บทที่ 990 บัดนี้ ข้าคือผู้ล่า
เมื่อทอดสายตาไปยังหุ่นดินและศาลเจ้าบนฟากฟ้าสวี่ชิงล่วงรู้ทันทีว่าผู้ใดมาเยือน
การปรากฏตัวของเอ้อร์หนิวยังบรรเทาความอ่อนล้าจากการหลอมรวมร่างกายและการถูกตามล่าในระหว่างทาง ให้มลายหายสิ้นในฉับพลัน
ชั่วขณะต่อมา ขบวนหุ่นดินพลันลอยละลิ่วเหนือม่านฟ้า
เอ้อร์หนิวที่อยู่ในขบวน แหวกฝูงชนก้าวเท้ามาอย่างรื่นเริง เมื่อมายืนหยุดอยู่ข้างกายสวี่ชิง ก็เงื้อกำปั้นทุบลงบนบ่าสวี่ชิง พลังอ่อนโยนแผ่กระจายและกระจายไปทั่วร่างกายของสวี่ชิง
เมื่อล่วงรู้ถึงความอ่อนแอของร่างกายสวี่ชิงและร่องรอยการเสื่อมโทรมของร่างกายหลายต่อหลายครา เอ้อร์หนิวมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่ขยิบตาให้สวี่ชิง พลางหัวร่อร่า “ศิษย์น้องเล็ก ยามหนีตายคิดถึงศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่?”
“ยามไร้ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้ากินมิลง นอนมิหลับ กระวนกระวายใจยิ่งนัก กระทั่งการฝึกบำเพ็ญยังไร้รสชาติ ประหนึ่งชีวิตขาดสิ่งใดไปใช่หรือไม่”
“ศิษย์พี่ใหญ่ทายถูกใช่หรือไม่ ฮ่าๆ เจ้ามิต้องขวยเขิน ไม่เป็นไร กล้าๆ หน่อย ยอมรับมาเสียดีๆ”
เอ้อร์หนิวยิ้มย่อง ทว่ายังมิลืมที่ยกยออวี้หลิวเฉิน ดังนั้นหลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็โค้งคำนับอวี้หลิวเฉินด้วยสีหน้าประจบประแจง
“ท่านผู้ทรงสง่าราศี งามสง่าดุจต้นท้อในสายลม จิตวิญญาณทรงพลังเกรียงไกร ต้องเป็นอวี้หลิวเฉินผู้อาวุโสที่ทำให้เทพเจ้าต้องบูชา ทำให้ห้วงดาราเปล่งประกายมิผิดแน่ ข้าน้อยเฉินเอ้อร์หนิวขอคารวะท่านผู้อาวุโส!”
อวี้หลิวเฉินซึ่งนั่งจิบชาอยู่ เหลือบมองเอ้อร์หนิวผาดหนึ่ง ก่อนจะกะพริบตา เผยแววสนใจ
“สวี่ชิง ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าผู้นี้ช่างกระตือรือร้นยิ่งนัก เรื่องที่เจ้าหายตัวไป เขาก็เป็นคนแรกที่ล่วงรู้ ทั้งยังส่งแผ่นหยกป่าวประกาศไปทั่วกว่าครึ่งดินแดนต้องประสงค์ทีเดียว”
เมื่อทอดสายตามองศิษย์พี่ใหญ่เบื้องหน้า ฟังวาจาของอวี้หลิวเฉิน รอยยิ้มแรกพลันปรากฏบนใบหน้าสวี่ชิง นับแต่ช่วงเวลาอันเลวร้าย
ทว่าขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร ศาลเจ้ากลางเวหาพลันเปล่งประกาย สายลมพัดพลิ้ว ม่านศาลเจ้าเลิกเปิดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรูปปั้นจิ้งจอกดินที่ถูกบูชาอยู่ภายใน
รูปปั้นจิ้งจอกดินเมื่อครู่ยังไร้ชีวิตชีวา ทว่าในชั่วพริบตา กลับมีสีสันแต่งแต้มประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นก็ฟื้นคืนชีพ กลายร่างเป็นหญิงสาวผู้งดงามนางหนึ่ง
