Skip to content

Outside Of Time 874


บทที่ 874 คนสุดท้าย

เศษระลอกคลื่นบนท้องฟ้าเหมือนรอยยับย่น จากหมอกที่แผ่ออกไปทั่วทุกทิศเป็นชั้นๆ ก็คงอยู่นานไม่หายไป

มองไปไกลๆ รอยยับย่นนี้เหมือนเกล็ดปลา เหมือนมีปลาตัวใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางเรื่องจริงและภาพมายา มีผืนฟ้าเป็นน้ำ และมีมิติเป็นโลก กำลังขยับเคลื่อนไปอย่างช้าเนิบในมิติ

ทำให้คนตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

และข้างหน้าปลาตัวใหญ่มายาตัวนี้ เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิ ผมยาวปลิวพริ้ว แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ กลายเป็นจุดสนใจของฟ้าดินแห่งนี้

ดวงตาทั้ง 2 ของสวี่ชิงหลับลง นิ่งไม่ขยับ

นอกร่างของเขา เงาร่างรางเลือนของบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณครึ่งหนึ่งก็ค่อยๆ ผสานไปในม่านฟ้า จากการแหวกว่ายของปลาใหญ่ ก็เหมือนว่ากำลังจากไปไกล

แผ่นดินเงียบสงัดไปทั้งแถบ ผู้บำเพ็ญที่นี่ทุกคนในใจล้วนเกิดคลื่นซัดโหมรุนแรง ความหวาดกลัวอันไม่มีสิ้นสุดแผ่กระจาย

พวกเขาเป็นพยานให้กับการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยตาของตัวเอง เป็นพยานให้กับการแตกดับของจี้ตงจื่อผู้ที่อยู่ในอันดับ 2 ของเผ่านภาคิมหันต์

ความหวาดกลัวสั่นสะท้านแผ่ลามไปทั่วร่างอย่างไม่อาจควบคุมได้

นับจากเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงปรากฏตัวขึ้น รถผีหมอบคารวะ ป่าดิบชื้นแยกออกจากันเอง พวกเขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของสวี่ชิง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จี้ตงจื่อที่อยู่ในความทรงจำมาตลอดก็เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นกัน

แต่ศึกที่สู้กับสวี่ชิงศึกนี้ จี้ตงจื่อนับจากต้นจนจบ วิชาทุกอย่างของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชิงก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น

ถูกควบคุมโดยตลอด กระทั่งว่าทำให้คนรู้สึกว่า จี้ตงจื่อเหมือนจะเปลี่ยนมาอ่อนแอกว่าปกติ

แต่ความรู้สึกจะอย่างไรก็เป็นความรู้สึก

จี้ตงจื่อไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เหตุที่ทำให้คนรู้สึกแบบนั้นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งเกินไป!

และลำพังเพียงความพ่ายแพ้ของจี้ตงจื่อ แม้จะทำให้คนทั้งหลายหวาดกลัว แต่ความตื่นตะลึงในใจก็มีจำกัด ไม่มีทางเหมือนกับตอนนี้ที่ทำให้จิตใจของพวกเขาอยู่ในความสั่นสะท้านสุดขีด

สิ่งที่ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านคือหมอกสีเทาเบาบางที่อยู่ในสภาวะรางเลือนหายไปรอบๆ ตัวสวี่ชิง ตลอดจนเงาคลุมเครือที่กำลังจากจางหายไปข้างหลังของเขา!

นี่ถึงจะเป็นต้นเหตุของคลื่นลูกมหึมาที่ซัดโหมในใจพวกเขา

เพราะหมอกเทาพวกเขารู้ว่ามาจากแดนนพกาฬ

ส่วนเงาร่างนั้นพวกเขาไม่รู้จัก แต่การสัมผัสจากในสายเลือดกลับฉายความสนิทสนมชิดเชื้ออย่างไม่อาจบรรยายออกมาได้ เหมือนเป็น…ต้นกำเนิด

ทันทีที่สัมผัสนี้เข้มข้น สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิ ดวงตาทั้ง 2 ก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา

