บทที่ 847 เส้นทางสู่สมบัติวิญญาณ
เสียงขององค์ชายใหญ่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ มองไปที่ตำราไม้ไผ่ในมือของนายกอง หลังจากตรวจสอบอีกครั้ง เขาก็แน่ใจว่าตนจำไม่ผิด
ถึงแม้เขาจะกลับไปยังตระกูลมารดาไม่บ่อยนัก แต่สิ่งของที่ได้รับการบูชาในวิหารเทพของตระกูลมารดา เขาจำได้อย่างขึ้นใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำตระกูลมารดาและเหล่าผู้เฒ่า ต่างก็ให้ความเคารพสิ่งของนี้เป็นอย่างมาก กล่าวว่าสิ่งของนี้เป็นบัญญัติเทพเจ้า เป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลคนแรกเมื่อหมื่นปีก่อน ได้ทำคุณงามความดีต่อเทพชั้นสูงจันทราคิมหันต์ จึงได้รับพระราชทานมา
นั่นคือสิ่งของของเทพเจ้า เป็นตัวแทนของเทพเจ้าในแง่หนึ่ง และเป็นรากฐานของตระกูล จึงไม่ค่อยนำมาให้คนนอกดูง่ายๆ
ดังนั้นแม้จะยืนยันแล้วว่าเป็นของสิ่งนี้ แต่องค์ชายใหญ่ก็ยังไม่กล้าเชื่อ
มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
สิ่งของอันสูงส่งเช่นนั้น กลับอยู่ในมือของเฉินเอ้อร์หนิว ซ้ำยังใช้มีดแกะสลักทีละนิดๆ…
แต่…ทั้งกลิ่นอาย รูปลักษณ์ หรือความรู้สึกเก่าแก่ หรือแม้แต่คลื่นความผันผวนพิเศษที่แผ่ออกมา ล้วนแต่ป่าวร้องบอกเขาว่าของสิ่งนี้…คือบัญญัติเทพเจ้า
องค์ชายใหญ่หายใจหอบ ลืมแนะนำเนื้อหาของแผ่นหยกแผ่นที่ 3 ให้สวี่ชิงต่อ รู้สึกเจ็บปวดที่สิ่งล้ำค่าถูกทำลาย จึงรีบพูดขึ้น
“หยุด!”
“สหายเฉินเอ้อร์หนิว ของชิ้นนี้…ของชิ้นนี้ไม่ควรนำมาแกะสลัก”
ส่วนนายกอง สีหน้าสงบมาก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยท่าทางดูไม่ยี่หระ พลางหรี่ตาลงมององค์ชายใหญ่
“ยังพอมีความรู้อยู่บ้าง รู้จักชื่อเจ้าของสิ่งนี้เสียด้วย”
พูดจบ มีดแกะสลักในมือของเขาเริ่มขยับอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงดัง ใจขององค์ชายใหญ่ก็สั่นคลอน เสี้ยวขณะต่อมาจิตใจพลันเกิดคลื่นโหมกระหน่ำ
เพราะเขาพบว่า…การแกะสลักครั้งนี้ บัญญัติเทพเจ้าไม่ได้รับความเสียหาย ทว่ากลิ่นอายและคลื่นความผันผวนในตัวมันกลับเข้มข้นขึ้น
“นี่…”
องค์ชายใหญ่ตะลึง
นายกองดูสงบมากขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถ้ารู้จักได้ แสดงว่าเคยเห็นมาแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว”
องค์ชายใหญ่รู้สึกสับสน จึงพยายามจะสะกดกลั้นเอาไว้ แล้วโค้งคำนับต่อนายกอง “ข้าเคยเห็นที่ตระกูลมารดา เป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลมารดาคนแรก ได้รับปูนบำเหน็จจากการทำคุณงามความดี”
นายกองเลิกคิ้ว “ตระกูลมารดาเจ้ามีแซ่อะไร?”
