บทที่ 858 หมอกเทานพกาฬ
แผ่นดินใหญ่ผืนคีรี เขตต้องห้ามนพกาฬ
ที่นี่คือศูนย์กลางและแก่นแท้ของดินแดนนี้!
เมื่อมองจากภายนอก หมอกสีเทาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ความปั่นป่วนนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับและความตายไร้สิ้นสุด
มหกรรมล่าเหยื่อที่ผ่านมา ผู้ใดก็ตามที่ย่างกรายเข้าสู่เขตต้องห้ามนพกาฬ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับออกมา
ทว่าตำนานเกี่ยวกับนพกาฬดึงดูดผู้บำเพ็ญแห่งเผ่านภาคิมหันต์รุ่นแล้วรุ่นเล่าให้ตบเท้าเข้ามาไม่หยุดยั้ง
สำหรับจี้ตงจื่อก็เช่นกัน
เขาเองก็เคยคิดที่จะเข้าไปสำรวจ แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขตต้องห้ามนพกาฬเพิ่มขึ้น ความลับที่ไม่เคยเปิดเผย และการคาดเดาบางอย่างของเขา…
เขาก็ไม่กล้า
“จิ่วหลี…นั่นเป็นนามพิเศษ”
จี้ตงจื่อจ้องลึกเข้าไปยังแผ่นดินหมอกเทาเบื้องหน้า นึกถึงการต่อสู้กับสวี่ชิง เขาต้องยอมรับว่าแม้สวี่ชิงจะไม่เก่งเท่าตน แต่ก็ยากที่จะสังหารอีกฝ่าย
“คนผู้นี้ นับว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอันดับ 1 ของเผ่ามนุษย์ยุคนี้”
“แต่สุดท้ายก็เป็นอดีตไปแล้ว”
จี้ตงจื่อหันไป สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นเงาสีเลือดก็ปรากฏขึ้นข้างๆ โค้งคำนับน้อยๆ
“ไปทูลอ๋องหมิงหนาน ว่าสวี่ชิงตายแล้ว”
จี้ตงจื่อพูดเบาๆ หันหลังเดินขึ้นไปบนท้องฟ้า หายวับไปในอากาศ
ในสายตาของเขา สวี่ชิงที่เข้าไปในเขตต้องห้ามนพกาฬ เวลาตายนั้นไม่สำคัญ เมื่อถูกหมอกสีเทาปกคลุม ย่อมหมายความว่าไม่มีทางกลับออกมาได้
สวี่ชิง…เองก็รู้สึกเช่นนั้น!
ขณะที่เขาเข้ามา หมอกสีเทาที่นี่ก็เหมือนมีชีวิต เข้าปกคลุมเขาในทันที ต้องการที่จะกลืนเขาด้วยความโลภและความปรารถนา
หากแต่หมอกสีเทาไม่ใช่ไอพลังประหลาด แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้จัก
เมื่อพลังต้นกำเนิดเทพสีม่วงภายในตัวสวี่ชิงสัมผัสกับหมอกสีเทา ก็ถูกกดดัน เส้นวิญญาณทั้งหมดอ่อนแอลง ค่อยๆ สูญเสียความมีชีวิตชีวา
ราวกับว่าเขตต้องห้ามนพกาฬชิงชังเทพเจ้า ดังนั้นทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าจะถูกพวกมันผลักไส
ดังนั้นสภาวะเทพเจ้าของสวี่ชิงจึงเริ่มเสื่อมสภาพ ในเวลาอันสั้นก็สั่นคลอน
“พลังต้นกำเนิดเทพดวงจันทร์สีม่วงของข้า มาจากชื่อหมู่…แม้จะเทียบไม่ได้ แต่มีคุณสมบัติเหมือนกัน ตำแหน่งเหมือนกัน แต่หมอกสีเทานี่ กลับสะกดมันได้!”