นางก้าวลงจากศาลเจ้า มุ่งหน้าสู่ป่าไผ่
ทรวงอกอวบอิ่มสะท้านไหวตามท่วงทำนองก้าวเดิน เอวคอดกิ่วดุจน้ำเต้า ขับเน้นบั้นท้ายกลมกลึง ชวนให้ผู้คนสูดลมหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นระรัว
งดงามไร้ที่ติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาภรณ์โปร่งสีแดงกึ่งโปร่งแสงที่นางสวมใส่ ประหนึ่งจะหลุดร่วงจากร่างได้ทุกเมื่อ
และผิวกายผุดผ่อง รูปร่างอรชรอันได้สัดส่วน ในท่วงท่าที่เยื้องย่างนั้น แฝงเร้นด้วยความยั่วยวนชวนให้ลุ่มหลง ประหนึ่งเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลงในจิตใจผู้คน งอกงามแตกกิ่งก้าน
ในยามที่นางเยื้องย่างสู่ป่าไผ่ ปรากฏกายข้างกายสวี่ชิง น้ำเสียงออดอ้อนปนเกียจคร้านก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ
“เจ้าเด็กดื้อ กล้าทิ้งปราณพลังหยางของข้าไว้กับผู้อื่น พี่สาวเดิมทีก็มิใคร่อยากมาช่วยเจ้าหรอกนะ”
เมื่อเสียงนี้เปล่งออกมา สวี่ชิงก็จนปัญญาเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ได้แต่ก้มศีรษะคารวะ “คารวะท่านผู้อาวุโส”
จิ้งจอกดินแค่นเสียงในลำคอ ทอดสายตาจับจ้องสวี่ชิงแวบหนึ่ง เผยแววพึงพอใจ
“แต่ว่าที่หนิวเอ๋อร์พูดก็มิผิดนัก เจ้าได้ร่างใหม่แล้ว ปราณพลังหยางของเจ้าก็ต้องหวนคืนมาเช่นกัน”
เอ้อร์หนิวได้ยินดังนั้น ก็กระแอมไอ ยกมือทุบหน้าอก
“แน่อยู่แล้ว ถึงข้าหลอกลวงผู้ใด ก็ไม่อาจหลอกลวงท่านได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้ร่างใหม่แล้ว ศิษย์น้องเล็กของข้าจะต้องเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิมแน่นอน จงดูร่างกายนี้สิ งดงามไร้ที่ติ ดูเลือดลมนี้สิ มากพอจะแผดเผาฟ้าดินได้ทีเดียว”
เมื่อกล่าวจบ เขายังคงขยิบตาให้สวี่ชิงอีกครา
สวี่ชิงนิ่งเงียบ คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ ทำเอาเขารู้สึกประหลาดพิกล
“ช่างเถอะๆ พี่สาวมิถือสาเจ้าหรอก” จิ้งจอกดินเหมือนจะพอใจกับคำกล่าวนี้ นัยน์ตายั่วยวนพลันกวาดมองสวี่ชิงอีกครา ริมฝีปากอิ่มเอิบพลันแลบเลียริมฝีปากตนเองโดยสัญชาตญาณ
“คาวโลกีย์” อวี้หลิวเฉินเอ่ยเสียงแผ่ว
เทพเจ้าดาราหาได้ใส่ใจคำพูดขององค์ท่านไม่ มิได้แยแส หากแต่หันกายไปยังร่างฝูเสียฟากหนึ่ง
ทันทีที่สายตาจับจ้อง แววตาก็พลันเยียบเย็นยะเยือก ดุจมองซากศพไร้วิญญาณ
“เจ้าคือตัวโสโครกมิรู้จะที่ต่ำที่สูง คิดหมายปองร่างเนื้อของสวี่ชิงอย่างนั้นหรือ?”
