1 ก.ค. 2563
Chapter 1 ต้องโทษประหาร
ภายในตำหนักฮองเฮา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังหลัง กำลังนั่งพระพักตร์นิ่งอยู่ที่ตั่ง มองไปยังโต๊ะเบื้องหน้าซึ่งมีถ้วยใส่น้ำสีขาวขุ่นวางอยู่
“เสวยเถอะพะย่ะค่ะ ฮองเฮา” เฉินกงกงพูดอย่างไร้ความเคารพ
ฮองเฮาหลิงละสายตาจากถ้วยเงยหน้ามองขันทีคนสนิทด้วยแววตาเจ็บปวด “เหตุใดเจ้าถึงทรยศข้า?”
เฉินกงกงจ้องตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ลมเปลี่ยนทิศ”
ฮองเฮาหลิวแสยะแย้มพระสรวล สมเพชในโชคชะตาของตัวเอง นางเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ตระกูลหลิว ได้แต่งงานกับอ๋องหลงถังด้วยความรัก ตลอดมานางคิดว่าพระสวามีรักจึงทุ่มเทความรักให้ทั้งหมด ใช้อำนาจของตระกูลช่วยผลักดันพระสวามีให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่แล้ววันนี้พระสวามีกลับมีพระราชโองการให้นางเสวยยาพิษเพื่อชดใช้ความผิดข้อหากบฏ ความผิดที่นางไม่ได้ก่อ ความผิดที่นางถูกใส่ร้ายว่าคบค้ากับแคว้นหนานถิง ถูกผู้คนประณามว่าเป็นกบฏ จนทำให้นางถูกสั่งขังอยู่ในตำหนัก ตระกูลของนางถูกจองจำทั้งหมด กองทหารถูกยึด ทรัพย์สินของตระกูลหลิวถูกยึด แล้วเมื่อวานนี้คนในตระกูลนางถูกสั่งประหารทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่
นางได้แต่ฟังข่าวที่นางกำนัลนำมาบอก หยาดอัสสุชล(น้ำตา)ของแม่แห่งแผ่นดินไหลอาบพระปราง(แก้ม) แต่นางจะทำเช่นไรได้ในเมื่อนางก็ไม่อาจจะช่วยใครได้เช่นกัน
มาวันนี้ยาพิษถูกส่งมาพร้อมกับพระราชโองการให้นางปลิดชีวิตตัวเองเพื่อชดใช้ความผิดที่นางถูกใส่ร้าย
“เสวยเถอะพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้ไปกราบทูลฮ่องเต้เสียที” เฉินกงกงเร่ง “ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าจะไม่ทำอะไรองค์รัชทายาท หากพระองค์ยอมเสวยโอสถถ้วยนี้ชดใช้ความผิด”
ฮองเฮาเหยียดยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าโง่เง่านักรึไงเฉินกงกง?”
เฉินกงกงเงียบไม่ตอบ
“พระราชโองการปลดองค์รัชทายาทออกมาแล้ว เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึ?”
เฉินกงกงตะลึงตกใจ นางรู้ได้อย่างไร? ใครคาบข่าวมาบอก?
“ปลดองค์รัชทายาทเพื่อแต่งตั้งอ๋องหลงเทียนเป็นรัชทายาทแทน เช่นนั้นหลงซันลูกข้าก็หามีชีวิตอีกต่อไปแล้ว”
เฉินกงกงปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก็พูดว่า “เช่นนั้นพระองค์ก็ทรงรีบเสวยโอสถเถอะพะย่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานนานนัก” แล้วเขาก็หันไปสั่งขันทีอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังว่า “ช่วยกันกรอกโอสถเร็วเข้า”
“ขอรับ” สองขันทีรับคำสั่งแล้วก็ลุกไปช่วยกันจับตัวฮองเฮากรอกยาพิษ
“แค้นนี้ข้าต้องกลับมาทวงคืนแน่ เฉินกงกง เจ้าจำไว้ให้ดีเถอะ” ฮองเฮาตรัสอย่างอาฆาต
เฉินกงกงยิ้มเยาะ มองดูสองขันทีช่วยกันจับฮองเฮากรอกยาพิษ “พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ตระกูลหลิวก็ถูกประหารสิ้น องค์รัชทายาทก็กำลังจะถูกปลด แล้วเดี๋ยวก็ตาย เช่นนั้นแล้วใครจะแก้แค้นให้พระองค์หรือพะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาจ้องอย่างอาฆาต พยายามดิ้นรนจากขันทีทั้งสอง แต่เพราะก่อนหน้านี้นางถูกเฉินกงกงวางยาจนไร้แรงจะเคลื่อนไหวได้ แค่แรงจะยืนยังไม่มี หากเป็นยามปกติคงไม่มีใครจับตัวได้เช่นนี้หรอก ไม่นานนักพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เนตรเหลือกค้างอย่างน่ากลัว แก้แค้น! ข้าจะต้องแก้แค้น!
