Skip to content

Outside Of Time 436


บทที่ 436 เมื่ออสูรสมุทรบรรพกาลผงาด

ครั้งนี้ สวี่ชิงขยายพลังกฎเกณฑ์ของตน ทะยานขึ้นไปในอาณาเขตที่ตนสยบ หานักโทษที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็หยิบแผ่นหยกออกมา คัดเลือกรายชื่อ

ที่เขาหาอยู่ ล้วนเป็นพวกผู้บำเพ็ญที่ตอนที่ถูกจับมาอยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดขั้นบริบูรณ์ นักโทษพวกนี้ที่นี่ อยู่ห่างจากเคราะห์สวรรค์แค่ประตูก้าวเดียวเท่านั้น

เพียงไม่นานสวี่ชิงก็เล็งไว้สี่คน ขณะทำปางมือก็ใช้พลังกฎเกณฑ์ออกค้นหา ไม่นานนักเขาก็พบกับผู้บำเพ็ญเผ่าปีกทะยานคนหนึ่ง

นักโทษคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิ

และพริบตาต่อมา จากการที่จุดที่เขาอยู่ส่งเสียงครืนครัน แผ่นดินแตกระเบิดเป็นรูกว้างขนาดยักษ์ เผ่าปีกทะยานคนนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีท่ามกลางเสียงครืนครัน

แม้เขาจะปฏิกิริยาฉับไว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แท้จริง ก็ไม่มีประโยชน์อันใด

พลังมหาศาลวูบหนึ่งโถมลงมา ฝืนกระชากร่างของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า

ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ และไม่ยอมให้ดิ้นรนแม้แต่น้อย

ด้วยพลังบำเพ็ญต่อสู้ของสวี่ชิง เขาสามารถสะกดนักโทษที่นี่ได้ทั้งหมดภายใต้กฎเกณฑ์

ดังนั้นในพริบตา ขณะที่ด้านนอกสายลมเมฆคำราม ปราณก่อกำเนิดเผ่าปีกทะยานที่ตบสวี่ชิงตายได้ด้วยมือเดียวก็ถูกสวี่ชิงคว้าคอเอาไว้มั่น

“ใต้เท้า”

แม้ว่าในใจจะอดสู แต่ผู้บำเพ็ญปีกทะยานคนนี้ก็ยังเอ่ยอย่างระมัดระวัง เผยสีหน้าเอาอกเอาใจ

สวี่ชิงไม่พูดจา สายตาเย็นเยียบ หลังจากสังเกตอย่างละเอียด ก็โยนเผ่าปีกทะยานคนนี้ทิ้งไว้ใกล้ๆ จากนั้นก็โยนยาลูกกลอนไปหลายเม็ด

ยาลูกกลอนเหล่านี้แฝงปราณวิญญาณที่เข้มข้นไว้ อยู่ด้านนอกก็ถือเป็นลูกกลอนที่ไม่เลว ยิ่งอยู่ที่นี่ก็ยิ่งล้ำค่าขึ้นไปอีก เมื่อนักโทษเผ่าปีกทะยานคนนั้นเห็นก็ตกตะลึง แต่ดวงตาที่เผยออกมากลับไม่ใช่ความดีใจ แต่เป็นความลังเล

เขาเข้าใจดี เมื่อเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นมักจะมีอะไรซ่อนอยู่ จึงมองไปทางสวี่ชิงอย่างกระวนกระวาย

“ใต้เท้า นี่คือ…”

“เจ้าจะกินลงไปเอง หรือจะให้ข้ายัดมันลงไปหลังจากเจ้าตาย” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบ

นักโทษเผ่าปีกทะยานเริ่มโมโหแล้ว แต่ก็ฝืนระงับ เขารู้ผลลัพธ์ที่ตามมาหากไม่ทำตามจะเป็นอย่างไร จึงกัดฟันกินยาลูกกลอนนั้นทั้งหมด

แต่ก็ยังเหลือความระแวดระวังไว้ ควบคุมความเร็วการสูดรับ

สวี่ชิงขมวดคิ้ว ฟาดฝ่ามือลงไปจนผู้บำเพ็ญเผ่าปีกทะยานคนนี้ร้องเสียงแหลม ร่างเกือบจะแตกดับ หลังจากล้มลงไปก็หายใจรวยริน

แต่เขาก็แค่กายเนื้ออ่อนแอเท่านั้น ปราณวิญญาณภายในจากการที่ยาลูกกลอนผสานเข้าไปจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หลังจากสวี่ชิงตรวจสอบก็พบว่ายังไม่พอ จึงง้างปากของอีกฝ่ายออก แล้วใส่เข้าไปอีกหลายเม็ด

พริบตาต่อมา ภายใต้การหลอมละลายของยาลูกกลอนเหล่านี้ ระลอกคลื่นที่ใกล้จะทะลวงขั้นก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของผู้บำเพ็ญปีกทะยานคนนี้

ตอนที่เขาถูกจับมาก็เป็นปราณก่อกำเนิดสูงสุด หลายปีมานี้ถึงระดับที่จะทะลวงขั้นแล้ว เพียงแต่การจะขึ้นสู่สมบัติวิญญาณจำเป็นต้องมีวิถีสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่พร้อม การทะลวงขั้นจึงล้มเหลว

แต่…ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลกระทบกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่นี่ การก่อร่างดาบทัณฑ์สวรรค์