ฝ่ายเอ้อร์หนิวก็หันศีรษะมา ดวงตาฉายแววสังหาร แผ่ไอเย็นยะเยือก
ใครอื่นอยากสังหารฝูเสียมากเพียงใด เอ้อร์หนิวมิอาจรู้ได้ ทว่าเขาลรู้ดีแก่ใจว่า ในยามนี้ จิตใจของเขาปรารถนาจะบดขยี้ฝูเสียให้แหลกคามือเพียงใด
ก่อนหน้านี้เขาแสร้งวางท่าทีสบายๆ เอื้อนเอ่ยวาจาหยอกล้อสวี่ชิงก็เพื่อบรรเทาความอ่อนล้าจากภยันตรายที่สวี่ชิงต้องเผชิญมาตลอดเส้นทาง
ในความเป็นจริง ความร้อนใจของเขาตลอดเส้นทางนั้น มิอาจหาสิ่งใดเปรียบได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังเกตเห็นความอ่อนแอของสวี่ชิง และสัญญาณของร่างกายที่แหลกสลายไปหลายต่อหลายครา เพลิงโทสะก็ยิ่งลุกโชนในใจเขา มิได้โกรธแค้นเพียงฝูเสียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจักรพรรดินีด้วย
“ข้ามิใช่คนซับซ้อน ดังนั้น…มันที่ทำให้เรื่องเรียบง่ายกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ ข้าจะจำไม่มีวันลืม!” เอ้อร์หนิวเค้นเสียงคำรามจากก้นบึ้งหัวใจ สายตาที่ทอดมองไปยังฝูเสียยิ่งฉายแววสังหารรุนแรง
ร่างของฝูเสียสั่นสะท้าน จิตใจพลันพังทลาย เขาล่วงรู้แล้วว่าสตรีที่มาเยือนก็คือเทพเจ้าเฉกเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น…ร่างของนางกลับแฝงกลิ่นอายแห่งแท่นเทวะ
นั่นคือสัญญาณของสมบูรณ์แบบไร้ที่ติขั้นสูงสุด
ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ล้วนทำให้เขาสิ้นหวัง เขารู้ว่าตนหนีไม่พ้นแล้ว สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาในยามนี้คือความตายอันรวดเร็ว นั่นคือหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ทว่าการระเบิดตนเองเมื่อครู่ กลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
“มีแต่ต้องถูกเทพเจ้าองค์อื่นสังหารเท่านั้น จึงจะตัดขาด…”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความสิ้นหวังก็แปรเปลี่ยนเป็นความคลั่ง กลิ่นอายทั่วร่างพลันปะทุขึ้น ก้าวเท้าไปยังเบื้องหน้า พุ่งตรงไปยังสวี่ชิงประหนึ่งจะลงมือ ทว่าในความเป็นจริงกลับเป็นการแสวงหาความตาย
สีหน้าสวี่ชิงยังคงเรียบเฉย มิได้หลบเลี่ยง เพียงแต่ทอดสายตาเย็นชาไปยังร่างฝูเสียที่พุ่งเข้ามา
ในฉับพลันต่อมา มือของเทพเจ้าดารา พลันแตะเบาๆลงบนหว่างคิ้วฝูเสีย
ท่ามกลางเสียงกึกก้องคำราม พลังฝีมือที่ฝูเสียปลดปล่อย พลันพังทลาย ร่างกายสั่นสะท้าน ร่างทั้งร่างประหนึ่งลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ค่อยๆ แฟบลง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายหรือร่างกาย ล้วนอ่อนแอถึงขีดสุด
ทว่ากลับมิได้ดับสิ้น
อีกทั้งสุรเสียงแห่งเทพเจ้าดารา ยังทำเอาร่างอันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของเขายิ่งสั่นสะท้าน
“เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นที่นี่ไม่ใช่ร่างทั้งหมดของเจ้า จึงปรารถนาความตายอันฉับพลันอย่างนั้นหรือ” เทพเจ้าดารา เอ่ยเสียงราบเรียบ
บอกกล่าวความจริง
สิ่งที่ปรากฏกาย ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ทั้งหมดของฝูเสียหากแต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขา
เมื่อรับรู้ถึงเคราะห์กรรมเหล่านั้นของสวี่ชิง มีหรือฝูเสียจะมิเตรียมพร้อม เพื่อป้องกันมิให้ความพ่ายแพ้นำไปสู่ความตาย เขาจึงใช้วิชาเซียนที่ตกทอดมาจากเผ่าพันธุ์ในขณะตามล่าสวี่ชิง
วิชาเซียนนี้พิสดารยิ่งนัก กลไกคือการสลักความทรงจำของตนออกมา ส่งเข้าสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตอื่น ซุกซ่อนกายในนั้นราวกับเมล็ดพันธุ์
เมื่อเงื่อนไขการตื่นขึ้นถูกกระตุ้น ความทรงจำส่วนนี้ก็จะปะทุ ดุจหวนคืนสู่วังวนแห่งสังสารวัฏ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ถูกความทรงจำของเขาครอบงำ แปรเปลี่ยนเป็นตัวเขาคนใหม่!
