บทที่ 752 มหาจักรพรรดิสั่งเสีย
อุโมงค์สลัวถูกปกคลุมด้วยแสงหลากสีทันทีที่มหา จักรพรรดิลืมตาขึ้น
ยิ่งมีดวงดาราเคลื่อนคล้อย สรรพสิ่งเปลี่ยนผัน อุโมงค์ใต้ดินถูกซุกซ่อนในแสงสว่าง ผืนฟ้าเต็มไปด้วยดาราสุกสกาว แทนที่ทุกสรรพสิ่ง
ราวกับชั่วขณะนี้ สวี่ชิงถูกดึงออกไปนอกแผ่นดินใหญ่ ต้องประสงค์ ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางท้องนภาไร้ขอบเขต มองไปรอบๆ เห็นเพียงเหล่าดวงดาวพรางพราย แม่น้ำดาราไกลๆ คล้ายกำลังหลั่งไหล
ขณะเดียวกันดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนก็ผุดออก มาจากแม่น้ำดารา หลอมรวมกัน สุดท้ายกลายเป็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง
ร่างเงาจากแสงดาว ชุดคลุมจักรพรรดิแวววาว กวานเป็นประกาย รวมถึงดวงหน้าสง่างาม
นั่นคือมหาจักรพรรดิ
มหาจักรพรรดิที่ล้อมรอบด้วยดวงดารา นั่งขัดสมาธิกลางเวหา ปลดปล่อยพลังสู่จักรวาล แผ่ขยายไปจนถึงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
สวี่ชิงเปรียบเสมือนฝุ่นละอองเบื้องหน้าท่าน สวี่ชิงก้มศีรษะ โค้งคำนับ
“บอกข้ามา ว่าแรกเริ่มนั้นวังครองกระบี่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อการใด!”
เสียงทุ้มตํ่าสะท้อนก้องในห้วงนภาประดับดาว สั่นสะเทือนความว่างเปล่าจนเกิดริ้วระลอก ดวงดาวนับไม่ถ้วนสั่นไหว
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองร่างเงาของมหาจักรพรรดิไกลๆ ด้วยความเคารพ แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“สายครองกระบี่ บุกเบิกความรุ่งเรืองสูงสุดแก่มนุษย์ สร้างความสงบสุขสมบูรณ์แก่หมื่นโลก นี่เป็นความตั้งใจ แต่เดิมพะยะค่ะ”
“ภารกิจในฐานะผู้ครองกระบี่คืออะไร”
มหาจักรพรรดิเอ่ยถามอีกครา
“ผู้ครองกระบี่ มีกระบี่เป็นประกาศิต ปกป้องสรรพชีวิต กำจัดเภทภัยแก่ไพร่ฟ้า สาดแสงส่องประกายไปในฟ้าดิน!”
ขณะที่ถ้อยคำของสวี่ชิงดังกึกก้อง ดวงดาวที่ประกอบ เป็นกายมหาจักรพรรดิ ส่องแสงสว่างวาบ ราวกับเป็นการ ยอมรับว่าสิ่งที่สวี่ชิงกล่าวนั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ “หากพวกต่างเผ่าขัดขวางเล่า”
เสียงมหาจักรพรรดิสะท้อนก้อง ถ้อยคำสั้นๆ แฝงด้วย ความหมายเฉียบคม
สวี่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น พลางกล่าวเสียงเรียบ “ฟาดฟัน!”
“หากเผ่ามนุษย์ขวางทางเล่า”
สวี่ชิงตอบกลับทันทีโดยไม่ลังเล “ฟาดฟัน! “จักรพรรดิเป็นนายแห่งหมื่นสรรพสิ่ง ขาดองค์ราชันสรรพสิ่งไม่สมบูรณ์ หมายถึงกรมครองกระบี่เรา ใต้องค์จักรพรรดิทุกสิ่งสรรพล้วนฟาดฟันทำลายได้”
“ข้าคือจักรพรรดิองค์ใด!”
