บทที่ 972 แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี
อุกกาบาตจกลงมาจากฟากฟ้า
มุ่งสู่ทะเลต้องห้าม
แสงสว่างตระการตาที่บังเกิดในระหว่างกระบวนการ สามารถมองเห็นได้จากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและมณฑลรับเสด็จราชัน ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองต่างตกตะลึง
ช่วงเวลานี้ แม้แดนศักดิ์สิทธิ์จะอุบัติลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรก…ที่ปรากฏในเขตแดนแห่งนี้
ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ทราบเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ และความตึงเครียดที่อธิบายไม่ได้ในหมู่กองกำลังและสำนักต่างๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมาถึงของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แผ่พลังสะกดน่าสะพรึงกลัว ราวพายุคลื่นดารา ประดุจคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำขุนเขา โหมกระหน่ำฟากฟ้า ความรู้สึกกดดันพลันแผ่ซ่านตามมาไร้จุดสิ้นสุด
เสียงกึกก้องกัมปนาท ยังคงดังก้องสะท้อนอย่างต่อเนื่อง
ราวเสียงคำรามแห่งห้วงเวหา สะท้านสะเทือนจิตวิญญาณ
สิ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือน่านน้ำที่อยู่ใกล้กับแดนต้องห้ามมรณะ
เมื่อมองออกไป ผืนน้ำทะเลในรัศมีหลายหมื่นลี้พลันยุบตัวลง ก่อเกิดเป็นกระแสวนขนาดยักษ์ คลื่นที่ยกตัวขึ้นแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์ ซักกระหน่ำไปทุกทิศทาง ในขณะเดียวกัน ยังสามารถมองเห็นก้นทะเลอันเลือนรางได้ลางๆ จากส่วนที่ยุบตัวลง
ส่วนคลื่นยักษ์จากการโหมซัดนั้น กินพื้นที่บริเวณกว้างใหญ่ไพศาล แม้กระทั่งเกาะแก่งบางแห่งยังถูกกลืนกินจมหายไปในพริบตา
โชคดีที่มันเกิดขึ้นไม่นานนัก เกาะแก่งเหล่านั้นรับการแจ้งเตือนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ และเตรียมการรับมือไว้บ้างแล้ว
มิเช่นนั้น คงกลายเป็นมหันตภัยร้ายแรงอย่างแน่นอน
จากจุดนี้จึงเห็นได้ว่า พลังดึงดูดที่เกิดขึ้นจากการมาถึงของแดนศักดิ์สิทธิ์ น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
อสูรทะเลนับไม่ถ้วน ล้วนสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนโดยสัญชาตญาณ ต่างหลีกเลี่ยงและถอยห่างจากน่านน้ำแห่งนี้ จนกระทั่ง…ในห้วงเวลาที่ฟ้าดินแปรเปลี่ยนสี แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตกลงมาราวอุกกาบาต ค่อยๆ ชะลอความเร็วในการเคลื่อนที่ลง
สุดท้ายสิ่งที่ปรากฏขึ้นเหนือทะเลต้องห้าม กลับกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสีน้ำเงินขนาดยักษ์
ความสูงของภูเขาลูกนี้ สูงตระหง่านราวจะขันแข่งกับฟากฟ้า
ความกว้างใหญ่ของภูเขาลูกนี้ เทียบเคียงได้กับมณฑลรับเสด็จราชันทั้งมลฑล
ยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึง!