องค์ชายใหญ่เงียบไป แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ชิ่งเฟิง อยู่ใต้การปกครองของตำหนักเทพจันทราคิมหันต์…”
“ชิ่งเฟิง 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ของจันทราคิมหันต์? ผู้นำตระกูลคนแรกของตระกูลเจ้ามีนามว่าชิ่งเฟิงหลิงคงใช่หรือไม่” นายกองระลึกความทรงจำ คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
องค์ชายใหญ่ประหลาดใจที่อีกฝ่ายพูดออกมา แต่เมื่อนึกถึงว่าเฉินเอ้อร์หนิวอยู่กับสวี่ชิงตลอดทางในจันทราคิมหันต์ และมีชิวเชวี่ยจื่อติดตามไปด้วย การรู้เรื่องที่ไม่ถือเป็นความลับเหล่านี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
นายกองไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วหันไปแกะสลักต่อ
มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้น ที่แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา เขานึกถึงสิ่งที่นายกองพูดก่อนที่องค์ชายใหญ่จะมาถึง นายกองเล่าว่า…เขาเคยปลอมแปลงหลายร้อยชิ้น และลอบขายอย่างลับๆ
ดังนั้นสวี่ชิงจึงมององค์ชายใหญ่ ใจก็เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการที่ผู้นำตระกูลคนแรกของตระกูลมารดาของอีกฝ่ายได้รับตำราไม้ไผ่เล่มนี้
และหลังจากเหตุการณ์ของนายกอง จิตใจขององค์ชายใหญ่ก็ยากที่จะสงบลงในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อนายกองแกะสลักเสียงดังลั่น แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจงใจหรือไม่
เสียงดังกรีดครืดคราดดังก้อง องค์ชายใหญ่ก็รีบแนะนำเนื้อหาของแผ่นหยกแผ่นที่ 3 ให้สวี่ชิง แล้วก็ลุกขึ้นขอตัวลาอย่างว้าวุ่นใจ
ก่อนจากไป เขายังมอบป้ายแนะนำให้สวี่ชิง บอกว่าเป็นป้ายแนะนำของร้านค้าของตระกูลมารดาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ นำสิ่งของนี้ไปที่นั่น แล้วสามารถรับเสบียงที่จำเป็นสำหรับการเข้าร่วมด่านที่ 2 ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้จะปฏิเสธที่จะกลับไปยังจันทราคิมหันต์ จึงถูกตระกูลมารดาทอดทิ้ง แต่องค์ชายใหญ่กับตระกูลมารดา ก็ยังคงมีความผูกพันกันอยู่บ้าง
มิฉะนั้น หลังจากถูกทอดทิ้ง คงไม่ทิ้งภูเขาต้องห้ามที่กำหนดไว้ให้เขาในพื้นที่ต้องห้ามของขุนนางจันทราคิมหันต์ที่สวี่ชิงไปเยือนในวันนั้น
เมื่อเห็นว่าองค์ชายใหญ่เข้าใจเรื่องนี้ นายกองจึงพยักหน้าเล็กน้อย โยนตำราไม้ไผ่ที่แกะสลักเสร็จแล้วให้องค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ยกมือขึ้นรับ สีหน้าเปลี่ยนไป เขารู้ดีว่าบัญญัติเทพเจ้านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงไม่เข้าใจว่าเฉินเอ้อร์หนิวตั้งใจจะทำอะไร
“ยกให้เจ้าแล้วกัน จำไว้ว่าอย่าให้ใครล่วงรู้ ด้วยของชิ้นนี้ เจ้าจะผ่านด่านที่ 2 ไปได้อย่างแน่นอน” นายกองพูดอย่างภาคภูมิใจ
องค์ชายใหญ่ยังคงรู้สึกมึนงง ภาพลักษณ์ของนายกองในใจของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เต็มไปด้วยความลึกลับ
“ของสิ่งนี้มีค่ามากเกินไป…ควรมอบให้คุณชายสวี่ แบบนี้…” องค์ชายใหญ่ลังเล
“ถูกต้อง แต่เจ้าคู่ควรกับมัน!”
นายกองขัดจังหวะคำพูดขององค์ชายใหญ่ ลุกขึ้นเดินไปหาเขา ตบไหล่อย่างแรง พูดอย่างจริงใจ “จงจำไว้เสมอ เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์ ถึงแม้สิ่งของนี้จะมีค่ามหาศาล แต่ตราบใดที่เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์ เจ้าก็คู่ควรที่จะได้รับ!”