ระลอกคลื่นนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญปีกทะยานคนนี้พรั่นพรึงทันที เขารู้ว่าสวี่ชิงคิดจะทำอะไร กำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ช้าไป ลมโหมเมฆโถมขึ้นในพริบตาบนท้องฟ้า เมฆาเคราะห์แผ่กระจาย

ผู้บำเพ็ญเผ่าปีกทะยานกรีดร้อง หนีทันที ทะยานออกไปไกล ยิ่งโจมตีใส่ร่างกายของตนเองไม่หยุด คิดจะสะกดพลังบำเพ็ญ ทำให้ทัณฑ์สวรรค์สลายไป

แต่ลงมือได้ไม่กี่ครั้ง ทั่วร่างเขาก็สั่นสะท้าน ร่างหยุดนิ่ง เผยสีหน้าคลุ้มคลั่ง แต่ดวงตากลับยังมีแววหวาดกลัว

ร่างกายราวกับถูกควบคุม ฝืนหันหลังคุกเข่าให้สวี่ชิง เอ่ยด้วยเสียงดัง

“นายท่าน…ข้ายอม…ตาย!”

คำพูดตะกุกตะกัก แสดงว่าเจ้าเงาควบคุมเขาได้ไม่มั่นคง ตอนนี้คำพูดของเผ่าปีกทะยานก็ดูดิ้นรนอย่างรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไป ความคุ้มคลั่งหายไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ดูเหมือนกำลังจะหลุดพ้น

ตอนนี้ก็มีเสียงอัสนีครืนครันบนท้องฟ้า สายอัสนีนับไม่ถ้วนก่อร่างเป็นดาบสวรรค์ตัดวิถี ฟาดลงมาที่เผ่าปีกทะยานด้านล่างทันที

จังหวะที่ฟาดลงมา เจ้าเงาก็ปลีกตัว เผ่าปีกทะยานที่กลับสู่สภาพปกติย่อมหลบหลีกไม่ทัน ดาบสวรรค์ก็ฟาดลงมาท่ามกลางเสียงกรีดร้อง

เสียงครืนครันกึกก้อง สนั่นไปทั่วทิศ

สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ไม่สนใจนักโทษเผ่าปีกทะยานที่ถูกฟันรากฐานทิ้งจนหายใจรวยริน เขาเงยหน้าขึ้นมองดาบสวรรค์ และสัมผัสรับรู้อีกครั้ง

ช่วงเวลาสามร้อยอึดใจ ผ่านไปในพริบตา

จากการที่เมฆาเคราะห์สลายไปช้าๆ ดาบสวรรค์ก็สลายไปเช่นกัน ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด

ครู่ต่อมา เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปอีกพื้นที่หนึ่ง หาตัวอย่างที่เหมาะสมรายต่อไป

เวลาก็ผ่านไปหลายวันเช่นนี้

ขณะที่สวี่ชิงทดลองสัมผัสรับรู้หลายต่อหลายครั้ง ก็มาถึงวันที่นัดไว้กับหนิงเหยียน

วันนี้ ท้องฟ้ายามเย็นสีส้มแดงสาดแสงพร่างพราว ราวกับสายน้ำไหลชโลมลงมาบนแผ่นดินใหญ่ รดลงมาที่หลังคาและจุดบันทึกวังครองกระบี่

ที่นั่น มีผู้ครองกระบี่ไม่น้อยเรียงแถวยาว

พวกเขาล้วนเป็นตัวสำรองที่มาจากมณฑลต่างๆ

ในนี้บางคนสีหน้าร้อนรน กำลังเฝ้ารออย่างขมขื่น หนิงเหยียนคือหนึ่งในนั้น

เขาคอยมองออกไปตลอดเวลา กระวนกระวายใจ วิตกกังวล เขารอมาครึ่งค่อนวันแล้ว

ด้านหลังของเขา มีผู้ครองกระบี่กลางคนนั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้พลังบำเพ็ญแก่นลมปราณ ดวงตามีประกายแปลบปลาบแล่นผ่าน เห็นได้ชัดว่าเกิดมาจากชีพจรอัสนีบรรพกาล คลื่นพลังไม่ธรรมดา

ตอนนี้เขาเงยหน้ามองตัวสำรองที่ไกลออกไปเจ็ดแปดคน เอ่ยเสียงเรียบ

“ตัวสำรองส่วนใหญ่ล้วนบันทึกการแนะนำเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแต่พวกเจ้า

“พวกเจ้าหาผู้แนะนำจากมณฑลของตนมาได้หรือไม่”

ตัวสำรองเจ็ดแปดคนนี้หน้าขมขื่น บางคนอ้าปากจะอธิบาย บางคนนิ่งเงียบไม่พูดจา

หนิงเหยียนรีบร้อนพยักหน้า คารวะแก่ผู้ครองกระบี่กลางคน

“รบกวนท่านรออีกหน่อยเถิด คนที่รับปากจะแนะนำข้ามาแน่นอน”

หนิงเหยียนลังเล ไม่ได้พูดชื่อสวี่ชิงออกมา เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาจริงหรือไม่ หากตนบอกออกไป แต่เขากลับไม่มา เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

อีกอย่างตัวสำรองครั้งนี้ เขาร่วมทดสอบพร้อมกับคนที่มีฐานะแบบเดียวกันจากมณฑลอื่นตอนก่อนหน้านี้เพื่อช่วงชิงอันดับหนึ่งของตัวสำรอง ต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด ยากที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