มันมิได้ตกลงบนผิวน้ำทะเล แต่กลับลอยคว้างอยู่กลางอากาศเหนือผิวน้ำนับพันจั้ง เมื่อมองจากระยะไกล ประดุจเกาะยักษ์ลอยฟ้า
ส่วนบริเวณใต้ภูเขาน้ำแข็งโดยตรง คือบริเวณที่สวี่ชิงสังหารผู้บำเพ็ญมหาขั้นเตรียมสู่เทวะทั้ง 2 คนก่อนหน้านี้ ทั้งยังเป็นจุดที่ค่ายกลส่งสัญญาณออกมา ยิ่งไปกว่านั้น…มันยังอยู่เหนือแดนต้องห้ามมรณะอีกด้วย
แดนต้องห้ามมรณะ ในฐานะที่เป็นเขตต้องห้ามทางทะเลระหว่างมณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ที่นั่นปกคลุมไปด้วยความมืดมิดใต้มหาสมุทรตลอดทั้งปี เป็นเวลาหลายปีนับไม่ถ้วน นอกจากบางครั้งที่เจ้าแดนต้องห้ามมรณะจะลืมตาตื่น ก่อให้เกิดคลื่นลมปั่นป่วนแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ ก็ยังคงสงบ
กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปีนั้น ภายในเผยให้เห็นประตูยักษ์โบราณ และเจ้าแห่งแดนต้องห้ามมรณะก็ดับสูญ แดนต้องห้ามมรณะทั้งแดนคล้ายสูญสิ้นชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความผันผวนใดๆ อีกต่อไป
เรื่องราวภายในโดยละเอียด น้อยคนนักที่จะล่วงรู้
และในวันนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ที่เลือกสถานที่แห่งนี้ในการจุติ เห็นได้ชัดว่ามีนัยสำคัญซ่อนเร้นอยู่
ในขณะนี้ จิตเทพจากมณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ รวมถึงภายในทะเลต้องห้าม ต่างจับจ้องไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาน้ำแข็งสีน้ำเงินขนาดยักษ์แห่งนี้ ในเวลานั้น ภูเขาทั้งลูก…ก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เสียงลั่นดังเปรี้ยงราวอัสนีบาต
รอยแตกร้าวสายแล้วสายเล่า ปรากฏขึ้นบนชั้นน้ำแข็งของตัวภูเขา และแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 1 ชั่วก้านธูป ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งภูเขา
ในเสี้ยววินาทีถัดมา ชั้นน้ำแข็งแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดออกไปรอบทิศ เผยให้เห็นภูเขาสีขาวโพลนที่อยู่ภายใน
เมื่อแผ่นน้ำแข็งสีน้ำเงินร่วงหล่นลงสู่ท้องทะเล และละลายอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิโดยรอบก็พลันลดต่ำลงฮวบฮาบ ที่ผิวน้ำทะเลใต้แดนศักดิ์สิทธิ์ ยังปรากฏชั้นทรายน้ำแข็งขึ้นมารางๆ
และภูเขาสีขาวลูกนั้น ในเวลานี้กลับระเบิดพลังแห่งชีวิตอันเข้มข้นออกมา มองเห็นผืนหญ้าเขียวขจีพลิ้วไหว มองเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ผุดขึ้นจากพื้นดิน ทั้งยังมีพลังวิญญาณอันเข้มข้นเติบโตขึ้นภายใน สัตว์มงคลก็ดูเหมือนจะตื่นจากการหลับใหล พากันโบยบินไปมาทุกทิศทาง
ไม่นานแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นดั่งแดนสวรรค์…
ปรากฏขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน
อีกทั้งยังปรากฏเงาร่างสูงตระหง่านร้อยจั้ง ก้าวเท้าออกจากแดนสวรรค์นั้นด้วยก้าวเดียว
รูปลักษณ์ภายนอกของเงาร่างนี้ หากเทียบกับผู้บำเพ็ญมหาขั้นเตรียมสู่เทวะ2 คนที่สวี่ชิงสังหาร ดูแล้ว นอกเหนือจากลักษณะใบหน้าแล้ว สิ่งอื่นดูราวกับมิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน
ใบหน้าและเค้าโครงคล้ายมนุษย์ ทว่าศีรษะกลับไร้เส้นผม
ผิวกายที่เผยออกมาเป็นสีหยก ทั่วสรรพางค์ดูประหนึ่งหล่อหลอมจากหยกขาว แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
ส่วนวัย มิอาจหยั่งคะเน ทว่ากลิ่นอายโบราณกาลและความผันผวนแห่งกาลเวลาที่แผ่ซ่านจากร่างนั้น กลับเด่นชัดยิ่ง
และสิ่งที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า คือคลื่นความผันผวนพลังบำเพ็ญที่แผ่พุ่งจากทั่วร่าง
พลังบำเพ็ญนี้ เกินเลยความเข้าใจของผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ เป็นความน่าสะพรึงกลัวที่พวกเขาไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต มีเพียงจิตเทพของผู้แข็งแกร่งแท้จริงเท่านั้น จึงรับรู้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง
นี่คือ…เจ้าเหนือหัว!