ดวงดาวมหาจักรพรรดิส่องแสงวับวาม เสียงแฝงจิตสังหาร บังเกิดความหนาวเหน็บไร้ขอบเขตเหนือท้องฟ้าดารา สวี่ชิงเว้นวรรคชั่วครู่ ค้อมศีรษะลง คำถามนี้เขาจำเป็นต้องไตร่ตรองให้ดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววฉงน เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“องค์จักรพรรดิคือจักรพรรดิโบราณหรือพะยะค่ะ”
มหาจักรพรรดิไม่ตอบกลับ สวี่ชิงนิ่งเงียบ จนเวลาผ่านไปสักพัก เสียงของจักรพรรดิที่แฝงด้วยการผ่านกาลเวลา มาเนิ่นนานก็สะท้อนก้องในห้วงนภา
“สำหรับผู้ครองกระบี่ จักรพรรดิคือจักรพรรดิโบราณ คือ จักรพรรดิมนุษย์ แต่สำหรับวังครองกระบี่ จักรพรรดิมิใช่บุคคล”
“บทบาทของข้าคือธำรงเผ่าพันธุ์ ดังนั้นความหมายของ จักรพรรดิจึงเป็น…การธำรงเผ่าพันธุ์”
“ที่ว่าใต้องค์จักรพรรดิทุกสิ่งสรรพล้วนฟาดพันทำลายได้ สำหรับวังครองกระบี่แล้ว หมายความว่าใครก็ตามที่ขัดขวางการธำรงเผ่าพันธุ์ สังหารได้…ด้วยคมกระบี่!”
“แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิก็ตาม!”
สวี่ชิงร่างกายสั่นสะท้าน คำพูดดังกล่าวทำให้ลมหายใจ ของเขากระชั้นถี่ นี่ต่างจากผู้ครองกระบี่ที่เขารู้จักลิบลับ
ขณะเดียวกัน เขาก็รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างผู้ครอง กระบี่และวังครองกระบี่
ผู้ครองกระบี่ยุคแรกเริ่ม แท้จริงแล้วสืบทอดมาจากวัง ครองกระบี่ที่มหาจักรพรรดิสังกัดอยู่
“ทว่าอำนาจใดๆ ล้วนต้องมีขีดจำกัด ดังนั้นหลังจากที่ผู้ มีเชื้อสายวังครองกระบี่กลายเป็นผู้ครองกระบี่ ข้าได้ให้โองการข้อหนึ่ง หากข้าดับสิ้นแล้ว ต้องหาผู้สืบทอดวังครองกระบี่ในทุกยุคสมัย หน้าที่ของเขาคือ…กำกับดูแล และมีเพียงทายาทวังครองกระบี่เท่านั้น ถึงจะมีอำนาจที่ข้าบอกเจ้าไป”
“ส่วนวังเซียนคิมหันต์ นอกจากบันทึกประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลผู้สืบทอดวังครองกระบี่ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นวัฎจักร”
”แต่ โองการนี้ไม่เคยได้ปฏิบัติจริง”
“เพราะว่าอวตารของข้ายังมีเศษเสี้ยวพลังชีวิต เพราะ …หลังจากการเปลี่ยนแปลงในยุคต่อมา ทำให้ข้าไม่กล้า ปล่อยมือ…”
สวี่ชิงฟังมาถึงตรงนี้ ในใจโหมซัด เขาเข้าใจแล้วว่า ผู้สืบทอดวังครองกระบี่ที่ว่าคือปราการสุดท้ายของ การสืบทอดเผ่ามนุษย์
กลางท้องฟ้าประดับดาว มหาจักรพรรดิจ้องมองสวี่ชิง ไม่ได้กล่าวอันใดต่อ และหลับตาราวกับว่าพระองค์ตื่นขึ้น มาครั้งนี้ เพื่อบอกสวี่ชิงเกี่ยวกับเรื่องปราการนี้
และเมื่อพระองค์หลับตาลง ฟากฟ้าดาราพลันมืดสลัว ทุกสิ่งหวนคืนสู่สภาพเดิม ร่างเงาของมหาจักรพรรดิค่อย แตกสลายไป กลายเป็นโครงกระดูกแห้งๆ เหลือร่องรอยชีวิต เพียงเล็กน้อยอีกครั้ง
สวี่ชิงก้มศีรษะโค้งคารวะอย่างเคารพก่อนค่อยๆ ถอยหลังไป
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะจากไป ขณะที่โลกอยู่ในภาวะ กึ่งอุโมงค์กึ่งท้องฟ้าประดับดาว ทันใดนั้นมหาจักรพรรดิที่
หลับตาก็เอ่ยขึ้น
“ยังจำคำพูดที่ข้าบอกเจ้าตอนหยั่งใจได้หรือไม่”
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า แล้วพยักหน้า
