บทที่ 910 มหาขุนพลฟ้าทมิฬแห่งนภาคิมหันต์!
นายกองดูเหมือนจะหัวเราะ แต่ในใจไม่มากก็น้อยก็แอบมีความอิจฉาเล็กๆ เกิดขึ้น
“ดูเทพชั้นสูงซิงเหยียนของคนอื่นเขาสิ นี่สิถึงจะเรียกว่าความรัก”
นายกองทอดถอนใจในใจ นึกไปถึงชาติ 1 ที่ตนไล่ตามเกี้ยวพาเทพชั้นสูงเยวี่ยเหยียน นั่นต้องทุ่มสุดตัวสุดใจ ไล่ตามเกี้ยวพาอย่างบ้าคลั่ง
ทุ่มเททั้งกายใจ จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลไปหลายครั้ง ไม่รู้ว่ามอบของกำนัลให้ไปมากน้อยเท่าใด วางแผนการอันสุดแสนหวานซึ้งชวนฝันไปไม่รู้ต่อเท่าใด ง้องอนหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายถึงจะได้อาศัยความหนาของหนังหน้าตัวเองทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งใจ สำเร็จสมหวังตามที่ตั้งไว้
ตอนนี้มานึกดูยังรู้สึกว่ายากลำบากนัก
แต่สวี่ชิงทางนี้จากต้นจนจบเหมือนว่าจะไม่ได้ลำบากเท่าไร…
“หรือว่าสำหรับเทพสาวแล้ว พวกนางไม่ชอบผู้ชายรุก แต่ก็จะไม่รุกจริงๆ ไม่ได้ พวกนางไม่ชอบคนที่มีเป้าหมาย แต่ก็จะไม่มีเป้าหมายจริงๆ ไม่ได้”
“พูดง่ายๆ พวกนางไม่ชอบให้สนใจพวกนางมากเกินไป แต่ก็จะไม่สนใจเลยไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นน่ะหรือ”
นายกองสะท้านเฮือก มีเค้ารางเลาๆ เหมือนว่าบรรลุอะไรสักอย่าง
ส่วนสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ดวงตามีประกาย เขาไม่ได้ไปสนใจสีหน้าท่าทางของนายกอง และไม่รู้ว่านายกองตอนนี้กำลังบรรลุมหาวิถีอยู่
สมาธิทั้งหมดของเขาล้วนอยู่บริเวณม่านฟ้าที่อุปราชทั้ง 3 อยู่ สำหรับฉายามหาขุนพลฟ้าทมิฬที่ได้รับ เดิมเขาก็หมายมั่นว่าจะต้องคว้าเอามาให้ได้อยู่แล้ว และเพื่อการนี้ระหว่างทางก็ได้เตรียมการมากมาย สำหรับอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ล้วนมีแผนการรับมือที่แน่นอน
แต่วันนี้ทุกอย่างกลับราบรื่นเช่นนี้
สวี่ชิงอดลังเลขึ้นมาไม่ได้ ส่วนแผนการที่เตรียมมาระหว่างทาง ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาออกมา
เพียงแต่เรื่องที่ราบรื่นเช่นนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกไม่ค่อยเป็นความจริงสักเท่าไร
ในเมื่อตั้งแต่เขาเล็กจนโต เหมือนจะมีแค่ไม่กี่เรื่องที่ไม่ต้องผ่านอุปสรรคอะไร ก็สำเร็จบรรลุไปตามครรลอง
โดยเฉพาะหลังจากฝากตัวเป็นศิษย์กับสำนัก 7 เนตรโลหิต ได้รู้จักกับศิษย์พี่ใหญ่…
เรื่องที่ทำทุกเรื่อง แทบจะเอาชีวิตไม่รอด
นี่ทำให้สวี่ชิงค่อนข้างชินกับความยุ่งยากและอุปสรรคเสียแล้ว เหมือนว่าถ้าไม่เสี่ยง ไม่เอาชีวิตไปเล่น จะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยอย่างนั้น
ดังนั้นตอนนี้ สำหรับความราบรื่นครั้งนี้ ในใจของเขาเกิดความไม่สงบเล็กๆ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง นายกองที่เพิ่งจะบรรลุวิถี ย่อมเดาความคิดของสวี่ชิงออก ดังนั้นจึงกะพริบตาปริบๆ ความอิจฉาของเขาก็ลดลงไปเป็นอย่างมากด้วยการนี้
ถูกแทนที่ด้วยความได้ใจ
เขาแอบพูดในใจว่า ภายใต้การสั่งสอนของตัวเอง ศิษย์น้องเล็กทางนี้ในที่สุดก็ฝึกฝนปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณที่ดีถึงเพียงนี้สักที
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าปลื้มใจนัก เจ้าต้องรู้ว่าพวกเราผู้บำเพ็ญจะยอมรับอาหารที่คนอื่นยื่นโยนมาให้ได้อย่างไร หึๆ สิ่งที่พวกเราต้องการ จะต้องอาศัย 2 มือของพวกเราไปคว้ามา อาศัยจิตวิญญาณเอาชีวิตลงไปเล่นของพวกเราได้มา”
“แบบนี้ถึงจะหอมหวาน!” นายกองส่งกระแสจิตด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะปฏิเสธเดี๋ยวนั้นเลย จากนั้นก็ทำตามแผนที่พวกเราเตรียมเอาไว้ แล้วค่อยไปคว้าเอามา!”