ฟ้าดินผันแปรสีสัน มหาสมุทรปั่นป่วนพลิกคว่ำ กฎเกณฑ์ฑ์ต่างแซ่ซ้องยินดี พรั่งพรูมาจากทุกทิศทางโดยพลัน
แม้กระทั่งวิถีสวรรค์ ในห้วงเวลานี้ดูราวกับยอมศิโรราบต่อผู้บำเพ็ญนี้
เพราะนี่คือเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุด!
มิต้องอาศัยบารมี มิต้องพึ่งพากำลังภายนอกใดๆ นี่คือเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดตัวจริงในระบบบำเพ็ญเซียนอันสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เทียบได้กับระดับสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!
เขาก้าวเท้าออกจากแดนสวรรค์ ก้าวเท้าเข้าสู่ทะเลต้องห้าม เหยียบย่างเข้าสู่…แดนต้องห้ามมรณะ!
ทั่วทั้งแดนต้องห้ามมรณะ ในชั่วพริบตาพลันกึกก้องด้วยเสียงคำราม เสียงร่ำไห้โหยหวนนับมิถ้วน ดังกระหึ่มจากภายใน โลหิตสีดำทมิฬกลับไหลทะลักจากแดนต้องห้ามมรณะ กลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทะเล
โลหิตนี้ ไหลรินนาน 7 ราตรี
เสียงร่ำไห้ โหยหวนนาน 7 ทิวา
ภายใต้สายตาจับจ้องจากทุกสารทิศ ในราตรีที่ 8…ผู้บำเพ็ญหยกขาวเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดผู้นั้น ก็ก้าวเท้าออกจากแดนต้องห้ามมรณะ บนบ่ากลับแบก บานประตูหินโบราณ!
ประตูบานนี้ คือประตูบานที่เปิดออกภายในแดนต้องห้ามมรณะเมื่อกาลก่อน
เมื่อครั้งอดีต มือเปื้อนโลหิตเลือนรางที่ยื่นออกมาจากประตูบานนี้ เคยกุดชีวิตเจ้าแดนต้องห้ามมรณะครั้งหนึ่ง
และในวันนี้ ประตูพิศวงบานนี้ กลับถูกผู้บำเพ็ญหยกขาวนำกลับคืนสู่เขาเซียนเพียงก้าวเดียว
จากนั้น หมู่ผู้บำเพ็ญแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก พรั่งพรูออกมาดั่งห่าฝน
แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ช่างพิสดารยิ่งนัก
ที่น่าแปลกใจคือ รูปลักษณ์ของคนในชนเผ่า กลับแตกต่างหลากหลายยิ่งนัก บางส่วนคล้ายคลึงกับ 2 คนที่สวี่ชิงสังหารไปก่อนหน้า ขณะที่บางส่วนกลับมีรูปร่างราวกับถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน
มีทั้งร่างมนุษย์ ร่างสัตว์ และรูปร่างประหลาดพิสดารนานา ปรากฏดาษดื่น
เมื่อปรากฏกายขึ้นในเวลานี้ ทั้งหมดต่างพุ่งทะยานเข้าสู่แดนต้องห้ามมรณะ
พฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้มณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณที่จับตาเฝ้ามองที่แห่งนี้อยู่แต่เดิม ต่างรู้สึกแคลงใจในที ขณะเดียวกันก็เพิ่มระดับความสนใจมากยิ่งขึ้น
ทั้งยังยกระดับการเฝ้าระวังขึ้นสู่จุดสูงสุด เขตปกครองผนึกสมุทรถึงขั้นระดมพลทหาร จัดวางกำลังพลประจัญบานในมณฑลรับเสด็จราชัน