“ไม่ว่าจะเมื่อใด จิตใจนี้จะมั่นคงไม่ผันแปร”
มหาจักรพรรดิไม่พูดสิ่งใดอีก ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม ร่างเงาของสวี่ชิงและความว่างเปล่ารอบด้านหายไปพร้อมกัน มหาจักรพรรดิเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง สายรุ้งจางหายจากฟากฟ้า
ร่างเงาของสวี่ชิงปรากฏขึ้นหน้าวังครองกระบี่ ทุกอย่างก่อนหน้านี้ ราวกับเขาฝันไป
และการกลับมาของเขาดึงดูดสายตาและความคิดนับไม่ถ้วน
ขั้วอำนาจทั่วทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ ส่วนใหญ่กำลัง จับตามองสวี่ชิงทางนี้ พวกเขาไม่รู้ว่ามหาจักรพรรดิตรัสอะไรกับสวี่ชิง เพียงแค่เห็นว่าสวี่ชิงหายเข้าไปในวังครองกระบี่ ก่อน จะกลับมาอีกครั้งหลังจากหนึ่งก้านธูป
ผู้ครองกระบี่รอบๆ พากันมองสวี่ชิง ในบรรดานั้นก็มี เจ้าวังครองกระบี่ยุคปัจจุบันอยู่ด้วย ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยถาม เพียงมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ก็หันหลังเดินกลับไปที่วังครองกระบี่ เมื่อเขาจากไป ผู้ครองกระบี่ทุกคนที่นี่ก็พากันตามกลับ ไปยังวังครองกระบี่ด้วย ทว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป สวี่ชิงจะประทับอยู่ในใจของผู้ครองกระบี่ทุกผู้ทุกคน
จากการที่พวกเขาจากไป ณ พื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ด้านนอกวังครองกระบี่
มีเพียงสวี่ชิงที่ยืนหลับตาอยู่ตรงนั้น ภาพมหาจักรพรรดิ ที่เห็นเมื่อครู่แต่ละฉากๆ ผุดขึ้นมาในสมอง เริ่มรู้สึกโศกเศร้า ขึ้นมาทีละนิด
‘มหาจักรพรรดิ จะดับสูญแล้วหรือ…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาสัมผัสได้ถึงการสั่งเสีย ซึ่งสิ่งที่สั่ง เสียไว้ก็เกี่ยวกับเผ่ามนุษย์
เนิ่นนานหลังจากนั้น สวี่ชิงลืมตาขึ้น ประสานหมัด คารวะวังครองกระบี่ แล้วจากไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ท้องฟ้ายามคํ่าคืน
ดวงจันทร์สว่างดวงดาราระยิบระยับ สายลมโชยเบาๆ สวี่ชิงเดินอยู่บนถนน เสื้อผ้าของเขาปลิวพลิ้ว เรือนผมยาวสยาย
สายลมที่นี่ต่างจากที่เขตปกครองผนึกสมุทร ไม่ชุ่มชื้นเท่า และค่อนข้างแห้ง ยามพัดผ่านร่างกาย ก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด สวี่ชิงเดินไปข้างหน้าเงียบๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจาก มาเยือนเมืองหลวงจักรพรรดิผุดขึ้นมาในหัวทีละเรื่อง เขา ต้องการเวลาพอสมควรในการตกตะกอน
เวลาล่วงเลยไปเช่นนี้ สวี่ชิงมองทะเลสาบนอกจวนหนิงเหยียน ทะเลสาบใต้แสงจันทร์เปรียบดั่งผิวกระจกสะท้อนผืนฟ้า หากจดจ้องเป็นเวลานาน จะเห็นภาพลวงตา ว่าดวงจันทร์ในทะเลสาบสว่างกว่า สมจริงกว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้า เวลาไหลผ่านไปอีกหนึ่งค่ำคืน
สวี่ชิงที่กลับมาถึงจวน นั่งสมาธิทั้งคืน นึกถึงเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในวันนี้ทีละเหตุการณ์ สุดท้ายทันทีที่ฟ้าสาง สวี่ชิงก็ เงยหน้ามองไปทางวังครองกระบี่อย่างทอดถอนใจเบาๆ
และจากการที่ฟ้าสว่าง แผ่นหยกที่ส่งไปยังจวนองค์ชาย สิบก็ได้รับการตอบกลับ