“ไม่เช่นนั้น คว้ามาโดยไม่ได้ลงแรงอะไร มันไม่หวานนะ”
นายกองยุยง
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง มองความคิดของนายกองออก เอ่ยเสียงราบเรียบ “แม้จะไม่หวาน แต่มันหอม”
นายกองถลึงตา กำลังจะโต้กลับ
แต่ในตอนนี้ อุปราชทั้ง 3 ข้างหน้าลอยอยู่บนฟ้า ผู้ทำพิธีเผ่านภาคิมหันต์ที่ประกาศอ่านโองการ เสียงดังขึ้นอีกครั้ง พูดประโยคเดิมก่อนหน้านี้
“สวี่ชิง ยังไม่ขึ้นมาบนแท่นพิธีเข้าพบอุปราชทั้ง 3 ของเผ่าเราอีกหรือ!”
วาจาครั้งที่ 2 แผ่ไปในฟ้าดิน เผ่านภาคิมหันต์และเผ่าที่สวามิภักดิ์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ภูเขาเทพก็ต่างค่อยยังชั่วจากความตื่นตะลึงก่อนหน้านี้แล้ว ต่างจ้องมองไปยังม่านฟ้า
เห็นเป็นเช่นนี้ ในดวงตาของสวี่ชิงฉายแววเด็ดเดี่ยว ไม่ลังเลใดๆ อีกต่อไป ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งตัวไปยังท้องฟ้า เพียงพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาว ตรงไปยังผืนนภา ทะยานไปยังผู้ทำพิธี
การปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้คนทั้งหลายจับจ้องกัน สายตาและจิตเทพนับไม่ถ้วนรวมมาจากทั่วทุกสารทิศทันควัน ในสายตาเหล่านี้บ้างซับซ้อน บ้างตื่นตะลึง บ้างตกใจสงสัย บ้างมีจิตปฏิปักษ์ บ้างมีความอิจฉา
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ต่างหลอมรวม ในใจยิ่งมีระลอกคลื่นอารมณ์ซัดขึ้นลงอย่างรุนแรง
องค์ชายใหญ่เผ่ามนุษย์ก็อยู่ในนี้เช่นกัน ตอนนี้สีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นตัวแทนคณะทูตของเผ่ามนุษย์ เขาย่อมต้องเป็นประจักษ์พยานในพิธีมหกรรมล่าเหยื่อเผ่านภาคิมหันต์ที่นี่
และก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาพลาดพลั้งในด่านที่ 2 ก็ไม่ได้เข้าร่วมด่านที่ 3 แผ่นดินเทวะ ความหวังทั้งหมดในใจล้วนอยู่ที่สวี่ชิงทางนั้น
แม้จะรู้สึกว่าโอกาสไม่มาก แต่ในใจก็มีความหวัง ตอนเห็นทุกอย่างกลายเป็นความจริง ในใจเขาฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนับแต่อดีตกาลมาฉายาขุนพลฟ้าทมิฬแห่งเผ่านภาคิมหันต์ แม้จะมีต่างเผ่าได้รับอยู่บ้าง แต่…สมญามหาขุนพลฟ้าทมิฬที่มีจำนวนน้อยนิด ไม่เคยตกเป็นของต่างเผ่ามาก่อน
ในเมื่อตำแหน่งนี้ในเผ่านภาคิมหันต์ เป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดที่จะได้รับส่วนบุคคล
ตอนนี้ภายใต้การจับจ้องมาของสายตานับไม่ถ้วน เงาร่างประดุจสายรุ้งยาวของสวี่ชิงก็มาถึงยังข้างหน้าผู้ทำพิธีคนนั้น เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย
ผู้ทำพิธีในดวงตาฉายประกาย ประเมินสวี่ชิงอยู่หลายครั้ง แล้วจึงหลีกทางให้
ส่วนสวี่ชิงสูดลมหายใจลึก พิธีครั้งนี้ เขานับว่าเผชิญหน้ากับความน่ากลัวของเผ่านภาคิมหันต์แล้ว เทพทั้ง 3 ก็ช่างเถิด คนในเผ่านี้ผู้แข็งแกร่งไม่พูดว่านับไม่ถ้วน แต่จำนวนก็ชวนให้ตื่นตะลึงนัก
มิน่าถึงได้สยบเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย หยามเหยียดแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
โดยเฉพาะเขาไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญที่ปรากฏอยู่ที่นี่ เป็นจำนวนทั้งหมดของเผ่านี้แล้วหรือไม่…แต่นึกถึงในบันทึกประวัติศาสตร์ เผ่ามนุษย์หลังจากที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวจากไป เดิมก็ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ยังคงถูกเผ่านี้โจมตีแพ้พ่าย
จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งที่ปรากฏอยู่ที่นี่จะไม่ใช่ทั้งหมด
แม้เทพทั้ง 3 อยู่ในแผ่นดินเทวะ เพื่อการยกระดับสู่ขั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจะใช้พลังไปอย่างมหาศาล แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าจะต้องยังมีอยู่อีก
ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาขบคิด สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม มองไปยังอุปราชเผ่านภาคิมหันต์ทั้ง 3 ที่นั่งข้างหน้ารูปสลักเทพเจ้าอยู่ตรงนั้น ประสานหมัดคารวะ
“สวี่ชิงคารวะอุปราชทั้ง 3”
ผู้ครองอำนาจสูงสุดเผ่านภาคิมหันต์ทั้ง 3 คนแรกเป็นชายชรา คนที่ 2 เป็นชายกลางคน และคนที่ 3 เป็นเด็กหนุ่ม
ล้วนแต่สวมชุดจักรพรรดิ เต็มไปด้วงอำนาจน่าเกรงขาม
ชายชราร่างสูงใหญ่ราวขุนเขา ทั่วทั้งร่างแผ่พลังกดดันน่ากลัวออกมา เหมือนว่าจะแฝงไว้ด้วยพลังอันไม่สิ้นสุด
หน้าตาฉายความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญแน่วแน่ออกมา ปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างล้วนไม่อาจสั่นคลอนจิตตั้งมั่นของเขาได้ ในดวงตาล้ำลึกและคมปลาบ คล้ายว่ามองทะลุจิตใจคนได้ มองทะลุเรื่องราวในโลก
ส่วนอุปราชกลางคนคนนั้น กลับดูสุภาพอ่อนโยน เหมือนลมวสันต์พัดต้องใบหน้า ดวงหน้าของเขาอ่อนโยน ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายแสงแห่งปัญญา
แววตาอบอุ่น เหมือนดวงอาทิตย์อบอุ่นสาดส่องบนพื้นโลก ทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นและสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง
อุปราชเด็กหนุ่มคนสุดท้าย ก็มีบุคลิกต่างไปจากทั้ง 2 ท่านก่อนหน้านี้ เขานั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่หน้าตาท่าทางอ่อนเยาว์ แต่สีหน้ากลับทรงอำนาจน่าเกรงขาม ประดุจพยัคฆ์กล้าลงจากเขา รัศมีอำนาจมหาศาลท่วมท้น ราวสั่นคลอนฟ้าดินได้
ดวงตาทั้ง 2 คมดุจมีด ทำให้คนเมื่อมองแล้วเกิดความกลัว
ตอนนี้อุปราชทั้ง 3 ที่รัศมีอำนาจท่วงท่าต่างกัน หลังจากที่สวี่ชิงคารวะทำความเคารพ ก็ต่างมองมา
สายตามองมา สวี่ชิงจิตใจสะท้านเฮือก
เขาสัมผัสได้ว่าดวงตาราวกระบี่ของอุปราชทั้ง 3 แฝงไว้ด้วยพลังมองทะลุที่น่าหวาดหวั่น คล้ายว่าจะมองทั้งในและนอกของตนได้ทะลุทะลวงทั้งหมด
แต่ในตอนนี้เอง ในกองดินในร่างกายของเขา อำนาจเทพเจ้าทั้ง 4 ก็ฉายวาบ อำนาจเทพเจ้ามายาร้อยกว่ากำลังพวยพุ่ง
เหมือนสัมผัสได้ถึงการล่วงเกิน ต่างจะปะทุออกมา ก่อเป็นพลังขวางกั้น ยิ่งสะเทือนพลังออกมาข้างนอกอย่างไม่ยอมให้ล่วงเกิน
