บทที่ 884 รูปปั้นกราบไหว้ดวงจันทร์
หลังจากทั้ง 2 บุกเข้าไป พวกเขาก็เห็นใยแมงมุมขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้เหี่ยวเฉาหน้าคนที่โตอยู่บนนั้นก็ยิ่งชัดเจน
“ศิษย์น้องช้าหน่อย ต้นไม้หน้าคนเหล่านี้เป็นองครักษ์ของจักรพรรดิบรรพชนที่กลายร่างเพราะถูกกลิ่นอายเทพเจ้าโจมตี ตอนนี้กำลังหลับใหล ทุกคนต่างมีกำลังรบไม่ธรรมดา”
“เมื่อตื่นขึ้นมา ที่น่ากลัวเป็นพิเศษคือพวกมันจะส่งเสียงทำลายจิตวิญญาณ ทั้งยังมีความน่าสะพรึงกลัวมาเยือนจากเสียงของพวกมัน”
นายกองรีบเอ่ยคำ มาถึงข้างกายสวี่ชิงและบุกเข้าไปในใยแมงมุมพร้อมกับเขา
สวี่ชิงพยักหน้า เขาสัมผัสความประหลาดของต้นไม้หน้าคนได้ตั้งแต่ตอนมองอยู่ไกลๆ ก่อนหน้านี้ บัดนี้เข้าใกล้แล้วยิ่งเห็นชัดถนัดตา
ใบหน้าเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคน ในนั้นไม่มีผู้หญิง ล้วนเป็นเพศชาย
หน้าตาคล้ายกับเผ่ามนุษย์ แต่สีผิวต่างกัน และหลังใบหูแต่ละคนยังมีเส้นรอยย่นเหมือนเหงือกปลา
นอกจากนั้น แม้พวกมันหลับตา ทว่าสีหน้าบิดเบี้ยว ไอพลังประหลาดที่ขยายทั่วร่างผสมความโกรธแค้นเข้มข้น เผยความไม่ยินยอมขั้นรุนแรงร่วมกับสีหน้านั้น
“ต่ำกว่าเทพเจ้าล้วนเป็นมดแมลง ตอนมีชีวิตพวกมันก็เคยต่อต้าน แต่น่าเสียดาย…”
นายกองถอนหายใจ เหาะผ่านช่องระหว่างต้นไม้หน้าคนทีละต้น ไม่ไปแตะต้องต้นใด
สวี่ชิงก็เช่นเดียวกัน กระทั่งเวลาผ่านไป 1 ก้านธูป ด้วยการบดบังของตำราสวรรค์ไร้อักษร พวกเขา 2 คนราวกับสูญเสียการมีตัวตนทั้งหมด ทะลุผ่านป่าต้นไม้หน้าคนสะเทือนขวัญนี้ไปได้อย่างราบรื่น
ทั้งเหาะผ่านใยแมงมุมอีกหลายชั้น ค่อยๆ มาถึงบริเวณใจกลางของพื้นที่ใยแมงมุมเหมือนยุง 2 ตัว
ดาวดวงใหญ่นั้นสะท้อนเข้านัยน์ตา
มองจากภายนอก ดาวนี้เป็นสีเทาทั้งดวง มีรอยแยกเป็นสายกระจายอยู่ทั่ว เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของความตาย พร้อมกับมีเกลียวคลื่นมหึมากำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในอย่างช้าๆ คลื่นแล้วคลื่นเล่า
นั่นคือพายุ
นอกจากนั้น ยังเห็นว่าบนผิวนอกของดวงดาวมีหลุมลึกใหญ่ยักษ์ 16 หลุมอยู่อย่างเป็นระบบ
ทุกหลุมล้วนน่าตกใจเมื่อพบเห็น
สวี่ชิงมีการตอบสนองทันทีที่เห็นหลุมลึกนั้น นึกถึงเทพเจ้าแมงมุมในศาลเจ้าที่เห็นตรงใจกลางเขตต้องห้ามจิ่วหลี
เทพองค์นั้นมี 16 ขา ตรงกับหลุมลึกทั้ง 16 หลุมนี้
ในหัวสวี่ชิงจึงปรากฏภาพหนึ่ง เทพเจ้าแมงมุมใหญ่ยักษ์น่าสะพรึงกลัวพักอยู่บนดาวสีเทามหึมาดวงนี้ ขา 16 ข้างไม่ได้ตกถึงพื้น จึงเกิดเป็นหลุมลึกทั้ง 16
“ตามความคิดของข้าตอนนั้น ที่นี่เป็นที่พักของผู้ครองแดนเทวะผืนนี้ แต่น่าเสียดาย หลังผู้ครองแผ่นดินเทวะจากไปก็ไม่กลับมาอีกเลย แผ่นดินเทวะนี้จึงค่อยๆ ปรากฏเค้าลางของการล่มสลาย”
นายกองจ้องดาวดวงนั้น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ด้านระดับความอันตราย ที่นี่ก็น้อยลงมากแล้ว”
“แต่ว่า อย่างไรที่นี่ก็เป็นแผ่นดินเทวะ ทั้งยังนับว่าเป็นใจกลาง ดังนั้นอันตรายยังคงมีไม่น้อย”
“แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งได้กำไรมาก!”