“ส่วนสวี่ชิง เขาไม่ต้องการ เขาต้องต่อสู้ไปชั่วชีวิต นี่คือการฝึกฝนของเขา”
“ดังนั้น อนาคตของเผ่ามนุษย์ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้ามากกว่า”
นายกองให้กำลังใจ
หากเป็นเวลาอื่น คำพูดเหล่านี้ของเขา คงไม่ทำให้องค์ชายใหญ่รู้สึกผันผวนมากนัก เว้นแต่จะสิ่งที่พูดมานั้นมีเหตุผล
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป
ร่างกายขององค์ชายใหญ่สั่นสะท้าน สูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าหนักแน่น ถอยหลัง 3 ก้าวแล้วโค้งคำนับนายกอง
นายกองประสานมือไพล่หลัง พยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าประดับรอยยิ้ม มององค์ชายใหญ่จากไป จนกระทั่งร่างขององค์ชายใหญ่หายไปจากบ้าน เขาก็ขยิบตาอย่างภาคภูมิใจให้กับสวี่ชิง
“ตอนนั้นหลิงคงของตระกูลเขาก็ถูกหลอกแบบนี้”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร สายตาจ้องมองแผ่นหยก 3 แผ่นตรงหน้า แล้วหยิบแผ่นที่ 2 ขึ้นมา นึกถึง 4 อัจฉริยะฟ้าประทานที่องค์ชายใหญ่พูดถึง
จิตเทพของเขาตรวจสอบภายในแผ่นหยก ภายในบันทึกไว้อย่างละเอียด นอกจากการแนะนำทั้ง 4 คนนี้แล้ว ยังมีภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหวบางส่วนด้วย
เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ใจของสวี่ชิงก็ค่อยๆ สงบลง
ตลอดทางที่ผ่านมา ความราบรื่นของกระบวนการไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเย่อหยิ่ง ถึงแม้ว่าเขารู้ว่าตนเองเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงประสบการณ์ในหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนายกองแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถตามเขาทัน
ทว่าเขายังไม่พอใจ
แม้แต่ความฝันเดิมของเขาตอนอยู่ในสลัม คือการตามหาพ่อแม่ และมีชีวิตรอดเท่านั้น แต่หากมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เขาก็พอใจมากขึ้น
แต่การปรากฏตัวขององค์รัชทายาทม่วงคราม ทำให้เขาได้รับแรงกระตุ้นอย่างมหาศาล และเปลี่ยนความคิดของสวี่ชิงไป
เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น!
“มีเพียงการมาถึงเผ่าใหญ่ที่มีพลังเหนือกว่าเผ่ามนุษย์ จึงจะรู้ถึงข้อบกพร่องของตนเอง”
“และมีเพียงการต่อสู้กับอัจฉริยะฟ้าประทานในรุ่นเดียวกันจากต่างเผ่าเท่านั้น จึงจะก้าวไปได้ไกลยิ่งขึ้น!”
สวี่ชิงหายใจเข้าลึกๆ หลับตา นั่งสมาธิ มองดูสมบัติลับของตน
ตอนนี้สมบัติลับของเขา มี 4 แห่งครึ่ง
สภาวะเทพเจ้า 3 แห่ง กระบี่จักรพรรดิ 1 แห่ง อีกครึ่งหนึ่งคือรูปทรงนาฬิกาแดดที่เขาพยายามผลักดันออกมาก่อนหน้านี้
สวี่ชิงหวนคิดถึงเส้นทางการฝึกบำเพ็ญของตนเอง
“ต้องหาทางทำให้สมบัติลับแห่งที่ 5 สมบูรณ์ เพื่อเลื่อนขั้นพลังการต่อสู้”
สวี่ชิงมีตัวเลือกหลายทาง ทางแรกคือการใช้เส้นวิญญาณเลียนแบบรูปทรงของชื่อหมู่ หลอมรวมกับตนเอง กลายเป็นเจ้าแห่งดวงจันทร์สีม่วง เพื่อไปสู่สภาวะเทพเจ้าขั้นสมบูรณ์ร่างที่ 4
แต่การทำเช่นนั้น ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือยึดโยงกับจันทร์สีชาดมากเกินไป ถึงขั้นแยกจากกันไม่ออก
สวี่ชิงไม่สามารถตัดสินได้ว่าหลี่จื้อหวาเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นในอนาคต อาจจะมีภัยคุกคามถึงชีวิต
และอีกทางเลือกหนึ่ง คือการเปิดสมบัติลับแห่งที่ 5 ใหม่ แต่สิ่งนี้ต้องใช้สมบัติเทพที่มีพลังเหมือนกับสมบัติลับอื่นๆ
สวี่ชิงครุ่นคิด จิตใจเริ่มเอนเอียง
“ยังมีปัญหาอีกอย่าง นั่นคือวิถีสวรรค์…”
“ตอนนี้ข้ามีเพียงอสูรสมุทรบรรพกาล แม้จะไม่ส่งผลต่อพลังการต่อสู้ของข้าเป็นเพราะสภาวะเทพเจ้า แต่ถ้าจำนวนไม่เพียงพอ ก็จะขัดขวางการเลื่อนขั้นของข้าสู่มหาขั้นหวนสู่อนัตตาอย่างมาก”
สวี่ชิงเข้าใจดี สมบัติลับแต่ละแห่งต้องมีวิถีสวรรค์เท่านั้นจึงจะสมบูรณ์ จึงสามารถไปสู่มหาขั้นหวนสู่อนัตตาได้
และสำหรับผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณ วิถีสวรรค์นั้นยากที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังนั้นส่วนใหญ่จึงไปจับในโลกใบเล็กเพื่อควบคุมและฝึกฝนให้กลายเป็นวิถีสวรรค์ของตนเอง
“แต่ของข้าคือสมบัติเทพ วิถีสวรรค์ธรรมดาไม่สามารถรองรับได้ อสูรสมุทรบรรพกาลก็เกิดจากข้า จึงมีข้อได้เปรียบตั้งแต่แรก สามารถรวมเข้าไปได้”
“เช่นนั้นวิถีสวรรค์แบบใด ที่จะสามารถรองรับสมบัติเทพของข้าได้…”
สวี่ชิงลูบขมับ นึกถึงโอรสวิถีสวรรค์ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนั้นใช้ไม่ได้ จึงลืมตาขึ้น มองไปยังนายกองที่หยิบตำราไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่ง แกะสลักอย่างมีความสุข
และถามคำถามนี้
นายกองเงยหน้าขึ้น คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
“วิถีสวรรค์ที่สามารถหลอมรวมกับสมบัติเทพได้ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าสิ”
“หลังจากด่านที่ 2 เราต้องผ่าด่านที่ 3 ใช่หรือไม่?”