ตอนนี้ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มเลือดร้อนอยู่สามคน และเป็นคนที่เชือดเฉือนกับเขามาแล้ว

สามคนนี้เมื่อเห็นหนิงเหยียนร้อนรนและไม่เอ่ยชื่อผู้แนะนำออกมา สีหน้าฉายแววเย้ยหยัน แม้จะไม่ได้ชัดเจนนัก แต่หนิงเหยียนก็เห็น

สีหน้านี้ ทำให้หนิงเหยียนรู้สึกค่อนข้างลำบากใจ

หนึ่งในนั้นก้มหน้ายิ้ม

“อันดับหนึ่งการทดสอบตัวสำรอง แต่กลับไม่มีผู้แนะนำ เห็นได้ถึงนิสัยใจคอเลย”

หนิงเหยียนเงียบนิ่ง

ผู้ครองกระบี่สีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของชายหนุ่มเลือดร้อนเหล่านี้ คนเช่นนี้มีอยู่มากมาย ถึงอย่างไรทุกคนก็นิสัยไม่เหมือนกัน มีทั้งพวกมืดมน มีทั้งพวกตรงไปตรงมา

แต่หลังจากกลายเป็นผู้ครองกระบี่ส่วนใหญ่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยย

เขาจึงพลิกอ่านประวัติของหนิงเหยียนดู หลังจากสังเกตว่ามาจากมณฑลรับเสด็จราชัน เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างคาดไม่ถึง กวาดตามองหนิงเหยียน

“เจ้ามาจากมณฑลเดียวกับศิษย์น้องสวี่ชิงหรือ”

หนิงเหยียนได้ยินก็พยักหน้า

ตัวสำรองที่ขัดแย้งกับเขาสามคนนั้นข้างๆ ในนี้มีคนหัวเราะออกมาเบาๆ

“พี่สวี่ชิงแสงหมื่นจั้ง ถ้ายังไม่ยอมมาแนะนำใครบางคนล่ะก็ แสดงว่ามองออกว่าคนคนนั้นมีปัญหาจริงๆ”

“ลำบากลำบนแย่งที่หนึ่งของตัวสำรองมา มีประโยชน์อันใด”

“พวกเจ้ารนหาที่ตาย!” หนิงเหยียนหน้าเคร่งขรึม หันไปมองทันที การท้าทายหลายครั้งต่อหลายครั้งของอีกฝ่าย ประกอบกับความร้อนรนของเขาเวลานี้ ความโกรธจึงพุ่งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ทำไม จะสู้กับพวกเราที่นี่อีกยกก็ได้นะ!” ชายหนุ่มสามคนนั้นสายตาไม่เป็นมิตร มองมาทางหนิงเหยียน พวกเขาจะยั่วให้หนิงเหยียนโมโห

หนิงเหยียนกัดฟัน ความโกรธในดวงตาค่อยๆ ลุกโชน

ส่วนผู้ครองกระบี่กลางคนที่จุดบันทึก ก็มองภาพนี้ด้วยสายตาเย็นชา ส่วนใหญ่ทุกครั้งจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นกับพวกตัวสำรองด้วยกันทั้งนั้น ถึงอย่างไรคนจากต่างที่เมื่อมีมากก็ต้องขัดแย้งกันเป็นธรรมดา เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า

“ถ้าขัดแย้งกัน ก็ไสหัวไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา”

ชายหนุ่มสามคนนั้นพอได้ยิน ก็เหินขึ้นฟ้าทันที หนึ่งในนั้นชี้มาที่หนิงเหยียน

“ไม่ใช่ว่าเจ้าแย่งหัวแถวตัวสำรองของพวกข้าไปหรือ กล้าสู้อีกสักตั้งหรือไม่เล่า!”

“เจ้าพูดไม่ถูกนะ หนิงเหยียนจะไม่กล้าได้อย่างไร เขากำลังรอคนมาแนะนำอยู่ จึงมาประมือกับพวกเราไม่ได้ต่างหาก ใช่หรือไม่หนิงเหยียน เหตุผลในการปฏิเสธข้าคิดไว้ให้เจ้าหมดแล้ว”

ชายคนหนึ่งในสามคนนั้น เอ่ยกลั้วหัวเราะ

หนิงเหยียนในดวงตาเปล่งประกายเย็นวาบ กำลังจะเหินขึ้นไป แต่ตอนนี้เอง เสียงเรียบสงบเสียงหนึ่ง ก็ดังมาแต่ไกล

“หนิงเหยียน ข้ามีธุระจึงมาล่าช้าไปหน่อย”

ตามเสียงที่ดังมา เสียงหวีดหวิวก็ดังกึกก้อง บนท้องฟ้าห่างไกล ร่างเงาร่างหนึ่งก็เหาะเหินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

คนผู้นี้ผมยาวปลิวสยายท่ามกลางแสงสายัณห์ อยู่ในชุดนักพรตสีขาวราวหิมะ เข้าคู่กับใบหน้าหล่อเหลา ทำให้ดึงดูดสายตาคนทั้งหมดที่เห็นโดยสัญชาตญาณ

สวี่ชิงนั่นเอง

สวี่ชิงไม่ใช่คนรับปากใครพล่อยๆ หากรับปากแล้ว เขาต้องทำให้ได้

ก่อนหน้านี้ในเมื่อยินยอมแนะนำหนิงเหยียน เขาไม่ได้จงใจถ่วงเวลา แต่ในช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับการสัมผัสรับรู้ดาบสวรรค์ตัดวิถี วันนี้จึงมาช้า