ก่อนหน้านี้สวี่ชิงรู้ว่านพกาฬไม่ธรรมดา และตอนนี้ความรู้สึกนี้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
นอกจากนี้ ถ้าเพียงแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าถูกกดขี่เขาก็ยังพอไหว ทว่าสวี่ชิงกลับพบว่า พลังบำเพ็ญของเขาก็ถูกผลักไส ถูกกดขี่เช่นกัน
เตาธูปในสมบัติลับของเขากำลังดับมอดลง
แม้แต่วิถีสวรรค์…ก็เริ่มง่วงงุน
“คิดจะผลักไสทุกอย่างเลยหรือ?”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว นอกจากนี้ สิ่งที่เขาคาดไม่ถึง คือเขารู้สึกถึงพลังพิเศษที่อยู่ในหมอกสีเทา
เฉกเช่นกงกรรมผูกมัดตัวเขากับที่นี่ เขา…ไม่สามารถถอยกลับได้
แม้จะลองหลายครั้ง แต่ก็เป็นเช่นนั้น
สวี่ชิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพื่อทดสอบขีดจำกัด
ความสามารถทั้งหมดที่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ปะทุออกมา แต่ในทันทีนั้น ร่างกายที่ถอยหลังของเขาก็หยุดชะงักลง
วิกฤตเป็นตายที่เหนือกว่าจี้ตงจื่อร้อยเท่าพันทวี แล่นไปทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายของสวี่ชิงสั่นสะท้านราวกับจะแหลกสลาย
หมอกรอบๆ ในขณะนี้ เริ่มส่งเสียงกระซิบออกมา
เสียงทั้งหมด กลายเป็นถ้อยคำเดียว ดังสะท้อนในใจสวี่ชิงราวกับสายฟ้าฟาด
“ตาย!”
คำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้น โทสะ จิตสังหาร เป็นสิ่งที่สวี่ชิงรู้สึกรุนแรงที่สุดในชีวิต
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าหากเขาถอยหลังไปอีกก้าวเดียว เขตต้องห้ามนพกาฬจะปล่อยพลังทำลายล้างที่เขาต้านทานไม่ได้ออกมาในพริบตา และเขาก็จะถูกทำลายทั้งร่ายกายและจิตใจโดยสมบูรณ์
เดินไปข้างหน้า แต่เนื่องจากการผลักไส ยิ่งก้าวไปไกลเพียงไรก็ยิ่งยากลำบาก สุดท้ายอาจถูกผลักไสจากทุกสิ่งและกลายเป็นคนธรรมดา
ถอยหลัง ก็อาจหมายถึงความตาย
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สวี่ชิงเผชิญบ่อยครั้ง
ดังนั้นสวี่ชิงจึงหรี่ตาลง ข่มความหงุดหงิด รักษาความสงบของตนเอาไว้ พลางสังเกตการณ์รอบๆ
บริเวณที่เขาอยู่ แม้จะอยู่ในเขตต้องห้ามนพกาฬ แต่ก็อยู่ใกล้ขอบ ปราณหมอกนี่ แน่นอนว่าหนาแน่นกว่าภายนอก แต่เมื่อเทียบกับใจกลางเขตต้องห้ามนพกาฬแล้วเบาบางกว่าอย่างชัดเจน
ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้บ้าง
ไม่มีพืชพรรณ ไม่มีภูเขา ไม่มีไอพลังประหลาด!
ส่วนพื้น ค่อนข้างอ่อนนุ่ม มันคือหนองน้ำ
ในหนองน้ำสีดำ มองเห็นกระดูกจำนวนมาก ไม่รู้ว่าจมอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่ เฝ้ามองกาลเวลาอย่างเงียบงัน
เต็มไปด้วยความผันผวนของเวลา เต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า
มีเพียงเสียงซ่าๆ ที่สภาวะเทพเจ้าของสวี่ชิง ส่งออกมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
นั่นคือเสียงที่เขาต่อสู้กับการรุกรานของหมอกสีเทา
ทว่าสภาวะเทพเจ้าที่ไม่มั่นคง ทำให้การต่อสู้เช่นนี้ ดำเนินต่อไปได้ไม่นาน
“อยู่ที่เดิม แม้จะชะลอเวลาการรุกรานได้ แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไข”
“ในเมื่อถอยกลับไม่ได้ ดังนั้น…แทนที่จะรอตายอยู่ที่นี่ สู้ลองเข้าไปดูทุกซอกทุกหลืบ ดูว่านพกาฬคืออะไร บางที…อาจมีหนทางรอดชีวิตอยู่”