อุปราชทั้ง 3 สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที สายตาแสงหม่นหมองตามไปด้วย มองไม่เห็นความจริงและภาพมายาของสวี่ชิงแม้เพียงน้อยนิดอีก
ในขณะเดียวกัน ในกลุ่มคนรอบๆ มีเสียงร้องจำนวหนึ่งดังออกมาเบาๆ
ผู้ที่ส่งเสียงออกมาล้วนแต่เป็นอ๋องและโหวภายใต้กระโจมอำนาจของอุปราชทั้ง 3
หากเป็นแค่นี้ก็ช่างเถิด ภายใต้ประกายแสงวูบวาบของอำนาจเทพเจ้า จิ่วหลีในร่างสวี่ชิงแผ่ออกมานอกร่างกาย แปรเปลี่ยนเป็น 9 เศียร แล้วคำรามไปทั่วทุกสารทิศ
รัศมีอำนาจทรงพลังท่วมท้น เสียงสะท้านเลื่นลั่น ราวอัสนีสวรรค์ฟาดผ่า
จากนั้นก็แปรเเปลี่ยนเป็นโคม หมุนวนช้าๆ
กลิ่นอายผู้ใช้วิญญาณเกิดขึ้นตามมา
ผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ พลังสายเลือดในกายต่างแผ่ระลอกในระดับต่างกันไป
ไม่ว่าจะพลังบำเพ็ญระดับใด ระดับล่างถึงคนทั่วไป ระดับบนจนถึงอุปราช ไม่มีใครเป็นที่ยกเว้น ต่างถูกเหนี่ยวนำทั้งสิ้น
ผู้บำเพ็ญทั้งหลายสีหน้าเปลี่ยนไป อ๋องและโหวเหล่านั้นก็ต่างสีหน้าเคร่งเครียด ผู้ทำพิธีที่อยู่กลางท้องฟ้าอยู่ใกล้สวี่ชิงที่สุด ตอนนี้ลมหายใจหอบถี่ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในแววตาที่มองสวี่ชิงประกายแสงประหลาดหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจสงสัย
แม้หลังจากที่สวี่ชิงออกมาจากด่านที่ 2 แล้ว จะมีเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้น แต่เทียบกับตอนนี้ ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ตอนนั้นเพียงแค่ทำให้สายเลือดในร่างต่างขานรับ แต่ตอนนี้…เป็นการเดือดพล่านของสายเลือด สร้างระลอกคลื่นให้ทั้งเผ่า!
นี่ย่อมเป็นเพราะวิถีสวรรค์ที่แปรเปลี่ยนจากบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณในสมบัติผู้ใช้วิญญาณที่ 5 อีกทั้งพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงยังทะลวงขั้นจากระดับสมบัติวิญญาณก้าวสู่ระดับหวนสู่อนัตตาแล้ว
“จิ่วหลี….”
ในดวงตาของอุปราชทั้ง 3 ล้วนมีความซับซ้อน เห็นได้ชัดว่ารู้ถึงการกระทำของอุปราชไอศวรรค์ที่ตอนนั้นรวมเผ่าให้เป็นหนึ่งคนนั้น กระทั่งว่าอาจจะรู้ถึงข้อแลกเปลี่ยนระหว่างท่านนั้นกับเทพเจ้าด้วยซ้ำ
ดังนั้นตอนนี้มองสวี่ชิง ในใจของพวกเขาต่างมีความคิด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
เห็นอุปราชทั้ง 3 อนุญาต ผู้ทำพิธีที่อยู่เยื้องไปข้างหน้าสวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นทันที
“ประทานสมญามหาขุนพลฟ้าทมิฬแก่สวี่ชิงแห่งเผ่ามนุษย์ ประกาศแก่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ หมื่นเผ่าพันธุ์ล้วนรับรู้!”
“ประทานเกราะมหาขุนพลฟ้าทมิฬ ใต้ฟ้าดินไร้ภยันตรายกล้ำกราย!”
“ประทานแผ่นดินบรรดาศักดิ์ 9 เขตปกครอง หล่อเลี้ยงพลังบำเพ็ญ!”
“ประทานกริชกระหายวิญญาณ เพิ่มความแข็งแกร่งและเฉียบคม!”
“ประทานคำอวยพรเทพเจ้าแห่งดวงดาว แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการแห่งตำหนักเทวะ!”