ตามแผนการของเขา หากการเดินทางครั้งนี้ราบรื่น วิชาเซียนนี้ย่อมมิถูกกระตุ้น ทว่าหากมิราบรื่น…เมื่อใช้ความตายเป็นเงื่อนไขกระตุ้น แม้เขาจะดับดิ้น แต่ก็สามารถฟื้นคืนชีพได้เช่นกัน
ทว่าในยามนี้ เขาปรารถนาที่จะกระตุ้นวิชาเซียน ทว่ากลับเอื้อมมิถึงความตายเสียแล้ว
สวี่ชิงครุ่นคิด แววเยียบเย็นยะเยือกพลันแผ่ซ่านในดวงตา ก้าวเท้าไปยังร่างฝูเสียที่ถูกเทพชั้นสูงซิงเหยียนสะกดเอาไว้ ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน
ในยามที่เข้าใกล้ ฝูเสียฝืนพยุงศีรษะขึ้น ทอดสายตามองสวี่ชิง มองเผ่ามนุษย์ที่ถูกเขาตามล่ามาตลอดเส้นทาง ผู้ที่เกือบจะถูกเขาหลอมรวม เขาพยายามจะยกมุมปาก เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม แววตาเองก็แผ่เจตนาฆ่าออกมาเช่นกัน
เขามิได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด ทว่าความหมายกลับปรากฏชัดเจนจากสีหน้า
เขากำลังบอกกล่าวสวี่ชิงว่า หากมิใช่เพราะมีผู้มาช่วยเหลือเจ้า ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้าไปแล้ว เจ้า…มิได้เป็นอะไรทั้งนั้น
สวี่ชิงล่วงรู้ถึงสีหน้าท่าทางเหล่านั้น ล่วงรู้ถึงเจตจำนงของอีกฝ่ายที่กระทำเช่นนี้ ก็เพื่อแสวงหาความตาย
ดังนั้นเมื่อเข้าใกล้ เขาจึงเก็บถุงเก็บของของอีกฝ่าย ยกมือขวาขึ้น กริชสั้นพลันปรากฏ แทงทะลวงร่างของฝูเสียโดยพลัน
ในพริบตากริชสั้นแทงทะลุร่าง เลือดสดๆ ไหลรินออกมา สวี่ชิงสีหน้าไร้ความรู้สึก ชักกริชสั้นกลับคืนมา ปักลงอีกครา
รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง
นับแต่วันที่พบพานฝูเสียจวบจนกระทั่งวันนี้ กาลเวลาผันผ่าน 9 วัน
ทว่าเขากลับแทงกริชเพียง 8 ครา
จากนั้น ขณะที่ร่างของฝูเสียโชกเลือด ลมหายใจรวยริน เจ้าเงาใต้เท้าสวี่ชิงพลันแผ่ขยาย ปกคลุมร่างฝูเสีย
ภายใต้จิตเทพของสวี่ชิง เจ้าเงาพลันอ้าปากกว้าง โถมเข้ากลืนกินเงาของฝูเสีย
ในเวลาเดียวกัน เถาวัลย์เทพก็เลื้อยออกมาจากร่างสวี่ชิง อ้าปากแยกเขี้ยวคำราม โถมเข้าใส่ฝูเสียเช่นกัน มันเลื้อยเลาะตามรอยแผล แทรกซอนเข้าสู่ร่าง กัดกินอย่างบ้าคลั่ง
ในชั่วพริบตา ร่างของฝูเสียสั่นสะท้าน ความเจ็บปวดแสนสาหัสเกินพรรณนา ทำเอานัยน์ตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด เสียงสั่นเครือถูกเค้นออกมาจากลำคอ เพื่อกล้ำกลืนมิให้ส่งเสียงโหยหวน
เขาปรารถนาความตาย
ทว่าย่างก้าวแห่งความตายกลับเชื่องช้า
ภายใต้ทัณฑ์ทรมานของกายเนื้อ สวี่ชิงยกมือขวาขึ้น ทาบทาลงบนวิญญาณสวรรค์ฝูเสียเริ่มต้น…หลอมวิญญาณ!