ทว่าสิ่งที่น่าพิศวงคือ 1 เดือนให้หลัง แดนศักดิ์สิทธิ์เขาเซียนแห่งนี้ กลับมิได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก ผู้บำเพ็ญภายในดูราวกับมุ่งเน้นความสนใจไปที่แดนต้องห้ามมรณะแต่เพียงอย่างเดียว
ดำเนินการรวบรวมทรัพยากรนานาชนิดภายในแดนต้องห้ามมรณะต่อไป
น้ำทะเล ไอพลังประหลาด พืชพรรณภายในแดนต้องห้ามมรณะ แม้กระทั่งสิ่งประหลาดและสิ่งมีชีวิตประเภทเทพ ก็ล้วนอยู่ในขอบเขตการรวบรวมของพวกเขา
สวี่ชิงผู้คุ้นเคยกับอำนาจเทพแห่งเสียงในทะเลต้องห้าม และกำลังตามหาราชรถวิหคทอง ก็ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้จากข่าวสารที่ส่งต่อกันมาจากหลายฝ่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวงเหยียน ผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่ามนุษย์อย่างยิ่งในช่วงนี้ อีกทั้งยังล่วงรู้เรื่องราวโบราณมากมาย จึงทราบข้อมูลมากกว่าผู้ใด
“สวี่ชิง แดนศักดิ์สิทธิ์ที่อุบัติลงมา ณ หน้าประตูบ้านเจ้านี้ มีการค้นพบข้อมูลจากตำราโบราณของเผ่ามนุษย์ ข้าต้องบอกเลยว่า เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าเชี่ยวชาญในการบันทึกประวัติศาสตร์ยิ่งนัก”
“เผ่าพันธุ์นี้มีนามว่า เผ่าพันธุ์ชั่วร้ายอุบัติ ในยุคสมัยจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว แม้จะมิอาจนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่โตกระไร ทว่าด้วยความชั่วร้ายและความสัตว์ประหลาด อีกทั้งในอดีต จักรพรรดิแห่งเผ่าพันธุ์นี้ เคยสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวมาเนิ่นนาน สร้างคุณูปการมิน้อย จึงดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ อีกทั้งยังเจริญรุ่งเรืองในระดับหนึ่ง”
“และเหตุที่เผ่าพันธุ์นี้ชั่วร้าย ก็เนื่องด้วยพรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์ของพวกเขา เมื่อแรกกำเนิด อ่อนแออย่างยิ่ง ในกระบวนการเติบโตจำต้องช่วงชิงอวัยวะและร่างของเผ่าพันธุ์อื่น เพื่อทดแทนตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตน”
“ประหนึ่งปูเสฉวน ที่ใช้เปลือกของเหยื่อเป็นเปลือกหอยของตน”
“ดังนั้นรูปลักษณ์ของชนเผ่านี้ ส่วนใหญ่จึงแตกต่างหลากหลาย ก่อนที่จะสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เผ่าพันธุ์นี้เคยค้าขายอวัยวะและร่างเนื้อของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ไปทั่วทั้งดินแดนต้องประสงค์ หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของมัน ป่านนี้คงถูกกำจัดไปนานแล้ว”
