ถึงจุดสิ้นสุด

แต่เพราะ ‘หนึ่งประโยค’ จากจ้าวเฟิง ยังผลให้ชีวิตเขาในตอนนี้ค่อยๆ สูญสลายหนักขึ้น

“น่าเสียดายนัก ชีวิตกับวิญญาณของท่านไปถึงจุดจบภายใต้การเผาผลาญครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่เช่นนั้น แค่ต้องเปลี่ยนร่างใหม่สักร่างหรือสร้างกายเนื้อใหม่ อนาคตจะข้ามผ่านขั้นจักรพรรดิหรือเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับก็ไม่เป็นปัญหา”

จ้าวเฟิงกล่าวเจือความเสียดาย

พึ่งพาเพียงเจตจำนงแก่กล้าหรือเสี้ยวความคิด คงยากจะเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่

เจตจำนงและเศษเสี้ยวความคิด คือพลังจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานดวงวิญญาณ ผสานความลึกซึ้งในเสวียนอ้าวที่ทรงพลังเข้าไป แต่เจตจำนงกับเสี้ยวความคิดไม่ได้หมายถึงดวงวิญญาณ จะเปลี่ยนร่างกำเนิดใหม่ เงื่อนไขต่ำสุดคือต้องมีดวงวิญญาณ เสี้ยววิญญาณ หรืออย่างน้อยเป็นชิ้นส่วนวิญญาณ

การ ‘ใช้เลือดคืนชีวิต’ ของครึ่งเซียนคุนอวิ๋น คือการฝึกบำเพ็ญอย่างดีในชีวิตก่อน หล่อหลอมผสานกลิ่นอายของภาชนะวิญญาณเข้าสู่เลือดเนื้อทุกชุ่นในกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ดับสูญ

ด้วยเหตุนี้ ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นใช้เพียงเลือดหนึ่งหยดกับเสี้ยววิญญาณหนึ่งส่วนก็ฟื้นคืนชีวิตได้ ทว่า ชีวิตกับวิญญาณของเซียนกระบี่ถึงขีดจำกัดภายใต้การกระตุ้นเผาผลาญครั้งสุดท้าย แทบจะเหมือนดับดิ้นไปแล้ว

จิตกระบี่วิญญาณที่หลุดพ้นของเขาในตอนนี้ก็เกิดขึ้นบนพื้นฐานนี้เช่นกัน

“ได้ลึกซึ้งใน ‘เสวียนอ้าวกระบี่วิญญาณ’ ที่เหนือกว่าทั้งชั่วชีวิต ข้าตายก็ไม่เสียดาย!”

ก่อนจะสลายไปทีละน้อย ผู้เฒ่าเคราขาวเผยยิ้มพอใจเป็นครั้งสุดท้าย

เคร้ง! วินาทีถัดมา เงากระบี่วิญญาณวาววับสมบูรณ์ซึ่งสามารถเห็นกลิ่นอายกับเค้าโครงผู้เฒ่า หลอมรวมเข้าในอาวุธเทพเก่าแก่ ‘กระบี่สนิมทองแดง’

สวบ! ขณะ ‘เศษกระบี่เทพเก่าแก่’ สั่นไหว มันลากเงาเขียวหม่นเยียบเย็นโบราณออกมา อานุภาพวิชากระบี่ที่ไม่อาจต่อต้านบีบให้ทุกคนแถวนั้นพากันถอยร่น

แต่คราวนี้ แม้เศษกระบี่เทพเก่าแก่จะมากพลานุภาพ แต่กลับเก็บงำไว้ ไม่ทำร้ายคนทั้งหลาย

“ผู้อาวุโสเซียนกระบี่!”

หญิงชุดดำฝั่งหอกระบี่ฟ้ามีสีหน้าตื่นตกใจ มือกุมเศษกระบี่สีเขียวครามทั้งเล่ม

ทันใดนั้น แววตาคนทั้งหมดตกอยู่ที่นาง

“หญิงผู้นี้ได้อาวุธเทพเก่าแก่ไป!”