เส้นวิญญาณของเขา เหือดแห้งไปจนสิ้น จำต้องเติมเต็ม
วิญญาณแห่งเจ้าเหนือหัว เป็นยาบำรุงที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้นในฉับพลันต่อมา ร่างกายของฝูเสียที่สั่นสะท้าน กลับสั่นเครือรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ความปวดร้าวจากการแตกสลายและหลอมวิญญาณ เกินกว่าความเจ็บปวดทางกายจะเทียบเทียม
เขาปรารถนาจะต่อต้านโดยสัญชาตญาณ ทว่าพลังสะกดจากเทพเจ้าชั้นสูงซิงเหยียนกลับบดขยี้การต่อต้านทั้งหมดของเขา
ทำได้เพียงยอมจำนนดุจปลาบนเขียง ปล่อยให้สวี่ชิงหลอมวิญญาณไป
ดุจเดียวกับที่เขาเคยปรารถนาจะหลอมวิญญาณสวี่ชิง
ทุกสิ่งผันแปร
เมื่อกาลเวลาล่วงเลย เมื่อการหลอมวิญญาณดำเนินต่อไป เมื่อเส้นวิญญาณสวี่ชิงก่อตัวขึ้นใหม่ ความปวดร้าวไร้ขอบเขตแปรเปลี่ยนเป็นทะเลแห่งความสิ้นหวัง ทำให้ฝูเสียไม่อาจกล้ำกลืนต่อไปได้ ใบหน้าบิดเบี้ยว เสียงหวีดร้องโหยหวนพลันก้องกังวานไปทั่วทิศทาง
ขณะฟังเสียงโหยหวน สีหน้าสวี่ชิงยังคงสงบนิ่ง จวบจนกระทั่งปริมาณเส้นวิญญาณในร่างหวนคืนสู่สภาพเดิม เติมเต็มจนอิ่มเอม เขาจึงหันมองเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวย่อมรู้ถึงพันธะสัญญาของสวี่ชิง จึงแลบเลียริมฝีปาก ก้าวเท้ามาเบื้องหน้า ยกมือขึ้นเหยียบย่ำลงบนร่างสั่นสะท้านของฝูเสียเช่นกัน
ในชั่วพริบตา เงาร่างสุนัขสวรรค์พลันปรากฏเบื้องหลังเอ้อร์หนิว มันเต็มไปด้วยความตะกละ แฝงจิตสังหาร โถมเข้ากลืนกินโดยพลัน
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องของฝูเสียก็ยิ่งโหยหวนยิ่งกว่าเดิม
ชั่ว 1 ก้านธูปผ่านพ้นไป ดวงวิญญาณของฝูเสียแตกสลายจนแหลกละเอียด คงเหลือไว้เพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ทำให้ลมหายใจของเขายังคงรวยริน ทว่ายังมิดับสูญ
และวิญญาณแห่งเจ้าเหนือหัว มิใช่สิ่งที่สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวสามารถกลืนกินได้โดยง่ายในเวลานี้ เทพชั้นสูงซิงเหยียนจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ปั้นเศษวิญญาณส่วนที่พวกเขายังมิอาจกลืนกินได้ แปรเปลี่ยนเป็นลูกแก้ววิญญาณ