สวี่ชิงพยักหน้า แม้เผ่ามนุษย์จะอับแสงโรยรา แต่ถึงอย่างไรก็มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีตำราโบราณมากมาย แม้บันทึกประวัติศาสตร์จะไม่อาจเทียบเคียงได้กับวังเซียนคิมหันต์ แต่ก็เหนือล้ำกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมากโข
“ส่วนระดับของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คือแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลือง โดยทั่วไปแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ จะต้องมีผู้วิเศษระดับเจ้าเหนือหัวหนึ่งถึง 2 องค์ดำรงอยู่”
“ผู้ที่ก้าวเท้าเข้าสู่แดนต้องห้ามมรณะในวันนั้น น่าจะเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไปแล้ว”
“จากการสำรวจของจักรพรรดินีเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้า และการพยายามติดต่อกับแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในช่วงเวลานี้ ตลอดจนช่องทางของข้าเอง ข้าได้ข้อสรุปประการหนึ่ง”
“เมื่อครั้งที่ข้าจากไป แดนศักดิ์สิทธิ์นอกพิภพเหล่านั้น เดิมทีมิได้แบ่งระดับชั้นกันอย่างเข้มงวดเช่นนี้ ส่วนใหญ่ต่างเท่าเทียมกัน มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนโยวเท่านั้นที่สูงส่งที่สุด และเป็นประมุขร่วม”
“ภายหลังน่าจะเกิดความผันแปรบางประการ จึงบังเกิดเป็นระดับชั้นนภา พสุธา ดำ เหลือง 4 ระดับ”
สวี่ชิงรุดหน้าไปในทะเลต้องห้าม จิตใจหวนคิดถึงจิตเทพที่หวงเหยียนส่งมาผ่านขนนก
“แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลือง มีเจ้าเหนือหัว 1 ถึง 2 ท่านดำรงอยู่ ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำที่สูงกว่า ในเวลานี้ยังมิมีเจ้าเหนือหัวอุบัติลงมา ทว่าน่าจะมีจักรพรรดิกึ่งเซียนสถิตอยู่”
“ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับพสุธา…เป็นไปมิได้ที่จะมีเซียนคิมหันต์สถิตอยู่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงความเป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ จำนวนกึ่งเซียนเป็นตัวตัดสินว่าจะเป็นระดับพสุธาหรือไม่!”
“และระดับนภาดูเหมือนจะมีเพียงหนึ่งเดียว…ข้าสงสัยว่าแปดเก้าส่วน ว่าน่าจะเป็นเซียนคิมหันต์”
“ตามการวิเคราะห์ของจักรพรรดินี แดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนโยวมิใช่ระดับนภา ดังนั้นเซียนคิมหันต์ที่อาจดำรงอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนภาในเวลานี้ ปัจจุบันน่าจะมิใช่เสวียนโยว ทว่าเป็น…บุคคลอื่น!”
