บทที่ 860 หนทางหนีรอด
ชั้นบนสุดของหอคอยปีศาจ
หนานกงเซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น อารมณ์บนใบหน้ามีบางจุดที่แตกต่างไปจากที่ผ่านมา
ในแหล่งกำเนิดโลกมิติส่วนตัวยึดผลึกปีศาจเป็นใจกลางสำคัญ แสงศักดิ์สิทธิ์โลหิตม่วงที่ชั่วร้ายทรงพลังจำนวนมากดูดซึมและโคจรภายในร่างของเขา
จ้าวเฟิงและโม่ตงเหยาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดของกลิ่นอายบนร่างหนานกงเซิ่ง ขณะเดียวกันกับที่พลังเพิ่มพุ่งพรวดในช่วงเวลาสั้นๆ อุปนิสัยจิตใจของเขาก็บิดเบี้ยวและเปลี่ยนแปลงตามมันไปทีละนิด
ในความเป็นจริงแล้ว ยอดฝีมือคนใดก็ตามที่อยู่ในระหว่างหนทางของการฝึกตน นิสัยใจคอจะเปลี่ยนไปทีละน้อยตามการเพิ่มขึ้นของพลังฝึกตน เพียงแต่สถานการณ์เช่นนี้ของหนานกงเซิ่งแสดงให้เห็นรุนแรงนัก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ ‘ผิดธรรมชาติ’
แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อนิสัยใจคอของเขา ถึงขั้นที่ว่าสามารถบิดเบี้ยวเปลี่ยนบุคลิกเป็นอีกคนนึงไปเลย
แต่เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับ ‘ร่างจิตเทพปีศาจ’ อย่างแน่นอน
จ้าวเฟิงและเซียนกระบี่ร่วมมือกันทำลาย ‘ร่างจิตเทพปีศาจ’ ให้ย่อยยับไปเรียบร้อย จะทำอย่างไรได้ ร่างความคิดนี้มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งเกินจะเปรียบ และไม่ได้เป็นดวงวิญญาณ ถึงแม้แหลกละเอียดไปแล้วก็ยังคงไม่สูญสลายไป
สิ่งที่ยากจะแก้ไขที่สุดคือ มันกลายเป็นเศษกระจัดกระจายและหลอมรวมเข้ากับพลังของหนานกงเซิ่งอย่างสนิทแนบแน่น
สำหรับจ้าวเฟิง เขาได้ชี้แนะอย่างถึงที่สุดแล้วโดยไม่ต้องสงสัย
ถ้าหากไม่ได้การขัดขวางจากเขา นิสัยใจคอของหนานกงเซิ่งอาจจะบิดเบี้ยวจนกลายเป็นอีกคนไปแล้ว บางที เขาอาจถูกเซียนกระบี่ที่ผสานรวมกับอาวุธวิเศษลงมือสังหารก่อนก็เป็นได้
“จ้าวเฟิง ได้แรงสนับสนุนมหาศาลตลอดทางของเจ้า บุญคุณในครั้งนี้ ข้าหนานกงเซิ่งจะไม่มีวันลืม!” บนใบหน้าชั่วร้ายของหนานกงเซิ่งเผยแววซาบซึ้ง
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็กำลังทุ่มเทสุดกำลังเพื่อต้านทานพลังที่จะส่งผลต่อนิสัยใจคอของตนเอง
จ้าวเฟิงและเงากระบี่สีขาวเบื้องหลังโม่ตงเหยาสบตากันเล็กน้อย เพื่อตัดสินสภาวะในยามนี้ของหนานกงเซิ่ง
ดูจากในเบื้องต้น นิสัยใจคอของหนานกงเซิ่งได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งแล้ว แต่ว่าเขายังคงรู้เรื่องบุญคุณ เห็นได้ว่าบุคลิกโดยธรรมชาติของเขาไม่ได้บิดเบี้ยวไปด้วย อย่างน้อยๆ นิสัยของเขาก็ไม่ถูกร่างความคิดเทพปีศาจเข้ามาแทนที่
“แต่การเลือกในวันนี้ ข้าไม่เสียใจภายหลังเลย…”
หนานกงเซิ่งสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลไร้ขอบเขตตรงส่วนลึกในร่างกาย เหมือนว่ามันสามารถยึดครองกดดันฟ้าและดิน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างพึงใจ
การได้รับพลังมาจะไม่จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลได้อย่างไร?
สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงแค่ริเริ่มขุดค้น ‘ขุมพลัง’ กลุ่มนี้ทีละนิด
ในตอนนี้ หนานกงเซิ่งเพียงแค่ดูดซับพลังไปเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นเท่านั้น พลังความสามารถของเขาสูงส่งขึ้นราวติดปีก
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ในที่สุดจ้าวเฟิงก็เปิดปากเอ่ย “หนานกงเซิ่ง ข้าคงช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่ว่าเจ้าและ ‘ร่างจิตเทพปีศาจ’ จะตกลงกันว่าอย่างไร จะสำเร็จหรือล้มเหลวในภายภาคหน้าก็คงขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
เมื่อหนานกงเซิ่งได้ยินอย่างนั้น ตัวก็พลันสั่นเทา ร่างจิตเทพปีศาจที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขาก็ส่งเสียง ‘เอ๊ะ’ ด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน
คนทั้งสองเหมือนจะตกใจ จ้าวเฟิงรู้เรื่องข้อตกลงระหว่างพวกเขาได้อย่างไร
ทันทีที่เอ่ยจบ จ้าวเฟิงก็หมุนกาย เดินลงไปด้านล่างของหอคอยปีศาจ
โม่ตงเหยายืนอยู่ที่เดิม มองหนานกงเซิ่งด้วยสายตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเกิดความรู้สึกไม่ยินยอม แต่กลับต้องจากไปอย่างเสียไม่ได้
“ไปกันเถอะ ไม่มีความร่วมมือจากจ้าวเฟิง พวกเรายากที่จะรับมือหนานกงเซิ่งที่พลังสูงขึ้นพุ่งพรวดได้ ” น้ำเสียงชราของเซียนกระบี่ดังก้องอยู่ข้างหู
ดวงตาสีม่วงเงินของหนานกงเซิ่งกะพริบอยู่หลายที มองส่งแผ่นหลังที่จากไปของจ้าวเฟิงด้วยแววตาสับสน
“จิ๊ จิ๊…ในใจของเจ้า เจ้าหนุ่มนี่เหมือนจะเป็นยอดเขาสูงซึ่งไม่สามารถเอาชนะได้?ไม่ต้องกังวลใจไป ขอแค่เจ้าและข้าร่วมมือกัน ใช้เวลาไม่นานก็จะเหนือกว่าเขาได้” ร่างจิตเทพปีศาจจุปากเอ่ยอย่างมีเลศนัย
บนใบหน้าของหนานกงเซิ่งมีร่องรอยการดิ้นรนอยู่หลายส่วน พลางเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมองข้อตกลงระหว่างเราออก”
“เหอะ! ไม่มีความช่วยเหลือของข้า เจ้าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์โหดร้ายนี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร และยังโคจรดูดซับพลังเซียนที่เจือจางหลายสายนั้นเอาไว้ เจ้าเด็กนั่นจะมองออกก็ไม่แปลกประหลาดนัก” ร่างจิตเทพปีศาจแค่นเสียงเย็น
ยอดหอคอยปีศาจ
หนานกงเซิ่งนั่งขัดสมาธิ กลิ่นอายบนร่างก็ยิ่งสาดซัดออกมาอย่างรุนแรงขึ้น
ไม่ถึงครึ่งวัน พลังฝึกตนของเขากลับทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะช่วงสุดยอดได้อย่างสบายๆ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิปราณเทวะจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงสภาพในระดับชั้นวิญญาณ เกรงว่าเขาคงทะลวงขึ้นเป็นจักรพรรดิไปได้แล้ว
แต่ทว่า ระลอกพลังที่ไหลหลั่งออกจากร่างของหนานกงเซิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นปราณเทวะจะเสมอเหมือน ต่อให้เป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับมาด้วยตนเองก็ยังต้องเปลี่ยนสีหน้า