ทันทีที่ลืมตาขึ้น ตราประทับผู้ใช้วิญญาณที่กลางหว่างคิ้วก็พลันฉายประกายวาบ เงาร่างบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณครึ่งหนึ่งข้างหลัง ความเก่าแก่โบราณยิ่งรุนแรงขึ้น ความรู้สึกที่อยากหมอบคารวะไปตามสัญชาตญาณจากในสายเลือด ในวิญญาณของทุกคน ทั้งให้ผู้บำเพ็ญทุกคนที่นี่ต่างเนื้อตัวสั่นสะท้าน

ฝานซื่อซวงเป็นเช่นนี้ เทียนโม่จื่อก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

รถผีที่แต่เดิมก็หมอบคารวะอยู่แล้วยิ่งส่งเสียงครวญคร่ำที่เหมือนกับร้องไห้ออกมา

เสียงก้องวนเวียนดังไปทั่วทุกทิศ ทำให้ฟ้าดินเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอันยากบรรยาย ส่งผลต่ออารมณ์ของทุกคน ทำให้พวกเขามองเงาร่างนั้น ในใจเกิดความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งเช่นกัน

นั่นเป็นความรู้สึกอยากร้องไห้ที่มาจากวิญญาณ มาจากสายเลือด

ภายใต้ความรู้สึกนี้ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายบนพื้นมีคนคุกเข่าหมอบไปทางสวี่ชิงและเงาร่างที่อยู่ข้างหลังของเขาทันที ทำความเคารพ

เทียนโม่จื่อก็เช่นกัน คนอื่นๆ ก็ทยอยทำเช่นนี้เช่นกัน

สุดท้ายคือฝานซื่อซวง ต่อให้เป็นเขา ภายใต้ความหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้เป็นระลอกๆ ในใจ ก็ต้องก้มศีรษะ หมอบคารวะ เคารพยำเกรงไปเช่นกัน

ข้างหน้าสวี่ชิงยิ่งมีรถผีเก่าแก่แผ่ระลอกคลื่นพลังระดับเตรียมสู่เทวะ ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีการพิจารณาอย่างก่อนหน้านี้ ก้มศีรษะไปทางสวี่ชิงต่ำยิ่งกว่าเดิม

สวี่ชิงมองทุกอย่าง เขาในที่สุดก็รู้ว่าในตำนานที่เกี่ยวกับนพกาฬ ทำไมถึงเล่าลือกันว่าผู้ที่ครอบครองนพกาฬ จะได้รับการเคารพหมอบคารวะจากเผ่าพันธุ์ทุกเผ่าในนภาคิมหันต์

เพราะนั่นเป็นสาเหตุจากสายเลือด

“น่าเสียดาย ผสานไปได้แค่ครึ่งเดียว”

สวี่ชิงพึมพำในใจ สัมผัสรับรู้สมบัติผู้ใช้วิญญาณที่ 5 ของตัวเอง

แผ่นดินที่ใช้เลือดเนื้อของเขาสร้างขึ้นมา ตอนนี้ฝังป้ายสักการะเทพเอาไว้ 95 ป้าย ถูกเลือดเนื้อห่อหุ้ม ถูกหมอกสีเทาแผ่ปกคลุม กำลังเน่าสลายไป

และในท้องฟ้าสมบัติผู้ใช้วิญญาณ บนภูเขาทั้ง 9 ลูกตรงนั้น มิติที่แต่เดิมว่างโล่ง ตอนนี้มีวัตถุใหญ่มหึมาเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

เป็นเงาร่างบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณครึ่งร่างนั่นเอง

เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ทรงพลังสะท้านฟ้าดิน อีกทั้งยังมีพลังชีวิตอย่างเห็นได้ชัด กำลังหายใจอยู่

ทุกครั้งที่หายใจเข้าล้วนทำให้รู้สึกว่าสมบัติผู้ใช้วิญญาณที่ 5 เกิดการหดเล็กลง ในป้ายสักการะเทพทั้ง 95 ป้ายที่ถูกฝังอยู่ในแผ่นดินเลือดเนื้อนั่นยิ่งปล่อยควันสีทองเป็นกลุ่มๆ ลอยตรงไปยังท้องฟ้า ถูกเขาสูดลงไป