“ม่อตงเหยา ยังเป็นอัจฉริยะสายกระบี่ผู้ยอดเยี่ยมที่สุดในรุ่นจากหอกระบี่ฟ้า ในบรรดาคนหลายพัน พรสวรรค์ศาสตร์กระบี่ของนางเป็นรองเพียงเซียนกระบี่”

สายตาทุกคนจับจ้องที่หญิงสาวชุดดำ

หญิงสาวชุดดำหรือ ‘ม่อตงเหยา’ คือผู้ถูกเลือกศาสตร์กระบี่รุ่นใหม่ของหอกระบี่ฟ้า

ก่อนนี้นางประมือกับจ้าวหยูเฟย เพราะด้อยกว่าเล็กน้อยจึงพ่ายแพ้ไป แต่เมื่อเซียนกระบี่ลาลับ สายตาที่คนทุกผู้มองยัง ‘ม่อตงเหยา’ ก็ยากจะปิดบังความละโมบในนั้น

อาวุธเทพเก่าแก่เล่มหนึ่ง หากตกอยู่ในมือราชวงศ์ของทวีปจะนำมาซึ่งส่งผลกระทบเช่นไร?

ถึงแม้เป็นอาวุธเทพชำรุดผุพัง ก็ยังเป็นขอบเขตของเทพ เกี่ยวพันกับ ‘ขอบเขตเซียนสวรรค์’ ที่สูงส่งเกินเอื้อม ขั้วอำนาจทั่วไปคุ้มกันรักษามันไม่ไหวแน่นอน

ฝ่ายที่มีความสามารถนี้ในบริเวณนั้น มีแค่เหล่าราชนิกุลกับวังลอยฟ้า

“อาวุธเทพเก่าแก่…เกรงว่าในราชวงศ์ต้าเฉียนยังไม่มีแม้สักชิ้น”

แววตาองค์ชายสิบสามมีไฟลุกโชน

ลองคิดดู ถ้าเขานำอาวุธเทพเก่าแก่ออกไป มอบให้เชื้อพระวงศ์ สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง การแย่งชิง ‘ตำแหน่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์’ ในอนาคต อัตราความสำเร็จจะมากขึ้นส่วนหนึ่ง

“ไปกันเถอะ” จ้าวเฟิงพลันเอ่ย ก่อนเดินออกจากหอหลอมศาสตราไปพร้อมหนานกงเซิ่ง

จ้าวเฟิงไม่สนใจอาวุธเทพเก่าแก่เสียเท่าไหร่ อย่างน้อยความสนใจตอนนี้ก็ไม่มากนัก สำหรับราชันและจักรพรรดิทั่วไป อาวุธเทพชั้นรองหนึ่งชิ้นล้วนนำความยุ่งยากมาให้ได้ นับประสาอะไรกับอาวุธเทพเก่าแก่?

ขั้วอำนาจที่ไม่ถึงระดับสามสี่ดาว ไม่อาจเก็บรักษาเศษกระบี่เทพเก่าแก่ไว้

พวกจ้าวเฟิงสองคนเพิ่งหมุนตัว องค์ชายสิบสามก็ตั้งใจจะลงมือพอดี

พรึ่บ! พริบตาเดียว เบื้องหลังหญิงสาวชุดดำ ‘ม่อตงเหยา’ พลันปรากฏเงาขาวคมกระบี่โปร่งใสแวววาว เงาขาวคมกระบี่แผ่พลังกระบี่ทำลายล้างฟ้าดินที่ไม่ดับสลาย

“อ๊าก…”

มีฝ่ายเชื้อพระวงศ์เป็นผู้นำ เหล่าราชันที่มีเจตนาร้ายบางคนจิตใจเจ็บแสบ วิญญาณคล้ายเปลวเทียนวูบไหวกลางลม ราวกับสูญสิ้นได้ทุกเวลา หัวใจมีความรู้สึกสิ้นหวังหวาดกลัวเอ่อท่วมท้น

“ฮึ!”

เงาขาวคมกระบี่เผยให้เห็นเค้าโครงร่างเย็นชาน่าเกรงขามของเฒ่าเคราขาวอยู่รางๆ

“ไว้ชีวิตด้วย! ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไว้ชีวิตด้วย!”

ราชันผู้มีแผนชั่วในใจเหล่านั้น รู้สึกหลอนไปว่าอยู่เบื้องหน้าเซียนกระบี่ในช่วงสุดยอด ได้เผชิญหน้ากับอาวุธเทพเก่าแก่

เพียงชั่วพริบตา ภายในหอหลอมศาสตรา วิญญาณอัจฉริยะราชันทั้งหลายเกิดความรู้สึกว่าตนช่างเล็กจ้อย ผู้แข็งแกร่งเช่นเซวียนหยวนเหวิน พลังวิญญาณยังสั่นไหว ประหนึ่งยอดอ่อนต้นไม้ภายใต้พายุฝนรุนแรง

“การโจมตีจากกระบี่ที่มุ่งเพียงชั้นวิญญาณ…นี่คือเสวียนอ้าวกระบี่วิญญาณงั้นหรือ?”

จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ ‘ม่อตงเหยา’ ผู้สุขุมเย็นชาลากกระบี่เทพในมือ เกิดเป็นคมกระบี่เขียวหม่นที่ไม่ดับสลาย อานุภาพน่าสะพรึงของกระบี่เก่าแก่ปกคลุมกดดันทุกคน

ราชันส่วนหนึ่งตรงนั้นหวาดกลัวตัวสั่น คิดจะต่อต้านสักเล็กน้อยยังทำไม่ได้

“เป็นไปได้อย่างไร ม่อตงเหยากลับควบคุมเศษกระบี่เทพเก่าแก่ได้…”

องค์ชายสิบสามกลัวเกรงจนหน้าซีด หายใจไม่ออก ยามนี้ หากม่อตงเหยายินยอม เพียงหนึ่งความคิดก็สังหารเขาได้ทันที ต่อให้เป็นจักรพรรดิปราณเทวะทั่วไป ก็ไม่กล้าต่อกร ‘ม่อตงเหยา’ ในตอนนี้ตรงๆ

“ผู้ครอบครองกระบี่เทพที่แท้จริงคือผู้เฒ่าเคราขาวในสภาพ ‘กระบี่วิญญาณ’ ม่อตงเหยาเป็นแค่กายเนื้อของผู้ใช้”

ศิษย์พี่จูเก๋อสูดลมหายใจเข้าลึก

เฒ่าเคราขาวได้รับการยอมรับจากกระบี่เทพเก่าแก่ กระทั่งกลายสภาพเป็นกระบี่วิญญาณ ผสานเป็นหนึ่งกับมัน!

หรือกล่าวได้ว่า ผู้เฒ่าเคราขาวยอมให้ผู้ใดใช้กระบี่ ผู้นั้นก็ทำได้ พูดจากในมุมมองหนึ่ง เขาคือวิญญาณกระบี่ที่มีจิตสำนึกของตน และพิเศษเฉพาะยิ่งกว่า

“น้องชาย!”

เงาขาวคมกระบี่กึ่งโปร่งแสงด้านหลังม่อตงเหยามีเสียงแก่ชราดังมา

“หืม?” ฝีเท้าจ้าวเฟิงชะงักไป

เขาหันไปมองม่อตงเหยา แน่ใจว่าเสียงนั้นร้องเรียกตน

“ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”

จ้าวเฟิงไม่กล้าเมินเฉย

ผู้เฒ่าเคราขาวในสภาพตอนนี้ แม้จะละทิ้งชีวิตแล้ว แต่จากการดำรงอยู่ในอีกสภาวะหนึ่ง พลังของเขามากกว่าตอนยังมีชีวิตไม่รู้กี่เท่า

“น้องชาย” เสียงแก่ชราจากเงาขาวคมกระบี่ถอนใจเอ่ย “ยังมีเวลาอีกยี่สิบวัน มังกรวารีล้างโลกาจะฝ่าเข้ามาในคฤหาสน์ได้ ถึงคราวนั้น คนทั้งหมดคงโชคดีหนีรอดไปได้ยาก หวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยทุกคนคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้”

กล่าวจบ ทุกคนในที่นั้นประหลาดใจ เมื่อขบคิดใจก็สั่นสะท้าน คนระดับหลุดพ้นเช่นเซียนกระบี่ กลับฝากฝัง ‘ความหวัง’ ไว้ที่ตัวเด็กหนุ่มหนึ่งในสองคนชั่ว

คนผู้นี้ไม่ใช่เซวียนหยวนเหวิน ไม่ใช่องค์ชายสิบสามของราชวงศ์ แต่เป็นเด็กหนุ่มชั่วช้าที่โด่งดังเรื่องการปล้นชิง ทว่าไม่อาจไม่ยอมรับได้ จนถึงตอนนี้ ราชันทั้งหลายยังมองเด็กหนุ่มเลวทรามคนนี้ไม่ปรุโปร่งทั้งหมด ถึงขั้นหวาดกลัวและตื่นตัวกันมาก

“ข้า?” จ้าวเฟิงหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องขบขัน

สีหน้าท่าทางคล้ายจะบอกว่า ท่านให้หัวขโมยชั่วคนหนึ่งไป ‘กอบกู้โลก’ ไม่ดูเหมือนการละเล่นของเด็กไปหน่อยหรือ?