ลูกแก้ววิญญาณเหล่านั้น เปล่งประกายเจิดจ้า แต่ละลูกล้วนทรงคุณค่าถึงเพียงที่จะทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญคลุ้มคลั่ง
นั่นคือสิ่งที่หลอมจากวิญญาณเจ้าเหนือหัว มีมูลค่าเกินประมาณ
การล้างแค้นของสวี่ชิงยังมิสิ้นสุด เวลานี้ เมื่อหลอมวิญญาณเสร็จสิ้น แววเยียบเย็นยะเยือกพลันแผ่ซ่านในดวงตา แสงเซียนตะวันดับพลันปะทุโหมกระหน่ำในร่าง ก่อเกิดเป็นสุริยันผงาดฟ้า ในห้วงสุริยันพลันปรากฏร่างวิหคทอง พ่นเพลิงหลอมสรรพวิญญาณใส่ร่างฝูเสีย
เพลิงนี้ เมื่อผสานกับวิชาแสงเซียน ก่อเกิดเป็นพลังอันน่าสะพรึงกลัว ห่อหุ้มร่างเนื้อฝูเสียในฉับพลัน
สุดท้ายร่างเนื้อของฝูเสียก็ถูกวิหคทองกลืนกินโดยสมบูรณ์ พร้อมกับถูกเปลวเพลิงหลอมรวมอย่างต่อเนื่อง
จุดประสงค์ของสวี่ชิงคือสงสัยว่าจะสามารถหลอมรวมอำนาจลบเลือนของฝูเสียออกมาได้หรือไม่
และขณะนี้ เมื่อร่างเนื้อของฝูเสียถูกกลืนกิน บนพื้นคงเหลือไว้เพียงกรรไกรผุพังเล่มหนึ่ง
สวี่ชิงเอื้อมมือไปเก็บกรรไกรเล่มนั้น แววอำมหิตพลันแผ่ซ่านในดวงตา
ในเมื่อเจ้าปรารถนาจะหลอมรวมข้า บัดนี้ทุกสิ่งของเจ้า ข้าจะหลอมรวมให้หมดเช่นกัน
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ สวี่ชิงจึงหันกายคารวะอวี้หลิวเฉินและเทพเจ้าดารา
อวี้หลิวเฉินวางจอกชาลง ทอดสายตาไปยังร่างสวี่ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ
“เจ้าติดค้างบุญคุณข้าหนึ่งครา ไว้เจ้าจัดการเรื่องราวเหล่านี้เสร็จสิ้น ข้าจะไปหาเจ้า”
กล่าวจบ ร่างขององค์ท่านพลันเลือนราง ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับป่าไผ่หมื่นลี้โดยรอบ
สรรพสิ่งโดยรอบพลันแปรเปลี่ยนไปตามการจากไปของท่าน แปรเปลี่ยนเป็น…ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
ส่วนเทพเจ้าชั้นสูงซิงเหยียนทอดสายตาไปยังจุดที่ฝูเสียเลือนหายไป หัวเราะเบาๆ ออกมา “จะให้ข้าช่วยเจ้าตามหาส่วนที่เหลือของไอ้ตัวโสโครกนั่นหรือไม่?”