นัยน์ตานายกองฉายแววบ้าคลั่ง ไม่ลืมเตือนสวี่ชิงประโยคหนึ่ง
“วิถีสวรรค์ที่เหมาะกับสมบัติลับกระบี่จักรพรรดิเจ้าอยู่ในนี้แหละ!”
“ศิษย์น้อง เราไปกัน!”
นายกองกล่าวพลางเหาะนำไปก่อน
นัยน์ตาสวี่ชิงฉายแววเฉียบขาด ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็จะไม่ลังเลอีกต่อไป เหยียบย่างเข้าดวงดาวมหึมาดวงนี้ตามนายกอง
ในดวงดาว เดิมพื้นดินเป็นสีเทาและท้องฟ้าเป็นสีดำ แต่ด้วยถูกพายุปกคลุมจึงเห็นทุกสิ่งเลือนรางเป็นส่วนใหญ่
พายุที่โหมพัดตลอดปีในที่นี้ยังกวาดม้วนรอบทิศ เสียงหวีดแหลมดังลั่นก็สนั่นจนแทบหูหนวก
มาถึงที่นี่ เหมือนมาถึงที่ที่เต็มไปด้วยเภทภัย
ก่อนหน้านี้ พายุใหญ่สุดที่สวี่ชิงเคยเห็นคือทะเลทรายครามบนแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา จนกระทั่งตอนนี้ เหยียบเข้ามาในพายุบนดวงดาว ความรู้สึกเปรียบเทียบระหว่างกันชัดเจนอย่างยิ่ง
ใหญ่ยิ่งกว่าทะเลทรายคราม!
พายุทรายเหมือนเป็นสิ่งเดียวของที่นี่ กวาดสูงเทียมฟ้า เมื่อลงมาถึงตัวสวี่ชิงกับนายกองยังถึงกับรู้สึกเดินยาก
นี่ไม่ใช่พายุทั่วไป
มันแฝงกลิ่นอายเทพเจ้า แฝงฐานะอันสูงสุด ยังปะปนด้วยเศษเสี้ยววิชาเทพจากปราณจักรพรรดิ
นึกภาพออกว่าในอดีตที่นี่ต้องเคยผ่านสงครามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ดีที่ตัวสวี่ชิงมีสภาวะเทพเจ้า จึงเดินในพายุทรายได้หลังจากใช้พลังต้นกำเนิดเทพ ส่วนด้านนายกองก็ชัดว่าไม่ได้มาครั้งแรก ตัวเขาก็ลึกลับหาใดเปรียบ ดังนั้นอยู่ที่นี่ยังพอเดินได้ตามปกติ
และดูเหมือนเขาจะมีเส้นทาง
ก็เป็นเช่นนี้ ทั้ง 2 เดินมุ่งหน้าไปในพายุทรายตลอดทาง
เวลาไหลผ่าน ไม่นานก็ผ่านไป 7 วัน พายุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้หมุดหมาย พายุในนี้เกิดการรวมตัวกันหลายครั้ง
แม้เป็นสวี่ชิงกับนายกองก็ยังรู้สึกกินแรง
และสิ่งที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกกลัวยิ่งกว่า คือทุกครั้งที่พายุมาเยือนจะมีเสียงหัวใจเต้นแปลกประหลาดซ่อนอยู่ในนั้น ราวกับว่า…มีสิ่งมีชีวิตซ่อนตัวอยู่ใจกลางพายุ
สวี่ชิงมองนายกอง
เขาส่ายหน้าไม่เอ่ยคำ
กระทั่งผ่านพายุไป 5 ครั้ง ตอนเกลียวคลื่นใจกลางพายุลูกที่ 6 จะแผ่คลุมพวกเขา นายกองพาสวี่ชิงมาถึงรอยแยกแห่งหนึ่งบนพื้น
ขณะมุดเข้าไป สวี่ชิงพบว่าในนี้มีถ้ำซ่อนอยู่โดยไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไร
ไม่รู้ถ้ำนี้ถูกขุดมานานแค่ไหน หลักแหลมยิ่ง ซ่อนตัวในนั้นสามารถหลบพายุได้
หลังเข้าไปในถ้ำ นายกองถึงได้ผ่อนหายใจยาว มองรอบด้านด้วยรู้สึกทอดถอนใจ
“ที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไร ศิษย์น้อง เราพักอยู่ตรงนี้ 3 วัน ตามการคำนวณของข้า 3 วันจากนี้พายุด้านนอกก็เป็นรอบเล็กแล้ว”
“ตอนนั้นพายุจะทอนกำลังลงมาก”
“ส่วนข้อสงสัยของเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าเองก็ไม่มีคำตอบ แต่มีชาติหนึ่งข้าถูกม้วนเข้าไปในเกลียวคลื่นใจกลางพายุ แม้ไม่ตาย แต่ออกมาแล้วข้าสูญเสียความทรงจำตอนอยู่ในนั้น จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังนึกไม่ออก”