“ถึงตอนนั้นไม่ว่าแผ่นดินเทวะแห่งใดจะถูกฉีกทึ้ง แต่ก็เป็นแผ่นดินเทวะทั้งสิ้น”
“ในแผ่นดินเทวะ ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นของของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพ ถึงตอนนั้นเราจับสิ่งมีชีวิตประเภทเทพมาสักสองสามตัว ขังไว้ในสมบัติเทพของเจ้า จิตวิญญาณของพวกมัน ก็คือวิถีสวรรค์ไม่ใช่หรือ?”
ดวงตาของสวี่ชิงเบิกกว้าง ใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้
เวลาผ่านไปเช่นนี้หลายวัน
เหลือเวลาอีกครึ่งเดือน ก่อนที่ด่านที่ 2 จะเริ่มต้น
และการปลอมแปลงของนายกองดำเนินไปแล้วกว่าครึ่ง ความคิดของสวี่ชิงชัดเจนขึ้น เมื่อรวมสิ่งที่เขาคิดกับคำแนะนำของนายกอง หลังจากการหลอมรวมและการปรับแต่ง เขาก็เห็นหนทาง
ดังนั้นในเที่ยงวันนั้น สวี่ชิงจึงออกจากบ้าน เขาจะไปยังร้านค้าตระกูลมารดาขององค์ชายใหญ่ เพื่อซื้อเสบียง
นอกจากยาแล้ว ยังมีสมุนไพรพิษด้วย
และป้ายแนะนำใบนั้น ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ทำให้การซื้อของครั้งนี้ของสวี่ชิงราบรื่นมาก ไม่เพียงแต่ได้ยาจำนวนมาก แต่ยังได้สมุนไพรพิษที่หายากในเผ่ามนุษย์มาเป็นกอบเป็นกำ
แม้จะอยู่ระหว่างทางกลับจากร้านค้า ก็ยังเจอผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์บางคนเข้ามาท้าทายเพื่อสร้างชื่อ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่สวี่ชิงล้วนมองข้ามไป
แต่บางครั้ง การเมินเฉยไปเรื่อยๆ มักจะถูกมองว่าอ่อนแอ และกระตุ้นให้เกิดความเย่อหยิ่ง
เฉกเช่นตอนนี้ ระหว่างทางกลับที่พัก สวี่ชิงก็หยุดเดิน
กลิ่นอายของเขาเกิดความผันผวน
สายตาของเขา มองไปที่ตลาดกลางแจ้งทางด้านขวา ที่นั่นเป็นสถานที่ขายทาสของเผ่านภาคิมหันต์ ภายในมีเผ่าพันธุ์ต่างๆ รูปร่างแตกต่างกัน ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญ
พลังของแต่ละคนอ่อนแอ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล ถูกโซ่เหล็กแทงทะลุร่างกาย มัดติดกันเป็นกลุ่มก้อน ราวกับสัตว์
ในบรรดานั้น…มีเชลยศึกเผ่ามนุษย์อยู่ไม่น้อยเนื่องจากสงครามในตอนนี้ ไม่รู้ว่ามาถึงที่นี่และกลายเป็นสินค้าได้อย่างไร
พวกเขาเป็นทหารของเผ่ามนุษย์ และตอนนี้ถูกมัดรวมเป็นกลุ่มก้อน ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเฉยชา
องค์ชายใหญ่ก็อยู่ที่นี่ กำลังทำหน้าบึ้งตึงอยู่กับนายทาส ต้องการซื้อคนของเผ่ามนุษย์เหล่านั้นกลับมา
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ราบรื่น
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)