พวกมันเป็นเหมือนสารอาหาร ทุกชั่วขณะล้วนมอบเงื่อนไขทุกอย่างในการผสานให้กับสมบัติผู้ใช้วิญญาณนี้

จากนั้นในยามที่เงาร่างบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณหายใจ สมบัติผู้ใช้วิญญาณก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดสัญญาณการแผ่ขยายไปข้างนอก

ทุกอย่างนี้ราวกับเป็นวัฏจักร

สมบัติผู้ใช้วิญญาณที่ 5 จากการปรากฏขึ้นมาของป้ายสักการะเทพเหล่านั้น จากการปรากฏของเงาร่างบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณก็เหมือนว่ามีชีวิตขึ้นมาแล้ว!

สายตาของสวี่ชิงจ้องมองทุกอย่าง สุดท้ายก็จับไปที่เงาร่างของบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณครึ่งร่างนั้น ในใจเกิดความคาดหวัง

นานจากนั้น เขาดึงสายตากลับมา ท่ามกลางฟ้าดิน ท่ามกลางการหมอบคารวะจากทั่วทุกสารทิศ ลุกขึ้นมา

ทันทีที่ลุกขึ้น ระลอกคลื่นกลุ่มหนึ่งก็แผ่มาจากที่ไกล สัญญาณของการส่งข้ามเป็นระลอกก็แผ่ซ่านมาตามคลื่น ระลอกคลื่นและการส่งข้ามนี้มาจากทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี

นั่นเป็นสัญญาณว่าด่านที่ 2 กำลังจะจบลง

สวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งไปยังปลายขอบฟ้า จากไปไกล

จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายไปจากที่ไกลโดยสมบูรณ์ แผ่นดินป่าดิบชื้นฟื้นคืนกลับมา รถผีไม่ครวญครางโหยไห้อีก กลับเข้าไปในนั้นอีกครั้ง

ส่วนผู้บำเพ็ญเหล่านั้น แต่ละคนต่างพุ่งออกไปด้วยใบหน้าขาวซีด ในใจแต่ละคนต่างเกิดคลื่นแผ่ระลอก ไปพร้อมด้วยความซับซ้อน ความตื่นตะลึง ไม่หยุดอยู่ที่นี่ ต่างจากไป

พวกเขาต้องรีบคว้าสัตว์พาหนะมาให้ได้

เพราะระลอกคลื่นที่มาจากแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีเมื่อครู่ทำให้พวกเขารู้ว่า มหกรรมล่าเหยื่อเผ่าของเผ่านภาคิมหันต์ ด่านที่ 2 นี้ใกล้จะปิดฉากลงแล้ว

คนที่จากไปสุดท้ายคือเทียนโม่จื่อและฝานซื่อซวง

ทั้ง 2 ต่างมองหน้ากัน เทียนโม่จื่อเชิดหน้า วางท่าสุขุมเยือกเย็น เอามือไพล่หลังเดินจากไปไกล

สุดท้ายมีเพียงแค่ฝานซื่อซวงคนเดียวที่ยืนอยู่กลางท้องฟ้า

“นพกาฬ…ปรากฏในโลก…”

“นับจากโบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีมาก่อน…”

ครู่หนึ่ง ฝานซื่อซวงสูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นตะลึงในดวงตาลงไป หันหลังจากไป

เวลาไหลไปช้าๆ เช่นนี้เอง ในยามที่ห่างจากด่านที่ 2 สิ้นสุดลงอีก 2 วัน เงาร่างของสวี่ชิงก็มาปรากฏยังพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง

ที่นี่ชื่อว่าป่าพยัคฆาคีรี

ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่สวี่ชิงกับนายกองนัดกันเอาไว้

ยืนอยู่กลางท้องฟ้า สายตาของสวี่ชิงจับจ้องไปยังป่าข้างหน้า

ที่นี่ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนายกอง แต่กลับสัมผัสถึงเงาร่างอีกฝ่ายไม่ได้ ต่อให้ใช้แผ่นหยกถ่ายทอดเสียงก็ไม่มีการตอบกลับ

“มีร่องรอยของการต่อสู้…”