“ข้าไม่รู้ความเป็นมาของเจ้า แต่เชื่อมั่นว่าเจ้าทำได้ และมีหวังมากกว่าคนอื่นใด นี่ไม่ใช่แค่ลางสังหรณ์ของข้า แต่เป็นของอาวุธเทพเก่าแก่ด้วย”

เสียงแก่เฒ่ากล่าวอย่างจริงจัง

อาวุธเทพเก่าแก่?

จ้าวเฟิงใจชาวาบเล็กน้อย หรือว่ากระบี่เทพจะรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของ ‘เนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า’?

สายเลือดดวงตาซ้ายของเขามาจากเทพบรรพกาล และอาวุธเทพเก่าแก่ก็อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ เป็นศาสตราวุธของเทพ

“หากเจ้าช่วยให้กำลังคนหอกระบี่ฟ้าหนีรอดปลอดภัยได้ ข้าจะติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง”

เงาขาวคมกระบี่ให้คำมั่นสัญญา

“ได้ พูดคำไหนเป็นเปเป้เปเปนคำนั้น”

แววตาจ้าวเฟิงทอประกาย แม้ชีวิตของเซียนกระบี่ถึงจุดสิ้นสุด ทว่าสภาพตอนนี้อาจน่ากลัวยิ่งกว่า อีกอย่าง การจะคลี่คลายวิกฤตนี้ของมังกรวารีล้างโลกา อาศัยแค่กำลังจ้าวเฟิงคนเดียวออกจะไม่เพียงพอ

สักครู่ต่อมา ผู้นำของขั้วอำนาจทั้งหมดมารวมตัวกันที่หน้าหอหลอมศาสตรา

ครั้งนี้ จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งไม่ได้เคลื่อนไหวลำพัง แต่อยู่ในกลุ่มคนเช่นกัน

“หอผลึกม่วงหลังนั้นเป็นถึงใจกลางสำคัญของทั้งคฤหาสน์เสียหยาง…”

จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย

สายตาทุกคนจับจ้องที่หอผลึกม่วงกว้างใหญ่สูงเสียดฟ้า

หอเจดีย์นั้นตั้งอยู่จุดศูนย์กลางที่สุดของคฤหาสน์ เมื่อสายตามองไป พลังอำนาจน่าพรั่นพรึงเกินจะเปรียบทำให้ราชันทั้งหมดจิตใจสั่นไหว

“กุญแจของโซ่ผนึกวิญญาณและแกนกลางของค่ายกลอาจจะอยู่บริเวณนั้น”

ศิษย์พี่จูเก๋อกล่าวเสียงเบา

มหันตภัยครั้งใหญ่จากมังกรวารีทมิฬบีบเข้ามาใกล้ทีละก้าว ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะไปสำรวจหาโอกาสอื่นอีก บางที การค้นหาโอกาสในคฤหาสน์เสียหยาง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงหนึ่งในสิบหรือกระทั่งหนึ่งในร้อย ต่อให้เก็บเกี่ยวมาได้มากกว่านี้ ทว่ามีชีวิตรอดออกไปไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร?

“ออกเดินทาง!” กำลังคนแกร่งกล้าจากราชวงศ์ต้าเฉียนจากไปก่อน โผทะยานไปทางหอผลึกม่วง ต่อจากนั้น กลุ่มของขั้วอำนาจเช่นวังลอยฟ้า ตระกูลตวนมู่ พากันเร่งไปยังจุดหมายเดียวกัน

“ไปเถิด”

จ้าวเฟิงกับหนางกงเซิ่งมุ่งไปที่หอผลึกม่วงเช่นกัน

จุดที่แตกต่างคือ กำลังคนของหอกระบี่ฟ้าตามหลังมารคู่ผมม่วงไป

“ถ้าไม่ใช่คำสั่งของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ข้าไม่ติดตามสองโจรชั่วนี่ไปหรอก”

ใบหน้าม่อตงเหยาเย็นชา ไม่สมัครใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคนของหอกระบี่ฟ้าเดินทางตามสองโจรผมม่วง กลับรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด

“เข้าใกล้ขึ้นทุกที เสียงเรียกจากพลังกลุ่มนั้น…”

ตราโลหิตม่วงระหว่างคิ้วหนานกงเซิ่งสีสด ชั่วร้าย ให้ความรู้สึกแผดเผา ประหนึ่งมีหัวใจดวงที่สองเต้น ‘ตึกตัก’ อยู่ตรงหว่างคิ้วก็ไม่ปาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version