องค์ชายสิบปฏิเสธ ซํ้ายังบอกวาเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ต้องรู้ว่าการกระทำของสวี่ชิงหลังจากมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ หากเป็นผู้มีปัญญาทั่วไปยอมไม่มีทางเสนอตัว ทดสอบขีดจำกัดของสวี่ชิงแทนคนอื่นเป็นแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องฟื้นตื่นและการเข้าเฝ้ามหา จักรพรรดิ
หากว่ากันตามเหตุผล องค์ชายสิบควรเลือกคืนของถึง จะสมกับที่เป็นมนุษย์ นอกจากวาเขาจะเป็นคนโง่
สวี่ชิงส่ายหน้า เขาไม่คิดว่าองค์ชายสิบเป็นคนโง่ การที่ เขาทำเช่นนั้นแสดงว่าสอดคล้องกับผลประโยชน์ของเขามากกว่า
‘เมืองหลวงจักรพรรดิแห่งนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงๆ อีกทั้ง หน้ากากทุกคนล้วนมีมากกว่าหนึ่งอัน’
ดวงตาของสวี่ชิงฉายแววเย็นชา เขาลุกขึ้นยืนพาหนิงเหยียนรวมถึงพวกซ่งเสียงหลงออกไปจากจวน
ส่วนนายกองและจื่อเสวียนออกไปแต่เช้าตรูแล้ว ไม่เห็น แม้แต่วี่แวว
ระหว่างมุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสิบ สายตาหนิงเหยียนที่มองสวี่ชิงแฝงความเทิดทูนและหวั่นเกรง เขาย่อมรู้เรื่องมหา จักรพรรดิฟื้นตื่นเมื่อวานนี้เช่นกัน
จากนั้นก็นึกถึงการกระทำขององค์ชายสิบ เขาเขยิบ เข้าใกล้สวี่ชิงเล็กน้อยแล้วกระซิบกล่าว
“ลูกพี่ องค์ชายสิบนะไร้หัวใจ เขามีคุณสมบัติดาษดื่น จนตอนนี้พลังบำเพ็ญก็ธรรมดา ยิ่งฝ่ายพระมารดาไม่ชอบตั้งแต่เด็ก เสด็จพ่อก็ไม่เหลียวแล แม่ของข้าเห็นว่าเขาโดดเดี่ยว น่าสงสาร จึงเคยดูแลเขาในวังอยู่หลายปี แต่พอแม่ข้าเสีย เขาก็ลืมบุญคุณ”
“ลองไปดูก็รู้แล้ว”
สวี่ชิงพูดเสียงเรียบ หนิงเหยียนไม่พูดอะไรต่ออีก กลุ่มคนค่อยๆ เดินทางมาถึงฝั่งตะวันออกของเมือง ไม่นาน จวนหรูหราก็สะท้อนเข้ามาในดวงตา
จวนแห่งนี้เป็นสีทองอร่าม ราวกับกลัวผู้คนไม่ทราบว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ แม้แต่หินประดับรูปสัตว์นอกจวนก็สร้างจากหินวิญญาณ ด้านในมีเสียงคนอึกทึก ราวกับกำลังจัดงานเลี้ยง เสียงหัวเราะพูดคุยดังออกมา เคล้ากับเสียงดนตรีสะท้อนก้อง
ด้านนอกประตูมีองครักษ์อยู่สองคน พวกเขาทั้งคู่ดู ตื่นตระหนกกับการมาถึงของสวี่ชิงเล็กน้อย พลังบำเพ็ญใน กายเดือดพล่านราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
สวี่ชิงเลือกที่จะไม่บุกเข้าไป เพียงแต่รอหน้าประตู ให้ องครักษ์เข้าไปรายงาน แต่หลังจากรออยู่นานก็ไม่มีการตอบรับ เขาครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป
องครักษ์ทั้งสองคิดจะหยุดเขา ทว่าเพียงพริบตา สวี่ชิงก็ เดินผ่านทั้งสองไปถึงประตูใหญ่สีชาด ยกมือขวาขึ้นแตะที่ประตู
ทันทีที่แตะประตูใหญ่ก็ส่งเสียงครืนครัน รอยร้าวแผ่ลามอย่างรวดเร็วจากจุดที่สวี่ชิงแตะ พริบตาต่อมาก็แผ่ขยายไปทั่วทั้งประตู จากนั้นก็แตกพังเป็นเสี่ยงๆ
สวี่ชิงหรี่ตาลง บานประตูแตกเป็นเสี่ยงๆ กระเด็นเข้าไป ในจวน ร่วงหล่นไปทั่วพื้นดิน ยิ่งมีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังขึ้น จากด้านในไม่นานนักผู้บำเพ็ญหลายร้อยคนก็พุ่งหวีดหวิว มาหาสวี่ชิง จากการที่เขาเข้ามา
“ผู้บุกรุกหยุดเดี๋ยวนี้!”