ดวงตาของสวี่ชิงเป็นประกาย ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยว
เขาระมัดระวังอย่างยิ่งในทุกก้าวที่ย่ำลงไป พยายามควบคุมร่างกายไม่ให้จมลงไปในหนองน้ำ และใช้พลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านการรุกรานของปราณหมอก
เวลาผ่านไปเช่นนี้ 3 ชั่วยาม
สวี่ชิงที่เดินอยู่ในเขตต้องห้ามนพกาฬ ไม่พบสิ่งมีชีวิต และไม่พบนพกาฬ
ที่นี่กว้างใหญ่เกินไป คล้ายจะไร้ที่สิ้นสุด นอกจากปราณหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไร
มีสิ มีพื้นที่ที่อ่อนยวบมากขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งรอยบุ๋มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ความเร็วของสวี่ชิงจึงช้าลงเรื่อยๆ สุดท้ายสภาวะเทพเจ้าระดับที่ 4 ก็ไม่สามารถทานทนได้ เสื่อมสภาพลงสู่ระดับที่ 3 ระดับที่ 2 และระดับที่ 1
สุดท้าย เส้นวิญญาณทั้งหมดก็นิ่งสนิท
ดวงจันทร์สีม่วงหลับใหล
ร่างกายของสวี่ชิง ปรากฏตัวขึ้นบนหนองน้ำ ในขณะที่ปราณหมอกสีเทารุกรานอย่างรวดเร็ว พิษก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของสวี่ชิง
ในฐานะพลังต้นกำเนิดเทพที่มีตำแหน่งสูงกว่าชื่อหมู่ พลังเสริมพิษต้องห้ามย่อมออกฤทธิ์นานกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อสวี่ชิงยิ่งร้อนใจ ปริมาณพิษต้องห้ามก็กลายเป็นจุดอ่อน
ภายใต้การกดขี่ของปราณหมอกสีเทาที่หนาแน่น พิษต้องห้าม…หลับใหล
สิ่งที่เงียบไปพร้อมกัน คือสมบัติลับของสวี่ชิง
ดับลงทีละอย่าง
เมื่อเปลวไฟในเตาธูปในสมบัติลับดับลง ความโลภที่แผ่ออกมาจากปราณหมอกสีเทาก็รุนแรงขึ้น ราวกับปีศาจที่วนเวียนอยู่รอบๆ เมื่อสบโอกาสก็พุ่งตัวเข้าหาสวี่ชิง
ทว่าในทันใดนั้น เตาเผาสำริดก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของสวี่ชิง
เตาเผาโบราณแผ่คลื่นผันผวนประหลาด มีควันสีเขียวลอยสูงประมาณร้อยจั้ง แล้วกระจายออกทางปลาย ก่อตัวเป็นวงแหวนควันปกคลุมร่างสวี่ชิง ราวกับม่านน้ำตก ขัดขวางการรุกรานของหมอกสีเทา
นั่นคือสมบัติของผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อ นามว่าเทียนหลิงจื่อที่สวี่ชิงสังหารบนภูเขาต้องห้ามที่ 9
เจ้าสิ่งนี้เคยต้านทานพิษต้องห้ามของสวี่ชิง ทำให้เทียนหลิงจื่อขึ้นไปบนภูเขาลูกที่ 9 ได้สำเร็จ
แสดงให้ประจักษ์ถึงพลังของมัน
ตอนนี้เมื่อนำออกมา เมื่อวงแหวนควันลอยลงมา พลังบำเพ็ญและพลังต้นกำเนิดเทพที่หลับใหลในตัวสวี่ชิง ก็เริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัว ราวกับฝาครอบแยกโลกภายนอกออกจากตัวเขา
แม้ว่าความยึดติดกับกงกรรมยังคงรุนแรง แต่ก็ช่วยบรรเทาความกดดันของสวี่ชิงได้ในระดับหนึ่ง
แต่…เขารู้สึกได้ว่า เตาเผานี้ใช้พลังงานมาก สิ่งที่ก่อตัวเป็นวงแหวนควันมีน้อย ดังนั้นจึงใช้ได้เพียงไม่นาน
ตอนนี้กำลังถูกโจมตีอย่างรวดเร็ว คาดว่าเพียง 1 ชั่วก้านธูปก็มลายหายไปจนสิ้น
“เวลา 1 ก้านธูปนี้ เพียงพอให้พลังต้นกำเนิดเทพและพลังบำเพ็ญของข้าฟื้นตัว แต่ก็แค่ยืดเวลาออกไปชั่วครู่เท่านั้น…”
สวี่ชิสีหน้าไม่สู้ดี มองไปรอบๆ จากการประเมินของเขา ตอนนี้แม้เขาจะยังเข้าไปไม่ถึงใจกลางนพกาฬ แต่ก็เดินทางเข้ามาลึกพอสมควรแล้ว
ตลอดทาง นอกจากหมอก ก็ไม่มีอะไรปรากฏออกมา
นอกจากหนองน้ำ
“แล้วใต้หนองน้ำล่ะ?”