ส่วนเรื่องที่ไม่สบอารมณ์กับหนิงเหยียนก็ยังมีอยู่ แต่ในเมื่อนายกองคิดว่าคนผู้นี้มีประโยชน์ สวี่ชิงก็จะสังเกตอีกสักพัก

ตอนนี้เมื่อเขามาถึง ศิษย์ตัวสำรองทั้งหมดที่จุดบันทึกก็ใจสั่น แต่ละคนดวงตาเผยความเลื่อมใส พากันคารวะ ส่วนชายหนุ่มที่ขัดแย้งกับหนิงเหยียนสามคนนั้น ก็ใจสั่นเช่นกัน รีบร้อนก้มหน้า ไม่กล้าเร่งเร้าต่อ

ชื่อเสียงของสวี่ชิงตอนนี้โด่งดังไม่น้อย ในวังครองกระบี่ ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในปีศาจของรุ่นนี้ โดยเฉพาะปีศาจหลายคนในรุ่นนี้ก็มีความสัมพันธ์อันดีมากอีกด้วย เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน ถ้าไปยั่วโมโหคนหนึ่งก็เท่ากับยั่วโมโหคนทั้งกลุ่ม

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้แต่ละคนก็ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ก่อเป็นขั้วอำนาจ จึงยิ่งไม่มีใครอยากจะผิดใจด้วย

ชายกลางคนที่จุดบันทึกก็หัวเราะ ลุกขึ้นต้อนรับ

วันนั้นสวี่ชิงกับพวกข่งเสียงหลงหยั่งเชิงกับตระกูลเหยาที่วังครองกระบี่ จนมีผู้ครองกระบี่มากมายมา คนผู้นี้ก็อยู่ในนั้นด้วย เคยมีโอกาสได้พบปะกับสวี่ชิงครั้งหนึ่ง เมื่อได้รู้สิ่งที่พวกสวี่ชิงทำ ก็รู้สึกเลื่อมใสมาก

หนิงเหยียนตื่นเต้นยิ่ง รีบก้าวมา เสียงของสวี่ชิงสำหรับเขาแล้วเหมือนเป็นเสียงสวรรค์ ร่างเงาเป็นสายรุ้ง อารมณ์แปรปรวนทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งกับการมาของสวี่ชิงอย่างมาก

สวี่ชิงพยักหน้าให้หนิงเหยียน จากนั้นก็คารวะตอบกลับผู้ครองกระบี่กลางคนที่มาต้อนรับ

“รบกวนพี่โจวด้วย ข้าเป็นผู้แนะนำของหนิงเหยียน”

ผู้ครองกระบี่สกุลโจวได้ยินสวี่ชิงเรียกนามสกุลตน ดวงตาก็เปล่งประกายทันที แอบคิดว่าคนผู้นี้ทำให้คนอย่างข่งเสียงหลงยอมรับได้ แสงหมื่นจั้งนั่นก็ด้านหนึ่ง แต่การประพฤติตนต่อผู้อื่นก็เป็นอีกด้านหนึ่ง

ต้องรู้ด้วยว่าตอนนั้นผู้ครองกระบี่ที่ตำหนักบัญญัติก็มีไม่น้อย แม้ต่อมาทุกคนจะได้พบหน้ากัน พวกของหวังเฉินมีการแนะนำ แต่ถึงอย่างไรก็ฉุกละหุก

สถานการณ์เช่นนี้ ยังจดจำนามสกุลได้ นี่ถือเป็นความสามารถ

เขาจึงหัวเราะ เอ่ยขึ้นมาว่า

“ศิษย์น้องสวี่ชิงแนะนำ แสดงว่าหนิงเหยียนคนนี้ซื่อสัตย์ จิตใจดีเที่ยงธรรม” พูดจบ เขาก็ทำการบันทึกให้หนิงเหยียนทันที จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววเข้มงวด มองไปทางหนิงเหยียน

“หนิงเหยียน หวังว่าหลังจากเจ้าเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว จะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ อย่าทำให้ศิษย์น้องสวี่ชิงต้องอับอาย!”

หนิงเหยียนรีบร้อนขานรับ

สวี่ชิงก็ไม่ได้อยู่นาน หลังจากพูดกับผู้ครองกระบี่สกุลโจวคนนี้สองสามประโยค ก็ขอตัวจากไปพร้อมกับสายตาเลื่อมใสจากรอบด้าน

เขาต้องกลับไปสัมผัสรับรู้ที่กรมราชทัณฑ์ต่อ

ตอนที่กลับมายังกรมราชทัณฑ์ชั้นที่เก้า ร่างของสวี่ชิงเพิ่งปรากฏตัวที่บันได ก็ได้ยินเสียงเข้มงวดของเจ้าวังดังขึ้นไกลๆ

“อย่าคิดว่าถูกผู้อื่นชมไม่กี่คำว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานก็ถือดี ในสายตาข้า ข่งเสียงหลงอย่างเจ้ามันก็แค่ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ ไม่รู้ประสายิ่งนัก!”