เวลาเดียวกัน คนอื่นๆ ในหอคอยปีศาจต่างทยอยกันจากไปแล้ว
รวมไปถึงเซวียนหยวนเหวินที่ตกตะลึงในระลอกพลังเทพชั้นบนสุด ไม่อยากเข้าไปเสี่ยงอันตราย ด้วยเพราะกลิ่นอายของพลังกลุ่มนั้นไม่เหมาะสมกับร่างของเขาสักนิด ไม่คุ้มที่จะเอาตัวไปเสี่ยงด้วย แต่ทว่า ในระหว่างทางที่จ้าวเฟิงเดินทางกลับ ก็เจอกับจ้าวหยูเฟยที่ลองขึ้นไปค้นหาด้านบน
“พี่เฟิง! ท่านไม่เป็นอะไรก็ดี…” จ้าวหยูเฟยผ่อนลมหายใจยาวด้วยท่าทางหวาดกลัว
ก่อนหน้านี้ ระลอกพลังเทพเซียนบนยอดหอคอยปีศาจ พลานุภาพของกลิ่นอายกลุ่มนั้นช่างน่ากลัวเสียจริง เกรงว่าถึงจะเป็นเวลานี้ ยอดหอคอยปีศาจก็ยังคงมีระลอกพลังที่ทำให้คนหวาดกลัว และมากพอจะเขย่าขวัญจักรพรรดิปราณเทวะ
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟย และโม่ตงเหยาเดินออกจากหอคอยปีศาจ
“เอ๋! เหตุใดไม่เห็นหนานกงเซิ่ง?” ในที่สุดจ้าวหยูเฟยก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
โม่ตงเหยาอึกอักอยากจะพูด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้กล่าว
ถ้าหากให้คนทั้งโลกล่วงรู้ว่าหนานกงเซิ่งผู้นั้นสืบทอดเศษเสี้ยวพลังส่วนหนึ่งของเทพเสียหยาง และยังรับผลกระทบจากร่างจิตเทพปีศาจ ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างไร
“เดี๋ยวไม่นานนักหนานกงเซิ่งก็จะลงมา” จ้าวเฟิงมีสีหน้ามาดมั่น
ภยันอันตรายจากมังกรวารีล้างโลกาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญหน้าร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นหนานกงเซิ่งหรือร่างจิตเสียหยางนั่นก็ไม่สามารถมองข้ามอันตรายใหญ่หลวงนี้ได้
นับเวลาดูแล้ว มังกรวารีล้างโลกาตัวนั้นใช้เวลาประมาณสิบเจ็ดสิบแปดวัน ก็จะสามารถทะลวงเข้ามาสังหารภายในคฤหาสน์เสียหยางได้
ด้านนอกคฤหาสน์เสียหยาง กลิ่นอายทำลายล้างและเสียงคำรามของมังกรที่ดังลอดเข้ามาน้อยๆ คนที่มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมต่างรู้สึกถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ
ตุบ! สวบ สวบ! หลังจากที่จ้าวเฟิงและพวกลงมาก็เร่งรุดไปที่ ‘หอค่ายกลเทพ’ ซึ่งอยู่เยื้องไปด้านหลัง
ในขณะที่จ้าวเฟิงมาถึง ‘หอค่ายกลเทพ’ ยามนี้มียอดฝีมือมนุษย์ของสำนักมากมายมารวมตัวกัน
ภายในหอค่ายกลเทพ มีแกนกลางของค่ายกลเทพคุ้มกัน สิ่งนี้เกี่ยวพันกับความเป็นตายของผู้มาเยือนจากภายนอกจำนวนมากในคฤหาสน์ ในเวลานั้น กลุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์เก้าส่วนที่เข้าไปภายในคฤหาสน์เสียหยางต่างก็มาถึงที่ดังกล่าว
“หอค่ายกลเทพเปิดออกแล้ว…”
สีหน้าของโม่ตงเหยาฉายแววยินดี มองไปยังกรอบบานประตูที่สว่างเจิดจ้าบานหนึ่งด้านหน้าหอมืดสนิท
หน้าประตูสีขาวบานนั้นมีราชันปราณเทวะเกือบสิบคน ร่วมมือรวบรวมปราณที่แท้จริงส่งเขาไปภายใน เพื่อประคับประคองการเปิดออกของ ‘บานประตูสีขาว’ หลีกเลี่ยงไม่ให้มันปิดลง
ภายในหอค่ายกลเทพ