“ที่นี่คือจวนองค์ชายสิบ พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาล่วงเกินเช่นนี้!”
แม้ว่าผู้บำเพ็ญหลายร้อยคนจะส่งเสียงคำรามอย่างกรุ่นโกรธ ทว่าไม่รู้ทำไมความเร็วของพวกเขากลับค่อนข้างเชื่องช้า ทั้งที่เอะอะมะเทิ่งยกใหญ่ แต่กลับไม่มีผู้ใดเข้าใกล้จริงๆ ยิ่ง ปล่อยให้พวกสวี่ชิงเดินผ่านลานเรือนไปปรากฏตัวในสถานที่ จัดงานเลี้ยงโดยตรง
ภายในงานเลี้ยงยามนี้ มีเหล่าคุณชายมีสกุลหลายสิบคนนั่งอยู่ ห้อมล้อมด้วยสาวใช้ กำลังเคล้าสุราและนารี ชายหนุมคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง สวมชุดคลุมองค์ชาย จ้องมองสวี่ชิงและหนิงเหยียนที่เดินเข้ามาอย่างเย่อหยิ่ง หยิบถุงเก็บของพิเศษออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“ไสหัวไป”
ผู้คนที่รอบๆ ต่างหันไปมอง
สีหน้าสวี่ชิงยังคงเป็นปกติ เพียงแต่ยกมือขวาขึ้น เจ้าอ้วนม่วงก็ลอยขึ้นมา
สีหน้าของผู้คนในงานเลี้ยงเปลี่ยนไปทันที สีหน้าองค์ ชายสิบมืดครึ้ม หยัดกายลุกขึ้นยืน กำลังจะปริปาก ร่างสวี่ชิงก็ไหววูบไปอยู่เบื้องหน้าองค์ชายสิบ สายตาลุ่มลึก ยกมือขวาขึ้นแล้วกดลง
สมบัติเทพจำแลงขึ้นด้านหลัง กลายเป็นรัศมีน่าสะพรึงกลัว ม่านตาขององค์ชายสิบหดเล็กลง จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา เซถลาไปหลายก้าว ก่อนจะหมดสติล้มลงไป
หนิงเหยียนเดินเข้าไปหยิบถุงเก็บของขึ้นมาตรวจสอบ พยักหน้าให้กับสวี่ชิงอย่างตื่นเต้น
สวี่ชิงมองไปองค์ชายสิบที่หมดสติ หันหลังเดินกลับ ไปทางประตู ก่อนจะจากไปยังหันกลับมามองด้วยแววตาล้ำลึก
ผ่านไปหนึ่งก้านธูปในจวนองค์ชาย องค์ชายสิบงัวเงียตื่นขึ้นมา เมื่อได้เห็นทุกอย่างรวมถึงได้ฟังจากผู้คนรอบข้าง เขาก็เดือดดาลอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนก็รีบทูลลา
องค์ชายสิบลงโทษ องครักษ์ด้วยความเดือดดาล หลังจากแผดเสียงคำรามกึกก้อง เขาก็เดินเข้าไปยังห้องบรรทมพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะ
ทว่าทันทีที่ประตูห้องบรรทมปิดลง ไม่มีผู้ใดเห็นว่า
ความขุ่นเคืองในแววตาขององค์ชายสิบเลือนหายไปใน พริบตา มุมปากแสดงความความปลดปลงออกมา
‘น้าชิงขอรับ ซิ่นไห่ไร้ความสามารถ สิ่งที่ข้าทำให้ได้คือ ปกป้องสมบัติของท่านแทนน้องสิบสอง…ในที่สุดตอนนี้ก็ หวนคืนสู่อ้อมอกเจ้าของเดิม’
องค์ชายสิบพึมพำในใจ เมื่อนึกถึงผู้อาวุโสที่ล่วงลับ เขาก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
ในวังหลวงที่แสนเยือกเย็นและโหดร้ายนั้น เขาไม่เคยลืม ว่าใครเป็นผู้มอบไออุ่นดั่งผู้เป็นมารดาให้กับเขา
“น่าเสียดายที่ข้าใช้ได้วิธีนี้เท่านั้น ข้าไม่อาจให้ใครล่วงรู้ ห้วงคำนึงของข้าได้ และข้าจะต้องค้นหาสาเหตุการตายของ ท่านให้ได้ ท่านน้าชิง!”