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า มองไป และเห็นว่าข่งเสียงหลงกำลังยืนก้มหน้าอยู่ที่ทางเชื่อมของชั้นนี้

เจ้าวังอยู่ตรงหน้าเขา ตอนนี้สีหน้าเคร่งขรึม ตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชา

“เจ้าต่อให้จะยอดเยี่ยมเพียงใดในสายตาคนอื่น แต่เจ้าไม่เคารพกฎของผู้ครองกระบี่ ขาดงานหลายต่อหลายครั้งด้วยเหตุผลส่วนตัว สักวันคงได้เกิดมหันตภัยเป็นแน่ เจ้าเข้าใจจุดนี้หรือไม่”

เจ้าวังสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงมีความขุ่นเคืองผู้กล้าเหนือกาลเวลา

“วังครองกระบี่ไม่ใช่ที่ปลูกดอกไม้ และไม่ต้องการคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ หากเจ้าคิดว่าจะใช้เสี้ยวความฉลาดนั่นทำตัวเกเรที่นี่…”

สวี่ชิงเห็นภาพนี้ ก็เข้าใจว่าตอนที่ข่งเสียงหลงมาส่งตัวนักโทษ คงถูกพบว่ากำลังทำเรื่องส่วนตัวอะไรบางอย่าง จนทำให้เจ้าวังตำหนิ เกรงว่าคงได้ไปอยู่ในห้องขังอีกแน่

‘ไยเจ้าวังจึงถึงจับจ้องแต่พี่ข่งเล่า’

สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็รู้ว่าเวลานี้อีกฝ่ายกำลังขุ่นเคือง จึงก้มหน้า เดินไปชั้นที่สิบ

แต่ไม่ทันลงบันได ข่งเสียงหลงก็ยอกย้อนอย่างหาได้ยาก

“ข้าไม่ได้ทำตัวเกเรนะขอรับ ข้าเสร็จภารกิจแล้ว ของในภารกิจข้าก็ได้มาแล้ว แค่ส่งกลับมาช้าสองวันเท่านั้น คนที่ถูกทำร้ายเหล่านั้นแต่ละคนก็ตกอยู่ในอันตราย แล้วจะให้ข้าทำเป็นมองไม่เห็นได้หรือ!”

“บังอาจ!” เจ้าวังแค่นเสียงเย็นชา เสียงนี้ดังครืนครันไปทั่วสารทิศราวสายอัสนี ทำให้ผู้คุมรอบๆ พากันตกตะลึง สวี่ชิงยังสูดลมหายใจลึก หันหน้ากลับไปมอง

เห็นแค่ข่งเสียงหลงเงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่ยินยอม แต่เจ้าวังทางนั้นกลับดูโมโหหนักขึ้นอย่างชัดเจน ในดวงตาแผ่ประกายเย็นเยียบออกมา

“ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ รู้จักเถียงคำไม่ตกฟาก ถ้าหากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่สู้ไสหัวออกจากเมืองหลวงเขตปกครองไปเสีย หาที่เล็กๆ ที่จะได้เสพสุขกับความเป็นวีรบุรุษและเกียรติยศของเจ้า”

ข่งเสียงหลงร่างสั่นเทา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ก้มหน้าลง

“จำคำพูดแรกที่ข้าพูดตอนที่เจ้าเลื่อนขั้นเป็นผู้ครองกระบี่ได้หรือไม่” เจ้าวังมองข่งเสียงหลง ความน่าเกรงขามเปี่ยม

“เป็นผู้ครองกระบี่ ทุกคนล้วนเป็นคมกระบี่ของเผ่ามนุษย์ ต้องเตรียมตัวพุ่งเข้าหาความตายเพื่อเผ่ามนุษย์อยู่ทุกชั่วขณะจิต” เมื่อข่งเสียงหลงได้ยิน ก็เอ่ยเสียงดัง

คำพูดนี้สวี่ชิงคุ้นเคยดี ตอนนั้นที่ชั้นแปดสิบเก้า ครั้งแรกที่ตนได้เจอเจ้าวัง ประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดก็คือเหล่านี้

เวลานี้คำพูดของเจ้าวังก็เข้มงวดขึ้น สะท้อนก้องต่อเนื่อง

“หวังว่าอนาคตของเจ้าคือดับสูญอยู่ในสนามรบของเผ่ามนุษย์ ไม่ใช่ด้วยแผนการร้ายของพวกชั้นต่ำ!

“ด้วยนิสัยของเจ้า จะวางแผนร้ายกับเจ้าไม่ได้ยากเย็น ใครก็ได้ เอาตัวเขาไปขัง รอบนี้ขังไว้สองเดือน ระหว่างนี้ห้ามเข้าเยี่ยม!”

เจ้าวังสะบัดแขนเสื้อ หันหลังจากไป ตอนเดินผ่านสวี่ชิงก็ถลึงตา

“มองอะไรของเจ้า ความลับของติงหนึ่งสามสองน่ะหาเจอหรือยัง สัมผัสรับรู้ที่เขตปิ่งเสร็จแล้วหรือ ยังไม่รีบไปอีก!”