“ประทานประกาศิตแห่งปราชญ์ฟ้าทมิฬ ตำแหน่งดุจอ๋องดุจโหว ได้รับเกียรติแห่งนภาคิหันต์ เผ่าที่สวามิภักดิ์พบหน้าต้องคุกเข่า หมื่นเผ่าเมื่อได้พบมิกล้าขัดขืน!”
ทุกประโยคเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ รางวัลประทานให้หลั่งไหลไม่ขาดสาย ทำให้ผู้บำเพ็ญทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างฮือฮา
รางวัลที่ประทานให้เหล่านี้สูงส่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
เกราะมหาขุนพลฟ้าทมิฬนั่นเรียกได้กระทั่งว่าของวิเศษล้ำค่าด้านการป้องกัน แม้จะไม่ถึงขนาดใต้ฟ้าดินไร้ภยันตรายกล้ำกรายจริงๆ แต่หลังจากสวมแล้วผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะทั่วไปก็ยากที่จะทำลายได้
แผ่นดินบรรดาศักดิ์ 9 เขตปกครอง พื้นที่อาณาเขตพูดได้กระทั่งว่าครึ่งแผ่นดินใหญ่
ทั้งยังมีกริชกระหายวิญญาณนั่นยิ่งน่าตื่นตะลึง ความทรงพลังในการสังหารทำลายล้างผู้ที่ได้ยินล้วนหวาดกลัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำอวยพรเทพเจ้าแห่งดวงดาว ผู้บัญชาการตำหนักเทวะเลย ตำแหน่งเช่นนี้ พูดได้ว่ากรุณาธิคุณแห่งเทพเจ้าท่วมท้น
ส่วนประกาศิตแห่งปราชญ์ฟ้าทมิฬตำแหน่งดุจอ๋องดุจโหวสุดท้ายนั่น ทำให้สวี่ชิงอยู่ข้างนอกมีฐานะตำแหน่งไม่ธรรมดาเช่นกัน
รางวัลเหล่านี้ต่อให้เป็นสวี่ชิงก็จิตใจสั่นสะท้านไปเช่นกัน ในดวงตาฉายแววซับซ้อนเล็กน้อย
เขาย่อมรู้ว่านี่เป็นเพราะเทพชั้นสูงซิงเหยียน
เพียงแต่เขาก็ไม่รู้ว่า เทพชั้นสูงซิงเหยียนทำไมหลังจากครั้งแรกที่ได้เจอตนจนถึงตอนนี้ล้วนทุ่มเทและช่วยเหลือมาโดยตลอด
ส่วนที่บอกว่าปราณพลังหยางอะไรนั่น สวี่ชิงไม่เชื่อ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าในนี้แฝงไว้ด้วยกรรมเวรและความจริงอะไรบ้างกันแน่
และในตอนที่เขาในใจซับซ้อนเช่นนี้ จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังมาจากในเผ่านภาคิมหันต์ที่อยู่ข้างล่าง
“ขออนุญาตอุปราช ขอท้าประลองมหาขุนพลฟ้าทมิฬสวี่ชิง!”
เสียงนี้เมื่อดังออกมา เงาร่างหนึ่งก็ทะยานออกมาจากในฝูงชนเผ่านภาคิมหันต์ ยืนอยู่กลางท้องฟ้า
สวมชุดสีแดงทั้งร่างประดุจเปลวเพลิง ผมยาวราวแปรเปลี่ยนมาจากกฎวิถี
ดวงหน้างดงามสง่า แม้จะไม่ถึงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ก็เรียกได้ว่าเลิศล้ำ
ในร่างที่สูงโปร่งมีกลิ่นอายน่ากลัวลึกล้ำปะทุ และเหนือบ่าเยื้องไปทางขวาของเขามีไฟสีขาวลุกไหม้ ในเปลวไฟมีโลกใบใหญ่ที่ยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึงอยู่ใบหนึ่ง
เป็นเหยียนเสวียนจื่อนั่นเอง
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ แฝงไว้ด้วยจิตต่อสู้ห้าวหาญ มองมาทางสวี่ชิง
“ไม่ทราบว่ามหาขุนพลฟ้าทมิฬสวี่ชิงกล้ารับคำท้าหรือไม่!”
เสียงดุจกระบี่คม ปราณกระบี่เย็นเยียบแผ่ไปทั่วสารทิศ
ในเสี้ยวขณะนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ต่างจับจ้อง เผ่าที่สวามิภักดิ์ทุกเผ่าในดวงตาเป็นประกาย ผู้บำเพ็ญที่ล้อมดูรอบๆ ต่างมองมา
อุปราชทั้ง 3 คล้ายครุ่นคิด แม้แต่ภูเขาเทพก็ยังสาดแสงทองออกมา
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