ภายในทะเลต้องห้าม สวี่ชิงชะงักฝีเท้า
“เซียนคิมหันต์…” เขาพึมพำในใจ แววตาฉายประกายเฉียบคม
“และแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนทำสิ่งเดียวกัน นับตั้งแต่ลงมาจุติจนกระทั่งบัดนี้” หวงเหยียนกล่าวต่อ “นั่นคือการรวบรวมทรัพยากร!”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว สวี่ชิงเจ้าก็อย่าอยู่ในทะเลต้องห้ามนานเกินไป รีบกลับมาโดยเร็วเถิด”
หวงเหยียนจบการสื่อเสียง
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองขึ้นไปเบื้องบนจากใต้ทะเล
ท้องทะเลอันสงบ กลับบังเกิดลมพัด
สายลมค่อยๆ แรงขึ้น ก่อตัวเป็นคลื่นทะเล
ประหนึ่งพายุโหมกระหน่ำลูกใหญ่กำลังจะมาเยือน พร้อมผืนฟ้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน
“ค้นหาต่อไปอีก 2 เดือนดีกว่า หากยังมิพบราชรถวิหคทอง ค่อยออกไปจากทะเลต้องห้าม กลับสู่เขตปกครองผนึกสมุทร” สวี่ชิงพึมพำในใจ พลางรุดหน้าต่อไป
และแล้ว กาลเวลาก็ล่วงเลย
1 เดือนผันผ่าน
ณ แผ่นดินใหญ่ดินแดนต้องประสงค์ มีแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง
จวบจนบัดนี้ จำนวนแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อุบัติลงมา มีจำนวนทั้งสิ้น 33 แห่งแล้ว
ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีอุบัติเหนือทะเลต้องห้าม การขุดค้นแดนต้องห้ามมรณะของพวกเขา ดูราวกับใกล้ถึงกาลอวสาน เริ่มจัดแจงให้ชนเผ่าจากไป มุ่งหน้าสู่เกาะแก่งโดยรอบ
มิได้กระทำการชั่วช้า ผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์นี้ที่มุ่งหน้าสู่เกาะแก่งโดยรอบ ล้วนมีท่าทีเป็นมิตรทุกคน
พวกเขาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนต้องประสงค์ด้วยความสุภาพอย่างยิ่ง อีกทั้งยังลงมือช่วยรักษาเยียวยาผู้ที่ถูกไอพลังประหลาดรุกรานอย่างรุนแรง ยิ่งกว่านั้นยามจากไป พวกเขายังมอบยาลูกกลอนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ให้
ฤทธิ์ยาลูกกลอนนั้นขับไล่ไอพลังประหลาดภายในร่างกายได้ผลชะงัดนัก
ชั่วขณะหนึ่ง แม้เผ่าพันธุ์ต่างๆ จะหวาดหวั่น ทว่าก็สัมผัสได้ถึงไมตรีจิตของแดนศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกัน เมื่อข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบ จดหมาย 3 ฉบับก็ถูกส่งมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีอุบัติ
ฉบับหนึ่งถูกส่งไปยังนอกแดนต้องห้ามปักษาราชัน วางไว้ที่นั่น นี่คือจดหมายถึงวิหคเพลิงสวรรค์
ฉบับที่ 2 ถูกส่งไปยังสำนัก 7 เนตรโลหิต นี่คือจดหมายถึงนายท่านเจ็ด
ฉบับที่ 3 ถูกส่งไปยังมณฑลรับเสด็จราชัน นี่คือจดหมายถึงเจ้าแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
ถ้อยคำในจดหมายทั้ง 3 ฉบับแตกต่างกัน ทว่ามีความหมายเพียงหนึ่งเดียว คือแจ้งให้ทั้ง 3 ฝ่ายทราบอย่างสุภาพว่า แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีของพวกเขาอุบัติลง ณ ที่แห่งนี้ มิได้มีเจตนาร้าย ที่มายังที่แห่งนี้เพียงเพื่อแสวงหาทรัพยากร มิปรารถนาเป็นศัตรูกับผู้ใด
พวกเขาหวังว่า จะสามารถอยู่ร่วมกับทั้ง 3 ฝ่ายได้อย่างสันติ
หลังจากที่เขตปกครองผนึกสมุทร ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ และสำนัก 7 เนตรโลหิตหารือกันแล้ว ก็ ตัดสินใจที่จะคงไว้ซึ่งมุมมองเช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์ นั่นคือ ยังคงจับตาเฝ้าดูสถานการณ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อไป