สวี่ชิงก้มลง มองหนองน้ำสีดำใต้เท้า หลังจากไตร่ตรองแล้วเขาก็ไม่ได้ทดลองด้วยตนเอง แต่เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าเงา!”
หนองน้ำใต้เท้าของสวี่ชิงมีเงาปรากฎขึ้นบางส่วน ส่งอารมณ์ที่แปรปรวนเล็กน้อยมาถึงเขา และดูสภาพคล้ายจะเต็มไปด้วยรอยแผลจากไฟไหม้
ราวกับร้องเตือนกับสวี่ชิงว่ามันบาดเจ็บ
สวี่ชิงไม่สนใจ
“ลงไปดู”
เจ้าเงารู้สึกน้อยใจ แต่ประสบการณ์ที่ถูกกดขี่มานาน ทำให้มันต้องยอมรับความเป็นไปของโชคชะตา เพียงร่างวูบไหว มันก็ดำดิ่งลงไปในโคลน และแผ่ขยายตัวอยู่ภายใน
เพิ่งจะดำลงไปไม่ถึง 3 จั้ง ร่างของมันก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ส่งเสียงครวญครางออกมา ร่างเงาเริ่มจางหาย
“เจ็บ…เน่า…สลาย…กลัว…”
สวี่ชิงไม่ไหวติง แต่ยังคงรับรู้
พอเห็นว่าสวี่ชิงไม่สนใจ เจ้าเงายิ่งรู้สึกน้อยใจ อดทนต่อความรู้สึกที่กำลังจะสูญสลาย แล้วแผ่ขยายลงไปต่อ
ไม่นานก็ลงไปที่ 10 จั้ง 50 จั้ง จนถึง 100 จั้ง
ทุกพื้นที่ล้วนแต่เป็นโคลนตม
และ ณ จุดนี้ ความรู้สึกที่กำลังสลายตัวของเจ้าเงาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะส่งความรู้สึกขอความช่วยเหลือออกมาอีกครั้ง
“ไปต่อ…ตาย…กลัว…ขอร้อง…”
สวี่ชิงครุ่นคิด แล้วพูด
“หากข้าตายที่นี่ เจ้าก็ต้องตายตกไปด้วย และหากเจ้านำโอกาสรอดมาให้ข้า ข้าสัญญาว่าหลังจากเจ้าตายไปแล้ว ข้าจะพยายามทำให้เจ้าฟื้นคืนชีพกลับมา”
น้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ เจ้าเงารับรู้ ร่างกายสั่นเทา ในทันใดนั้นก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้น แผ่ขยายดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
100 จั้ง 300 จั้ง 500 จั้ง…
พลังทำลายล้างยิ่งหนักหน่วง เสียงครวญครางน่ากลัว ร่างกายของเจ้าเงาแตกสลาย สุดท้ายก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลายสิบเส้น
1 เส้นกลับมา ส่วนที่เหลือทั้งหมดดำดิ่งลงไปยังจุดที่ลึกกว่า พยายามแผ่ขยายจนสุดความสามารถ ด้วยวิธีการฆ่าตัวตาย
เงาเหล่านั้นแตกสลาย บางส่วนมลายหายไป ส่วนที่เหลือก็แตกออกเป็นหลายสิบเส้น เหมือนกับตาข่ายขนาดใหญ่ แผ่ขยายลงต่อไป
เสียงครวญครางยังคงอยู่ แตกสลายตลอดเวลา จนกระทั่ง 10 กว่าอึดใจผ่านไป เจ้าเงาแตกแขนงออกหลายสิบครั้ง ก่อตัวเป็นเงาร้อยกว่าเส้น ในที่สุดก็มีเงาเส้นหนึ่ง เจาะลึกลงไปถึงความลึก 1,000 จั้ง
เมื่อสลายตัวลงที่นั่น ก็ส่งภาพหนึ่งกลับมา ปรากฏในใจของสวี่ชิง
เมื่อเห็นภาพนี้ สวี่ชิงก็สั่นสะเทือน หายใจหอบ ใบหน้าถอดสี
“นี่มัน…”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)