“ทราบ!” สวี่ชิงรีบก้มหน้า จ้ำอ้าวจากไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะจากไปเขายังมองข่งเสียงหลงผาดหนึ่ง พบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองตนเช่นกัน ทั้งสองคนสบสายตา ต่างมีความจนใจอยู่ทั้งสิ้น

สวี่ชิงถอนสายตากลับมา รีบตรงไปยังชั้นที่เก้าสิบ ขณะที่กำลังทอดถอนใจกับความเข้มงวดของเจ้าวัง ดวงตาเขาก็ฉายแววครุ่นคิด

‘เจ้าวังรู้ว่าข้ากำลังสัมผัสรับรู้อยู่ด้วยหรือ’

สวี่ชิงเข้าใจว่าการเป็นเจ้าวัง ควบคุมทั้งกรมราชทัณฑ์ ล่วงรู้ว่าตนเองกำลังสัมผัสรับรู้อยู่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

แต่ทั้งกรมราชทัณฑ์ก็มีเรื่องมากมาย การที่ยังรู้การเคลื่อนไหวของตน บ่งบอกว่าเจ้าวังกำลังให้ความสำคัญกับตนอยู่

ขณะสวี่ชิงครุ่นคิด ก็มาถึงชั้นที่เก้าสิบอย่างรวดเร็ว เพิ่งเดินเข้าไปก็เห็นผู้อาวุโสมือผีกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นสวี่ชิงก็ยิ้ม

“ถูกเจ้าวังตำหนิมาล่ะสิ ข้าอยู่ที่นี่ยังได้ยินเสียงคำรามจากด้านบนเลย”

สวี่ชิงพยักหน้า รู้สึกหดหู่ ถูกตำหนิครั้งนี้ ถือเป็นการโดนหางเลขไปด้วย

“เจ้าวังเขาก็นิสัยเช่นนี้ เข้มงวดกับทุกคน กับตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้” มือผีโยนกาสุรามาให้ เอ่ยกลั้วหัวเราะ

“ยิ่งเขาดุด่า ก็อธิบายได้ว่าเขายิ่งสนใจเจ้า”

สวี่ชิงคิดถึงการคาดเดาของตนก่อนหน้านี้

“เจ้าวังไม่มีศิษย์ ทายาทก็สู้จนตัวตายหมด จึงเป็นห่วงผู้ครองกระบี่ที่มีคุณสมบัติเป็นอย่างมาก เจ้าเป็นเช่นนี่ ข่งเสียงหลงก็เช่นกัน”

มือผีทอดถอนใจ ดื่มสุราอึกหนึ่ง

“ทายาทของเขาสู้จนตัวตายไปแล้วหรือขอรับ” สวี่ชิงมองไปทางมือผี

“ใช่ เรื่องนี้หน้าใหม่ไม่รู้ พวกคนเก่าคนแก่ทั้งหลายรู้กัน เจ้าวังมีบุตรชายสองคน เป็นผู้ครองกระบี่ทั้งคู่ คุณสมบัติน่าตกตะลึง

“ทว่าคนหนึ่งตายระหว่างภารกิจแฝงตัวเข้าไปในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อไม่ให้ถูกจับเป็น ส่วนอีกคนถูกวางแผนร้ายโดยพุ่งเป้ามาที่นิสัยจนตาย”

มือผีทอดถอนใจ ไม่พูดอะไรต่ออีก

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เงยหน้ามองชั้นแปดสิบเก้าด้านบนผาดหนึ่ง ครู่ต่อมาก็คารวะไปทางผู้อาวุโสมือผี เดินเข้าไปในภาพวาดฝาผนัง เข้าสู่โลกใบเล็ก

เขตสิบสามตะวันออกที่เขารับผิดชอบมีนักโทษที่เข้าเค้าอยู่สี่คน ถูกฟันมรรคาทิ้งไปแล้วทั้งสิ้น แต่สามวันก่อนหน้านี้สวี่ชิงยังเจอในเขตปิงอื่นอีก และใช้นักโทษในพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบบางส่วนแลกตัวกับคนที่เหมาะสมเหล่านั้นมา

ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาไฟ เงยหน้ามองท้องฟ้า จากเสียงฟ้าดินที่ครืนครัน ดาบสวรรค์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ ตอนนี้เขาไม่ได้ร้อนรนเช่นตอนแรกอีกแล้ว แต่อยู่ในความสงบ จับจ้องเงียบๆ สัมผัสรับรู้เงียบๆ ประทับลงไปในจิตเทพเงียบๆ

แต่ละครั้งก็ก่อเงาร่างของดาบขึ้นในจิตเทพเขา

ทว่ากลับแตกสลายไปทุกครั้งเช่นกัน

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สวี่ชิงก็ยังคงยึดมั่น

จนผ่านไปอีกครึ่งเดือน ระหว่างที่เขาสัมผัสรับรู้แต่ละครั้ง ก็แลกกับการเหลือนักโทษต่างเผ่าเหล่านั้นอยู่ไม่กี่ตน

ตอนนี้ สวี่ชิงไม่ได้ใช้การทะลวงขั้นฝึกบำเพ็ญของนักโทษกระตุ้นดาบทัณฑ์สวรรค์แล้ว แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ในสมองก็ระลึกถึงและสลักภาพลงไปอย่างต่อเนื่อง ยกมือขวาขึ้นหลายครั้ง ลอกเลียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในที่สุดในจิตเทพของเขาก็ปรากฏเงาดาบที่ไม่ถือว่ามั่นคงนักเล่มหนึ่งออกมา เขาดูแลอย่างระมัดระวัง ล้ำลึกขึ้นช้าๆ

ขั้นตอนนี้น่าเบื่อมาก ราวกับกำลังตีดาบคมที่ยอดเยี่ยมเล่มหนึ่ง

ประกายคมค่อยๆ ปรากฏ อันที่จริงเมื่อถึงจุดนี้ สวี่ชิงรู้ว่าตนทำให้สมบูรณ์ได้แล้ว

แต่เขาสัมผัสได้ว่าแม้พลานุภาพของดาบที่สัมผัสรับรู้มาตอนนี้จะน่าตกตะลึง แต่กลับไม่ได้ตัดวิถีอย่างที่จินตนาการไว้ แต่เป็นการฟาดฟันทั้งร่างกายและวิญญาณ