ศิษย์พี่จูเก๋อและซินอู๋เหินรวมไปถึงปรมาจารย์ศาสตร์ค่ายกลส่วนหนึ่งรวมตัวอยู่ด้วยกัน กำลังปรึกษาหารืออะไรบางอย่าง
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะประสบความสำเร็จในการเข้าไปใน ‘หอค่ายกลเทพ’ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นแกนกลางของค่ายกลทเพคุ้มกัน สัญลักษณ์ค่ายกลซับซ้อนอย่างยิ่ง คิดจะควบคุมทำลายต้องใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน…”
ปรมาจารย์ศาสตร์ค่ายกลของเชื้อพระวงศ์ทอดถอนใจ
เหนือศีรษะของคนทั้งหมดสามารถมองเห็นริ้วลายสายฟ้าสีม่วงที่ค่อนข้างหนาแน่น เกาะกลุ่มรวมกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้น
ค่ายกลสายฟ้าสีม่วงแวววาวนั้น ในวินาทีที่โคจรเปลี่ยนแปลง จะมีระลอกสายฟ้าสว่างแปลบปลาบมากมาย ภายในค่ายกล ลวดลายค่ายกลที่ซับซ้อนแต่ละเส้น เข้าถึงและส่งผลกระทบไปทั้งค่ายกลเทพคุ้มกันของคฤหาสน์เสียหยาง
ภายในหอค่ายกลเทพมีที่ว่างขนาดใหญ่ยิ่ง เทียบเท่าได้กับปราสาทขนาดย่อมๆ
หนำซ้ำระลอกสายฟ้าสว่างแปลบปลาบเหล่านั้นในค่ายกลยังแฝงไปด้วยพลังชวนเขย่าขวัญ หลุดลอดออกมาเล็กน้อย-ก็สามารสังหารราชันผู้หนึ่งได้
ยามคนในหอเหล่านี้ต่างตรวจตรา ‘ค่ายกลสายฟ้าผลึกม่วง’ ตัวของพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง
ในขณะที่จ้าวเฟิงและพวกเข้าไปภายในหอค่ายกลเทพก็เหม่อลอยไปเช่นกัน
“ทั้งสามคนระวังด้วย! ‘ค่ายกลทเพคุ้มกัน’ แห่งนี้ทำงานมาเป็นระยะเวลาหลายปี จึงมีช่องโหว่อยู่หลายส่วน บางครั้งก็ยังสาดพลังลงมาเป็นระยะๆ ด้วย” ศิษย์พี่จูเก๋อเอ่ยเตือน
ด้านล่างค่ายกลสายฟ้าผลึกม่วงมองเห็นหลุมบางส่วน หนำซ้ำวัสดุโลหะทั่วทั้งหอค่ายกลแห่งนี้ แม้กระทั่งจักรพรรดิก็ยังยากที่จะทำลายมันลงไป
“ช่างเป็นแกนกลางค่ายกลขนาดมหึมาที่ซับซ้อนนัก!”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองผ่านๆ คิ้วขมวดมุ่น
ราชันและปรมาจารย์ค่ายกลจำนวนมากซึ่งนำโดยเซวียนหยวนเหวินและศิษย์พี่จูเก๋อ โจมตีที่นี่เป็นระยะเวลานานก็ยังหาจุดทะลวงผ่านไม่เจอ ถึงจะมีความคิดเห็นบางอย่าง ก็ยังไม่กล้าลงมืออย่างง่ายดาย เพราะว่าแกนกลางค่ายกลที่โคจรอยู่นั้นแฝงด้วยพลังมหาศาลไร้ขอบเขต และยังส่งผลกระทบถึงค่ายกลเทพคุ้มกันทั่วทั้งคฤหาสน์เสียหยาง
พลังของค่ายกลเทพ ระลอกพลังที่เหลืออยู่ก็สามารถสังหารราชันและจักรพรรดิได้
ที่แห่งนี้ต้องเป็นพื้นที่ต้องห้ามใจกลางคฤหาสน์เสียหยางแน่นอน
“ทุกคนอย่าลองทำลายแกนกลางค่ายกลคุ้มกันเพื่อให้มังกรวารีทมิฬละเว้นโทษเลย ค่ายกลแห่งนี้มีกลไกในการป้องกันตัวเอง แรงสะท้อนกลับของมันก็มากเกินกว่าที่ขีดจำกัดของพวกเราทั้งหมดจะแบกรับไหว”
ซินอู๋เหินเอ่ยทักท้วง
แววตาของเขากวาดผ่านร่างของพวกจ้าวเฟิงสามคน ก่อนมีแววสงสัย
เหมือนว่าเขากำลังประหลาดใจ ‘หนานกงเซิ่ง’ ที่ไม่เคยห่างจากกายจ้าวเฟิงไป หลังจากที่เข้าไปภายในหอคอยปีศาจแล้ว เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัว?