สวี่ชิงสั่นศีรษะ “บุญคุณของท่านเทพเจ้าชั้นสูง สวี่ชิงจะจดจำไว้ในใจ เรื่องราวต่อจากนี้ ข้าจัดการได้ด้วยตนเองขอรับ”
เทพเจ้าชั้นสูงซิงเหยียนยิ้มแย้ม กล่าวเช่นเดียวกับอวี้หลิวเฉิน ทว่าความหมายกลับแฝงนัยยะบางประการ
“ก็ดี ครานี้ถือว่าเจ้าติดค้างบุญคุณข้าหนหนึ่ง ไว้เจ้าจัดการเรื่องราวเหล่านี้เสร็จสิ้น ข้าจะไปหาเจ้านะ”
กล่าวพลาง เทพเจ้าชั้นสูงซิงเหยียนก็แลบเลียริมฝีปาก ความเสน่ห์หายิ่งเข้มข้นกว่าเดิม
สวี่ชิงชะงักงัน
เทพเจ้าชั้นสูงซิงเหยียนหัวเราะเสียงใส ร่างอรชรพลันสั่นไหว เยื้องย่างเข้าสู่ศาลเจ้า นั่งลงแปลงร่างเป็นรูปปั้น ขบวนหุ่นดินเหนียวบนท้องฟ้า ก็เคลื่อนขบวนอีกครา ค่อยๆ ลับเลือนไป
ในทะเลทราย เหลือแต่สวี่ชิงและเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวทอดสายตามองสวี่ชิง แล้วยิ้มกว้าง “อาชิงน้อย ต่อจากนี้เจ้าจะทำเช่นไร?”
ความเย็นยะเยือกพลันบังเกิดในจิตใจสวี่ชิง จิตสังหารพลันเข้มข้น ทอดสายตาไปยังทิศทางทะเลต้องห้าม หรี่ตาลง เอ่ยเสียงเฉียบคมดุจคมดาบ
“เขายังติดค้างข้าอีก 1 ดาบ ต่อจากนี้ จะถึงคราวข้าตามล่าเขาแล้ว”
……
ณ ทะเลต้องห้าม ใต้ห้วงลึกใต้สมุทร ในกระแสน้ำเชี่ยวกราก อสูรคอยาวบรรพกาลมหึมาตัวหนึ่งกำลังไล่ล่าเหยื่อ
ร่างอันมหึมาของมันแหวกว่ายในห้วงสมุทร ทว่าในยามที่มันไล่ตามเหยื่อจนทัน อ้าปากกว้างหมายกลืนกิน ร่างของมันพลันสั่นสะท้าน นัยน์ตาสีเทากลับเปล่งประกายหลากสี
ความทรงจำที่มิใช่ของตนพลันปะทุในหัวสมอง แปรเปลี่ยนเป็นพายุโหมกระหน่ำกลืนกินทุกสิ่ง แผ่ซ่านสู่ร่างเนื้อ ทำให้ร่างเนื้อพังสลายโดยพลัน
เลือดเนื้อกระจัดกระจาย
ทว่าในฉับพลันต่อมา เลือดเนื้อที่กระจัดกระจายเหล่านั้น กลับย้อนรวมกันอย่างรวดเร็ว ก่อเกิดเป็นร่างมนุษย์
2 นัยน์ตาเบิกโพลง จากที่เลื่อนลอยก็ค่อยๆ แจ่มชัด สุดท้ายกลับเยียบเย็น
“ดูท่า ร่างจริงของข้าจะพ่ายแพ้เสียแล้ว!”
เขาพึมพำกับตนเอง ร่างมนุษย์ที่แปรจากเลือดเนื้ออสูรคอยาวบรรพกาล ตระหนักถึงภัยอันตรายรอบด้าน จิตใจพลันบังเกิดความกระวนกระวาย
“มิรู้ว่าผู้ที่สังหารร่างจริงของข้า เป็นผู้ใดในเคราะห์กรรมของเด็กคนนั่น…”
“แต่ไม่ว่าเช่นไร สภาพของข้าในยามนี้อ่อนแอยิ่งนัก ไร้ซึ่งอำนาจแห่งเจ้าเหนือหัว เช่นนั้นก็ต้องทำตามแผนเดิม ต้องหาที่ซ่อนกายไปสักระยะ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ข่มความกระวนกระวายในจิตใจ เร้นกายจากไปยังทิศทางอันไกลโพ้น
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