‘ไม่เหมือนกับที่คิดไว้…’

สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยังไม่ยอมจบ แต่ลอกเลียนเงาดาบในทะเลความรู้สึกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไป เขาอยากเห็นว่าหากสัมผัสรับรู้ต่อไปจะเป็นอย่างไร

เพียงแต่มีบางครั้ง หากไม่ถูกวิธี ใช้เวลาในการตีให้ขึ้นรูปไม่นานก็ดีกว่าทั่วไปแต่ไม่ได้โดดเด่น หากตีให้ขึ้นรูปนานเกินไป สิ่งที่ได้มาจะไม่ใช่ดาบคม แต่เป็นเศษเหล็ก

ดังนั้นผ่านไปอีกครึ่งเดือน จู่ๆ เขาที่มาสัมผัสรับรู้ที่นี่ทุกครั้งก็ใจสั่นสะท้าน ดาบที่เขาลอกเลียนในทะเลความรู้สึกแตกสลาย

และเนื่องจากฝังใจนานเกินไป เมื่อเงาดาบแตกสลาย ร่างสวี่ชิงก็สะท้านเฮือกอย่างรุนแรง กระอักเลือดสดออกมาคำใหญ่

‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…’

สวี่ชิงหดหู่ รู้สึกไม่ยินยอม พึมพำเสียงต่ำ

ไม่ว่าจะดาบสะบั้นไพศาล หรือเงาเขาจักรพรรดิภูต เขาก็ไม่ได้รู้สึกยากลำบากเช่นนี้ ยิ่งก่อนหน้านี้ทั้งๆ ที่เขาสัมผัสรับรู้เป็นรูปร่างแล้ว แต่สุดท้ายไม่รู้เพราะเหตุใด จึงแตกสลายปอีกครั้ง

ราวกับ ดาบนั้นทิ้งเค้าโครงไว้ในจิตเทพได้ แต่หากจะประทับให้ลึกซึ้ง เขาทำไม่ได้

‘วิธีการข้าไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ’

สวี่ชิงครุ่นคิด หลับตาลงนั่งขัดสมาธิตรงนั้น ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ผ่านไปนาน เขาก็ปล่อยวางเรื่องการสัมผัสรับรู้ตัวดาบ แต่ย้อนระลึกถึงตอนที่นักโทษถูกฟันมรรคา ย้อนระลึกถึงภาพหลังจากที่ดาบนั้นฟาดลงมา รากฐานพังถล่มทีละฉาก

จากภาพที่ฉายต่อเนื่องในสมองเขา หลังจากผ่านครู่ใหญ่ จู่ๆ สวี่ชิงก็ร่างสะท้านเฮือก ลืมตาขึ้นฉับพลัน

‘ข้าทำไม่ถูกทาง!

‘ก่อนหน้านี้ที่ข้าสัมผัสรับรู้ทุกอย่าง ล้วนใช้วิธีก่อนหน้าทั้งสิ้น แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนใช้ร่างกายและจิตวิญญาณเป็นหลัก อย่างเช่นดาบสะบั้นไพศาล สิ่งที่ฟาดฟันคือร่างกาย ส่วนเขาจักรพรรดิภูตสะกดวิญญาณ

‘นั่นไม่ใช่การสัมผัสรับรู้ นั่นเป็นการคัดลอก และครั้งนี้สิ่งที่ต้องการคือการสัมผัสรับรู้ที่แท้จริง

‘เพราะกฎเกณฑ์ที่แปรมาจากดาบตัดวิถี มันไม่ใช่ดาบแห่งทัณฑ์สวรรค์ มันคือดาบแห่งวิถีสวรรค์!

‘เมื่อมองลึกลงไป มันเป็นการใช้กฎเกณฑ์ฟาดฟันไปที่พลังวิญญาณในร่างกายผู้บำเพ็ญ พลังวิญญาณจึงถูกผลกระทบในพริบตาที่ดาบนี้ฟาดลงไป ราวกับว่า…ไม่ได้เป็นของผู้บำเพ็ญอีก!

‘จุดสำคัญของดาบนี้ ไม่ใช่การฟาดฟัน แต่เป็นการทำให้ปราณวิญญาณของผู้บำเพ็ญปฏิเสธผู้บำเพ็ญ และแตกสลายเอง!

‘ดาบนี้ หรือวิถีนี้ ดูคล้ายกับ…ประกาศิตข้อหนึ่ง!’

สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ดวงตาเผยประกายร้อนแรง

‘ประกาศิตที่สั่งให้ปราณวิญญาณปฏิเสธผู้บำเพ็ญเช่นนั้นหรือ

‘ทำได้อย่างไร’

สมองของเขามีคำตอบปรากฏขึ้นในพริบตา

ปราณวิญญาณคือคุณสมบัติดั้งเดิม เช่นนั้นหากมองปราณวิญญาณเป็นการมีอยู่ของไอพลังประหลาด เช่นนั้นปราณวิญญาณเป็นกลิ่นอายของใคร…

เมื่อสวี่ชิงคิดถึงวิถีสวรรค์ดั้งเดิมทั้งสี่นอกโลกใบเล็ก สายตาของพวกเขารวมกันเป็นตะวันจันทราแปรเป็นกฎเกณฑ์

“ปราณวิญญาณมาจากกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์มาจากวิถีสวรรค์?”