คำพูดของนายกองทำให้สวี่ชิงจิตใจจดจ่อ ยิ่งรู้จักนายกองยิ่งสามารถสัมผัสความน่ากลัวที่อยู่ใจกลางพายุผ่านคำพูดเขาได้
เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองรอบด้าน มองไปนอกถ้ำอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตกลงท่านมาที่นี่กี่ครั้งแล้ว”
“นี่เป็นครั้งที่ 3 !” นายกองทำท่าทางไม่รู้สึกอะไร ราวกับไม่ใส่ใจคำอธิบายก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ยามนี้บิดขี้เกียจหัวเราะคิกคิก นั่งลงตรงผนังหินจุดหนึ่งอย่างคุ้นเคย
เขาพิงอยู่ตรงนั้นและชู 3 นิ้วให้สวี่ชิง
สวี่ชิงมองนายกองอย่างลึกล้ำผาดหนึ่ง เขารู้ดี สิ่งที่ทำให้นายกองยังนึกถึงหลังล้มเหลวไป 2 ครั้งต้องเป็นแผนใหญ่แน่นอน ขณะเดียวกันก็นึกถึงสุดยอดการใหญ่ที่นายกองบอก
“เป้าหมายครั้งนี้คืออะไรกันแน่” สวี่ชิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
นายกองกะพริบตามองรอบด้าน สุดท้ายยังคงส่ายหน้า
“ศิษย์น้อง ข้าบอกไม่ได้จริงๆ เจ้ารอไปก่อน…ตอนนี้ข้าบอกเจ้าได้แค่อย่างเดียว นั่นคือชื่อหมู่ครั้งนั้นเทียบกับครั้งนี้ไม่นับเป็นสิ่งใด”
“ข้านึกถึงที่นี่มาตลอด เพราะทุกอย่างที่ข้าเคยเตรียม กว่าครึ่งก็เพื่อที่นี่”
“เดิมข้านึกว่าอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอีกหลายชาติถึงจะมีหน้ามีตา แต่การปรากฏตัวของเจ้าทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป”
นายกองตบต้นขา สีหน้าออกตื่นเต้น
สวี่ชิงนิ่งเงียบ คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
เขารู้ดีว่านายกองไม่ใช่คนชอบแต่งเรื่องหลอกคน นอกจากจะพูดไม่ได้เพราะเหตุผลบางอย่างจริงๆ ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยชอบคุยโวและชอบเห็นเขาตกใจของนายกอง เกรงว่าจะพูดทั้งหมดเพื่อชื่นชมความน่าเกรงขามของตัวแล้ว
‘สิ่งที่ทำให้นายกองลังเลเช่นนี้ได้ ต้องเกี่ยวกับเทพเจ้าทั้ง 3 แน่นอน…’
สวี่ชิงครุ่นคิด บวกกับ 3 เทพเจ้าใช้ชื่อมหกรรมออกล่ามาสำรวจที่นี่หลายครั้ง ยังมีผนึกเทพเจ้าแมงมุมในเขตต้องห้ามจิ่วหลี การคาดเดาอันหาญกล้าผุดขึ้นในหัวสวี่ชิง
‘เทพเจ้าองค์ที่ 4 ?’
นัยน์ตาสวี่ชิงจดจ่อ ไม่เอ่ยคำใดอีก หลับตาปรับลมหายใจฝึกบำเพ็ญ ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสูงสุด
ทั้งถ้ำก็ค่อยๆ เงียบลงในยามนี้ มีเพียงเสียงหวีดแหลมจากพายุด้านนอกที่ประหนึ่งเทพเจ้าคำรามด้วยโทสะ กำลังระบายความโกรธของตนด้วยการกวาดซัดผืนดินเป็นคลื่นสูงเทียมนภา
ยังมีเสียงครวญครางตามมาในนั้นด้วย คล้ายร้องไห้ ทั้งเหมือนดิ้นรน บางครั้งน่าเวทนา บางครั้งแปลกประหลาด
เสียงเหล่านี้ทอดมาไม่หยุด เตือนสวี่ชิงถึงความน่ากลัวของที่แห่งนี้
และเวลา 3 วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ความเข้าใจของนายกองที่มีต่อที่นี่แม่นยำทีเดียว เสียงพายุด้านนอกน้อยลงแล้วจริงๆ
โดยเฉพาะหลังผ่านวันที่ 3 มีช่วงหนึ่งแทบจะหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ยินแม้เพียงนิด
“ได้เวลาแล้ว!”