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เดินเข้าไปในป่า จากการก้าวเท้าของเขา ต้นไม้พืชพรรณทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้าล้วนโน้มลง แยกออกเป็นเส้นทาง เส้นหนึ่ง

สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เดินไปตลอดทาง จนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝีเท้าของเขาหยุดลง มองไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งข้างๆ

บนต้นไม้ต้นนั้นแผ่ความเย็นเยือกออกมา มีกลิ่นอายของการโดนเศษพลังจากน้ำแข็งเย็นเยียบ

“ไอเย็นของศิษย์พี่ใหญ่”

สวี่ชิงเดินไป จ้องมองครู่หนึ่ง แล้วยกมือกดไปบนนั้น กลิ่นอายจิ่วหลีในร่างก็พลันแผ่ออกไปข้างนอก มาพร้อมด้วยประสาทสัมผัสเทพ ปกคลุมไปทั่วทุกทิศ

“เปิดความทรงจำของพวกเจ้า”

เสี้ยวขณะต่อมา ความทรงจำทั้งหมดจากต้นไม้ใบหญ้าในป่าพยัคฆาคีรีแห่งนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเส้นไหมมากมาย ถักทอเข้าด้วยกัน เกิดเป็นตาข่ายความทรงจำมากมาย หลังจากสอดประสานทับซ้อน ในสมองของสวี่ชิงก็มีภาพปรากฏขึ้น

ในภาพ เขาเห็นเงาร่างของนายกองทะยานไปอย่างรวดเร็ว และคนที่ไล่สังหารอยู่ข้างหลัง

และเห็นพวกเขาทั้ง 2 คนต่อสู้โรมรันพันตูอยู่ด้วยกันในป่าพยัคฆาคีรี ตลอดจนวิชาบางอย่างของพวกเขา

จวบจนสุดท้าย นายกองหนีไปไกล ไปจากป่าพยัคฆาคีรีแห่งนี้ ผู้บำเพ็ญที่ไล่สังหารเขาทั่วร่างแผ่จิตสังหารและความยึดมั่น ไล่ตามไป

สวี่ชิงหลับตา ในใจสงบนิ่ง

นายกองทางนั้นความจริงเขาไม่กังวลเลย

แม้ว่าคนที่ไล่สังหารคนนั้นเขาจะจำได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของนภาคิมหันต์ เหยียนเสวียนจื่อก็ตาม

แต่ว่า…

“ศิษย์พี่ใหญ่พัวพันอยู่กับคนนี้ที่นี่นานขนาดนี้ก็ยังไม่ถูกฆ่าตาย คิดแล้วก็คงไม่ตายหรอก”

“อีกทั้งดูจากสีหน้าที่เกลียดศิษย์พี่ใหญ่เข้ากระดูกดำของเหยียนเสวียนจื่อ ท่าทางคงเสียเปรียบอย่างหนัก”

สวี่ชิงครุ่นคิด คำนวณๆ เวลา รู้ว่าห่างจากเวลาที่ด่านนี้จะสิ้นสุดใกล้เข้ามาแล้ว

โดยเฉพาะหลายวันนี้เขาสัมผัสได้ว่าค่ายกลทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีเกิดสัญญาณเปิดออก ประเดี๋ยวๆ ก็มีระลอกคลื่นแผ่ออกมา

“มากสุด 2 วัน”

สวี่ชิงพึมพำ

จากความเข้าใจในด่านที่ 2 ก่อนที่จะมา เขารู้ว่า ทันทีที่การส่งข้ามเริ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมทุกคนที่นี่จะถูกส่งกลับไปยังภูเขาเทพทันที

“นายกองมีวิธีทำให้ถูกส่งข้ามเข้ามาพร้อมกันก็จะต้องมีวิธีทำให้ถูกส่งออกไปพร้อมกันด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นหลายวันหลังจากนี้ เขาก็ออกไปแล้ว”

สวี่ชิงวางใจ

แต่ว่าพิจารณาจากมิตรภาพต่อนายกอง สวี่ชิงรู้สึกว่า 2 วันนี้ก็หาๆ ดูสักหน่อยได้

ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้าออกไป เดินอยู่กลางอากาศ ตรงไปข้างหน้าคอยหาตลอดทาง