แม้ไม่ได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ทว่ายังคงเฝ้าระวังจับตาพฤติกรรมของแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา
และแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีเองก็ดูจะแสวงหาสันติ ตามที่ระบุไว้ในจดหมายอย่างแท้จริง ในเดือนต่อมา พวกเขาก็มิได้กระทำการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นแต่อย่างใด
แม้ขอบเขตการสำรวจของพวกเขาจะแผ่ขยายกว้างขึ้น และติดต่อกับเผ่าพันธุ์บนเกาะแก่งโดยรอบมากขึ้น ทว่ายังคงมีท่าทีอ่อนโยน โดยให้การเยียวยารักษาและมอบยาลูกกลอนครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนยาลูกกลอนนั้น ก็ถูกเจ็ดโลหิตทำการวิศึกษาตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย หรือกระทั่งหวงเหยียนเองก็ยังตรวจสอบด้วยตนเอง และยืนยันแล้วว่ามิมีภัยแฝงเร้น
ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งจึงดูราบรื่นสงบสุข
มีเพียงพายุเหนือทะเลต้องห้ามเท่านั้นที่ดูจะรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
ส่วนสวี่ชิงตั้งแต่บัดนั้นจนปัจจุบันก็ผ่านมาครึ่งปีได้แล้ว และในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เขาได้ใช้อำนาจเทพเจ้าของตนสำรวจพื้นที่ทะเลเกือบทั้งหมดระหว่างมณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ภายในนั้น มีเขตอันตรายไม่ใช่น้อยๆ สวี่ชิงหาได้เข้าไปลึกกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขาค้นหาเพียงอย่างเดียวคือราชรถวิหคทอง
ทว่าสุดท้ายก็ยังไร้ผล
“เป็นไปได้สูงว่า ราชรถและยักษ์ อาจจะไปยังทะเลนอก”
เหนือผิวน้ำทะเล สวี่ชิงยืนตระหง่านอยู่บนกองซากฉลามบรรพกาลที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลนับมิถ้วน ร่างมหึมาใหญ่โตนับพันจั้ง
ลมทะเลพัดโชยมา ปอยผมสีม่วงปลิวไสวตามแรงลม
สีหน้าของเขาเรียบเฉย รอบกายอบอวลไปด้วยจุดแสงระยิบระยับนับมิถ้วน
ทั้งหมดนี้คือความเป็นเทพที่แผ่ออกมาจากสรรพชีวิตใต้ฝ่าเท้าของเขา
ขณะที่ดูดซับ สวี่ชิงก็มองไปยังทิศทางอันไกลโพ้น
ที่นั่น คือทิศทางของทะเลนอก
ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ส่ายหน้า ถอนสายตากลับมา ในเวลานี้ การมุ่งหน้าสู่ทะเลนอกไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะล้มเลิกแผนการชั่วคราว กำลังจะเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังเขตปกครองผนึกสมุทร ยุติการค้นหาในทะเลต้องห้าม ทว่าในตอนนั้นเอง…แผ่นหยกสื่อเสียงของเขากลับสั่นสะเทือนขึ้นมา
จิตเทพของสวี่ชิงกวาดผ่าน ในเสี้ยววินาทีถัดมา เสียงของศิษย์พี่รอง กลับดังก้องกังวานในสมองของเขา
“ศิษย์น้องเล็ก มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าจัดการสักหน่อย…”
“ตอนนี้อาจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่ออยู่ที่เกาะบูรพาสงัด ท่าน…ส่งคำขอความช่วยเหลือ เจาะจงให้เจ้าไปจัดการ”
เสียงของศิษย์พี่รองแฝงไว้ด้วยความจนใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการที่ท่านบรรพจารย์ร้องขอความช่วยเหลือจากศิษย์หลาน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่าขบขัน
ถึงกระนั้น…ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง
“ท่านอายุมากแล้วหลายปีมานี้พูดได้ไม่คล่องนัก ทว่าตอนนี้เมื่อเอ่ยปากแล้ว น่าจะเป็นการต้องการโอ้อวดต่อจอมคนบูรพาสงัดเป็นแน่ เจ้าก็จงเดินทางไปสักคราเถิด”
สวี่ชิงถึงกับชะงักงัน สีหน้าพลันเคร่งขรึม ตอบรับในทันที “ศิษย์พี่รอง ข้าจะไปยังเกาะบูรพาสงัดในทันที”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