จ้าวเฟิงไม่ได้อธิบายอะไร
เขาเปิดดวงตาเทพเจ้าข้างซ้าย สอดส่องวิเคราะห์การจัดกระบวนและรูปร่างของค่ายกลที่มีริ้วสายฟ้าสีม่วงแห่งนั้น ให้ความช่วยเหลือพวกศิษย์พี่จูเก๋อและซินอู๋เหินทำลายมัน
การจัดการของจ้าวเฟิงทำให้การวิเคราะห์ทำลายค่ายกลก้าวหน้ามากขึ้นพอควร
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเจ็ดวัน
จากการวิเคราะห์ของจ้าวเฟิง หลักการของค่ายกลริ้วสายฟ้าปรากฏขัดเจนขึ้นหลายส่วน อย่างไรก็ตาม ความพยายามร่วมกันของคนทั้งหมด ยังทำได้แค่มีความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับหลักของค่ายกลเท่านั้น
อยากจะทำลายหรือไม่ก็ควบคุมค่ายกลเทพคุ้มกันยังคงเป็นภาระที่หนักหนาเอาการ
“อย่างไรก็เป็นถึงขอบเขตของเทพ…”
ศิษย์พี่จูเก๋อครุ่นคิดอย่างหนัก บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏความอ่อนล้า
ด้านหน้าของหอค่ายกลเทพ ครึ่งก้าวสู่ราชันและราชันจำนวนมากในกลุ่มตกอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดหนักหน่วง
ยังมีเวลาอีกสิบวัน มังกรวารีล้างโลกาก็จะสามารถทะลวงสังหารเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยางได้
“ยังเหลือเวลาสิบวัน…”
ในคฤหาสน์เสียหยาง ราชันยอดฝีมือจำนวนมากสัมผัสได้ถึงการคืบคลานเข้ามาใกล้ของอันตรายจากความตาย
จ้าวเฟิงและเซวียนหยวนเหวินมีพลังจักรพรรดิ จึงถึงขั้นสัมผัสได้ถึงพลังมังกรทำลายล้างที่ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
พลังของค่ายกลเทพคุ้มกันอ่อนกำลังและอับแสงลงทีละน้อย
“อ๊าก…” “มังกรวารีล้างโลกา ข้าจะขอสู้สุดชีวิตกับเจ้า!”
สิบวันสุดท้าย อัจฉริยะยอดฝีมือส่วนหนึ่งถึงกับหมดหวัง ท่ามกลางความตึงเครียดกดดันจนถึงขีดสุด พวกเขาตะโกนออกมาและโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“ข้ามีอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ ในขณะที่ค่ายกลเทพคุ้มกันถูกฉีกแยกออกมากแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอาจหนีออกไปได้…”
จ้าวเฟิงวางแผนการหนีแล้วเรียบร้อย
มนตราอากาศมีพลังเดินทางไปมาในมิติ หรือกระทั่งเคลื่อนย้ายได้ แต่ต้องรอให้ถึงเวลาที่ค่ายกลเทพคุ้มกันใกล้จะพังทลาย มีพลังจำกัดน้อยที่สุดเท่านั้น
วิธีการนี้ยังคงมีอันตรายและข้อจำกัดต่างๆ อยู่มาก นอกจากนี้จ้าวเฟิงยังมี ‘ความคาดหวัง’ อีกอย่างหนึ่ง เขากำลังรอคอยอยู่
ในตอนบ่ายของวันนั้นเอง ลำแสงเสาโลหิตสีม่วงตระการตาหอบกลิ่นอายชั่วร้ายน่าพรั่นพรึงลอยดิ่งลงมาจากฟ้า
“ใครกัน!”
ครึ่งก้าวสู่ราชันและราชันที่อยู่ด้านหน้าของหอค่ายกลเทพสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจนยากจะหายใจ
วินาทีนั้น ปราณที่แท้จริงภายในร่างของยอดฝีมือจำนวนมากสั่นเทาแข็งค้าง แทบจะไม่สามารถควบคุมพลังของตนเอง
อัก! ครึ่งก้าวสู่ราชันต่างกระอักเลือดออกมา
พรึ่บ! คนทั้งหมดตื่นตระหนก มองไปยังบุรุษหนุ่มชั่วร้ายเรือนผมม่วง ตราประทับโลหิตม่วงสีสดปรากฏบริเวณหว่างคิ้ว ร่อนลงบนพื้นโดยลากเงาสีเงินม่วงลอยติดกันมาด้วย
“หนานกงเซิ่งผู้เป็นหนึ่งในคู่หูโจรชั่ว! เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้…”
ราชันปราณเทวะในที่ดังกล่าวอยู่ท่ามกลางระลอกพลังที่น่าสะพรึงกลัว จะหายใจยังรู้สึกลำบากยากเย็น