นายกองตาเป็นประกายพุ่งออกไปทันที สวี่ชิงตามเขาอยู่ด้านหลัง ชั่วขณะที่ออกจากถ้ำมาถึงข้างนอก ม่านฟ้าสีดำแจ่มชัดเป็นครั้งแรก ผืนดินสีเทาก็เช่นเดียวกัน
พายุที่ปกคลุมถ้วนทั่วก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว
“มีเวลาแค่ 1 ชั่วยาม!”
นายกองคำรามเสียงต่ำ ใช้พลังสูงสุดกลายเป็นสายรุ้งพุ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงระเบิดความเร็วอยู่ข้างหลัง
เงาร่างทั้ง 2 บุกทะลวงอากาศ ฉวยจังหวะพายุที่นี่หายไปห้อตะบึงสุดกำลัง
แต่อย่างไร 1 ชั่วยามก็ผ่านไปเร็วนัก ลมในที่แห่งนี้เริ่มก่อตัวอีกครั้ง
ทว่าตอนเสียงหวีดหวิวค่อยๆ รุนแรง ภูเขาประหลาดกับรูปปั้นกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าทั้ง 2
ภูเขานั้นยิ่งใหญ่ ตระหง่านเทียมเมฆ
ตรงกลางเป็นอุโมงค์ทรงกลม พายุทรายหวีดคำรามผ่านอุโมงค์รวมถึงรอบด้านของมัน เกิดเป็นเสียงหวีดร้องโอดครวญแหลมแสบแก้วหู
ผสานเข้ากับพายุนั้น เกิดคลื่นกระทบทั่วทิศ สั่นสะท้านจิตวิญญาณ
ขณะเดียวกัน ความรู้สึกเก่าแก่คร่ำโลกก็กระจายเข้าสู่จิตใจสวี่ชิงด้วยการจ้องมองผ่านสายตาในยามนี้
และใต้ตีนเขาของอุโมงค์นั้นมีรูปปั้นเก่าแก่รายล้อมโดยมีภูเขาเป็นศูนย์กลาง
พวกมันมี 3 หัว 6 แขน เงยหน้ามองท้องฟ้า ต่างคนถืออาวุธขนาดใหญ่ แผ่พลังกดดันน่าหวาดกลัว
ที่ยิ่งดึงความสนใจของสวี่ชิงคือหว่างคิ้วของรูปปั้นใหญ่ยักษ์เหล่านั้นล้วนมีรอยจันทร์ครึ่งดวง
รูปปั้นตรงสุดขอบถึงกับอยู่ในท่าที่ให้ความรู้สึกเหมือนคุกเข่าคำนับม่านฟ้า
ตอนสายตาสวี่ชิงจับจ้อง เสียงนายกองทอดผ่านพายุทรายอยู่ด้านหลังเขา
“เหล่านี้คืออ๋องพระญาติ 36 พระองค์ของจักรพรรดิบรรพชน”
“พวกเขากราบไหว้ดวงจันทร์ก่อนตาย ไม่ได้กราบไหว้เยว่เหยียน และไม่ใช่จันทร์สีแดง แต่เป็นดวงจันทร์เก่าแก่ที่สุดในฟ้าดิน มันไร้รูป นั่นคือหยินจากหยินหยาง”
“บางเผ่าชอบเรียกมันว่าดวงจันทร์บรรพชน”
“อีกอย่าง ภูเขาลูกนี้คือหมุดหมายของเรา หลุมศพจักรพรรดิบรรพชนแดนดารา!”
นายกองกล่าวพลางมุ่งหน้าไปเขาลูกนั้น แต่เดินไปหลายก้าวเขาพบว่าสวี่ชิงไม่มาด้วย จึงหันไปมอง
สวี่ชิงไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้เขายืนอยู่ข้างรูปปั้นกราบไหว้ดวงจันทร์รูปหนึ่ง จ้องรูปปั้นนั้น นัยน์ตาฉายประกายเด่นชัด
อสูรสมุทรบรรพกาลในตัวเขากำลังส่งคลื่น คล้ายเตือนสวี่ชิง แต่สิ่งที่มีคลื่นสั่นไหวที่สุดคือสมบัติเทพที่ 3 ของเขา
สมบัติเทพที่ 3 เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ ยามนี้เกิดความปรารถนารุนแรง!
สวี่ชิงตระหนักได้ทันทีว่ารูปปั้นนี้เหมาะเป็นวิถีสวรรค์ของสมบัติเทพที่ 3
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