สวี่ชิงพึมพำ ดวงตาเผยประกายประหลาด

นักโทษหลังจากถูกคุมขังที่โลกใบเล็กนี้ พวกเขาจะถูกโลกใบเล็กโจมตีและผสาน สุดท้ายก็จะหลอมรวมกับโลกใบนี้ ดังนั้นกฎเกณฑ์โลกใบเล็ก สามารถสลายพลังบำเพ็ญของพวกเขาได้

‘ดังนั้น ดาบนี้ คือวิถีสวรรค์ที่ใช้กฎเกณฑ์เป็นประกาศิต ฟาดฟันลงมา!

‘แล้ววิถีสวรรค์นั่นคืออะไร’

ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด ครู่ต่อมาเขาก็สูดหายใจลึกยืนขึ้น เดินออกจากโลกใบเล็กมาแผ่นดินใหญ่ด้านนอก หยุดฝีเท้าท่ามกลางความว่างเปล่า ก้มหน้ามองวิถีสวรรค์ดั้งเดิมขนาดยักษ์ด้านนอกเปลือกแสงทั้งสี่

เขามองอย่างตั้งใจ อย่างละเอียด กระทั่งนั่งลงขัดสมาธิกลางอากาศ แผ่ประสาทสัมผัส ดำดิ่งลงไปทั้งกายใจ

เวลาไหลผ่านไป เจ็ดวันต่อมา สวี่ชิงก็รู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นมาทีละระลอก

‘วิถีสวรรค์ทั้งสี่นี้ ไม่ใช่วัตถุจริง แต่เป็นตัวตนที่เหมือนจะมีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต เหมือนจะตายแต่ก็ไม่ตาย

‘ตัวตนเช่นนี้ ไม่มีเจตจำนงของตนเอง’

นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงสังเกตได้ ขณะเดียวกันในเจ็ดวันนี้ก็สอบถามจอมเซียนจื่อเสวียน ได้คำตอบมา

คำตอบนี้ ทำให้สวี่ชิงคิดถึงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

จากความเข้าใจของเขา ผู้แข็งแกร่งที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จะสร้างดาบวิถีสวรรค์ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้ เพียงแต่จุดนี้ทำได้ยากเหลือคนา

เพราะวิถีสวรรค์ของโลกใบเล็กใบนี้ เป็นสิ่งที่วังครองกระบี่ควบคุมไว้ จึงสามารถใช้ได้

แต่วิถีสวรรค์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ น่าจะไม่มีผู้ที่ควบคุมได้

และเมื่อไม่มีผู้ที่ควบคุมได้ วิถีสวรรค์จึงไม่มีจิตสำนึกของตน มีเพียงสัญชาตญาณที่แปรมาจากกฎเกณฑ์เท่านั้น

ตอนนี้ จู่ๆ สวี่ชิงก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือระดับสมบัติวิญญาณ

และเข้าใจว่าเพราะอะไรมือผีถึงพูดว่าระดับสมบัติวิญญาณต้องสัมผัสรับรู้วิถีสวรรค์ สมบัติลับในร่างกายต้องมีวิถีสวรรค์คอยสะกดไว้

นั่นเป็นเพราะ มีเพียงวิถีสวรรค์เท่านั้นที่จะแบกรับกฎเกณฑ์ได้ สามารถเข้าไปสั่งการกฎเกณฑ์ได้

ผู้แข็งแกร่งระดับสมบัติวิญญาณ สามารถนำกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์ของร่างตน ใช้ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้ แม้จะไม่ได้ยาวนานนัก แต่ก็ปรับเปลี่ยนได้ในเวลาสั้นๆ สร้างสภาวะที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดให้แก่ร่างกาย

คล้ายกับสภาวะแสงนภาของสร้างฐาน

หลังจากกระจ่างแจ้งสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงจึงเข้าใจดาบวิถีสวรรค์ลึกซึ้งขึ้น

ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ตนจึงล้มเหลวมาตลอด

เพราะดาบนี้แฝงกฎเกณฑ์ไว้ และกฎเกณฑ์ก็มีเพียงสมบัติวิญญาณที่สามารถควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าใจสมบัติวิญญาณยังต้องอาศัยวิถีสวรรค์ในสมบัติเป็นพาหะอีกด้วย

เขาจึงล้มเหลว คัดลอกอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ

เขาขาดพาหะในการแบกรับกฎเกณฑ์!

‘เป็นเช่นนี้นี่เอง!’

สวี่ชิงกระจ่างแจ้งอย่างถ่องแท้

‘พาหะ…’

เขาคิดถึงลูกกลอนพิษต้องห้าม คิดถึงตะเกียงแห่งชีวิต คิดถึงวิชาระดับจักรพรรดิ คิดถึงพระจันทร์สีม่วง…

สุดท้าย เขาก็ต้องละทิ้งทั้งหมด

ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุภายนอก

มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด

นั่นก็คือ…อสูรสมุทรบรรพกาล

ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล!

‘วิถีสวรรค์ในสมบัติลับของข้าในอนาคต!’

นี่ถึงจะเป็นวัตถุที่สร้างขึ้นจากตัวเขาเองอย่างแท้จริง!

สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกาย

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version