ระหว่างนั้นหากกลิ่นอายร่องรอยของนายกองหายไป เขาก็จะแผ่ประสาทสัมผัสเทพ อาศัยกลิ่นอายของจิ่วหลี สัมผัสรับรู้ถึงความทรงจำในป่าดิบชื้น หลังจากหาทิศทางใหม่เจอ ก็เดินต่อไป

แต่น่าเสียดาย เวลาที่เหลือจะอย่างไรก็มีจำกัด สวี่ชิงตามหาร่องรอยอยู่ 2 วันก็ยังหาไม่เจอ

และ 2 วันนี้ระลอกคลื่นส่งข้ามของแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งว่ามีครั้งหนึ่งสวี่ชิงอยู่ที่ไกลๆ ก็มองเห็นผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ที่กำลังทะยานอย่างรวดเร็ว ร่างหายไปในพริบตา ถูกส่งข้ามจากไป

“เริ่มขึ้นแล้ว”

ฝีเท้าของสวี่ชิงหยุดชะงัก สัมผัสรับรู้ถึงแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีแห่งนี้ หายอดเขาแห่งหนึ่ง ขัดสมาธินั่งลง รอคอยการมาถึงของการส่งข้าม

จากเวลาที่ผ่านไปทีละนิดๆ เสียงครืนครั่นสนั่นหวั่นไหวดังก้องในฟ้าดินแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี เสียงสะเลือนเลื่อนลั่น ราวเสียงคำรามอย่างพิโรธของเทพเจ้าแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ

ระลอกคลื่นการส่งข้ามก็แผ่ออกไปอย่างไร้รูปร่างในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีเช่นกัน ราวคลื่นลูกใหญ่แต่ละลูกๆ หอบม้วนฟ้าดิน

และคนที่ถูกส่งข้ามออกไปก่อนคือผู้บำเพ็ญที่ไม่ได้สัตว์พาหนะ จากนั้นก็ทำการส่งข้ามไปตามลำดับความแข็งแกร่งอ่อนแอของสัตว์พาหนะ

ดังนั้นหากอยู่ในสุดที่สูงที่สุดก้มมองแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีทั้งผืน ก็จะมองเห็นว่า ภายใต้คลื่นการส่งข้ามนั่น เงาร่างผู้บำเพ็ญแต่ละร่างๆ ฉายแสงส่งข้ามวูบวาบ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ว่าคลื่นส่งข้ามจะหอบม้วนไปอย่างไรก็ยังคงอยู่ที่เดิม!

และจากการทยอยหายไปของผู้เข้าร่วมในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี เงาร่างนี้ก็ยังคงไม่ได้รับอิทธิพลเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม แผ่นดินใหญ่ผืนคีรีทั้งผืน คนที่ไม่ส่งข้ามออกไปก็เหลือแค่คนคนนี้เท่านั้น

สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองไปทางท้องฟ้า

ฟ้าดินส่งเสียงครืนครั่นเลื่อนลั่น แผ่นดินใหญ่ผืนคีรีอันกว้างใหญ่ เนื่องจากมีแค่เขาคนเดียวที่ยังอยู่ ดังนั้นระลอกคลื่นส่งข้ามทั้งหมดล้วนปะทุขึ้นในบริเวณพื้นที่ที่เขาอยู่ กระทั่งว่าบนฟ้า เนื่องจากการรวมมาไม่หยุดหย่อนของระลอกคลื่นส่งข้ามก็เกิดเป็นคลื่นวนขนาดมหึมาราวอุโมงค์มืด

หมุนวนเสียงดังครืนครั่น

แต่ไม่ว่าจะเหนี่ยวนำอย่างไร สัญญาณการส่งข้ามก็ไม่เกิดขึ้นกับสวี่ชิง ซึ่งก็หมายความว่าไม่อาจถูกส่งออกไปได้

สัญญาณนี้ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย

“ในเมื่อส่งข้ามไม่ได้ เช่นนั้นข้าเดินเข้าไปเองก็ได้!”

สวี่ชิงหรี่ตา ลุกขึ้นมาจากท่านั่งขัดสมาธิ ตรงไปทางคลื่นวนบนฟ้า ก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว!

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version