สองขันทีช่วยกันจับแล้วก็กรอกยาพิษจนสำเร็จ ขันทีผู้กรอกยารีบใช้ผ้าอุดพระโอษฐ์กันยาไหลออกจากพระโอษฐ์ ยาซึ่งเป็นกรดกัดกร่อนรุนแรงได้แผดเผาพระโอษฐ์จนแดงเถือก
พระวรกายบางกระตุกตลอดเวลาเหมือนทรมานสุดแสนดั่งปลาถูกทุบหัว
เฉินกงกงมองดูด้วยสายตาเฉยเมยเหมือนมองปลาถูกฆ่าในห้องครัว
พระวรกายบางกระตุกๆๆ แล้วก็ค่อยๆอ่อนแรงลงจนหยุดนิ่งพิงซบในอ้อมอกขันทีที่ช่วยจับตัวอยู่ข้างหลัง
ขันทีผู้กรอกยายื่นนิ้วไปอังพระนาสิก(จมูก)แล้วก็หันไปรายงานว่า “สิ้นพระชนม์แล้วขอรับ”
“พวกเจ้าจัดการให้เรียบร้อย ข้าจะไปกราบทูลฮ่องเต้กับพระสนมเย่เฟย” เฉินกงกงสั่งแล้วก็เดินออกไป
สองขันทีช่วยกันจับพระศพฮองเฮานอนลงบนตั่ง ขันทีคนหนึ่งพยายามจะลูบพระเนตรที่เหลือกโพลงอย่างน่ากลัวให้ปิดลง แต่ทำเช่นไรก็ไม่อาจปิดเนตรคู่นั้นลงมาได้
ณ จวนขุนนางไป๋
ฮูหยินไป๋เฟิ่งเหมยฮวากำลังร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดเมื่อรู้ว่าบุตรสาวสุดที่รักสิ้นลมหายใจด้วยโรคหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก
บ่าวไพร่ต่างก็ร่ำไห้กันถ้วนหน้า
ไป๋จื่อฮัว ขุนนางฝ่ายบุ๋นได้แต่ตบบ่าฮูหยิน “ทำใจเสียเถอะฮูหยิน ลูกเราวาสนาน้อยนัก”
“ฮือๆๆๆๆ ท่านพี่” ฮูหยินร่ำไห้อย่างไม่อายสายตาใคร
หมอถอยออกไปแล้วก็พูดกับเจ้าบ้านว่า “เสียใจด้วยขอรับนายท่าน ข้าไร้ฝีมือไม่อาจยื้อชีวิตคุณหนูไว้ได้”
“ท่านทำเต็มที่แล้วล่ะ ลูกข้านั้นบุญน้อยนัก หากไม่ได้ท่านนางคงไม่อยู่มาจนถึงป่านนี้หรอก ข้าทำใจไว้นานแล้วล่ะ” ไป๋จื่อฮัวหันไปพูดกับหมอ พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้น้ำตารินไหล “เชิญท่านกลับไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ” หมอค้อมกายแล้วก็คว้าล่วมยาออกไปจากห้อง
ข้ารับใช้คนหนึ่งรีบเดินไปส่งหมอ
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” ไป๋จื่อฮัวสั่งบ่าวไพร่
บ่าวไพร่รีบออกจากห้องไปจนหมด เหลือเพียงสามพ่อแม่ลูกอยู่ในห้อง
น้ำตาของไป๋จื่อฮัวค่อยๆไหลออกมา “เฟิ่งหวง” เขานั่งลงบนเตียงจับมือลูกมากุมไว้อย่างเสียใจที่สุดในชีวิต
เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านแม่”
ไป๋จื่อฮัวกับฮูหยินหันไปมองผู้ที่เข้ามา
“ไม่จริงใช่ไหมท่านพ่อท่านแม่ที่น้องเล็ก….” ไป๋จงถลันเข้าไปทั้งชุดขุนนาง
“เจ้ามาก็ดีแล้วจงเอ๋อร์ มาบอกลาน้องซะซิ” ไป๋จื่อฮัวเช็ดน้ำตาทิ้ง
ไป๋จงก้าวพรวดเดียวถึงเตียง ทรุดตัวลงข้างเตียง ยื่นมือไปประคองแก้มน้องสาว “เฟิ่งหวง ทำไมเจ้าไม่รอพี่ก่อน?” น้ำตารินไหลอย่างสุดจะกลั้นเอาไว้ได้
พลัน! ร่างที่สิ้นลมหายใจไปแล้วก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ดวงตาลืมโพลง “ข้าจะต้อง…” เสียงหวานแผ่วหายไป
ไป๋จื่อฮัว ฮูหยินไป๋ฯ ไป๋จง สะดุ้งโหยง
“เฟิ่งหวง” ไป๋จื่อฮัวเรียกลูกอย่างตื่นเต้น
“เฟิ่งหวง” ไป๋จงเรียกน้องดีใจอย่างที่สุด
ฮูหยินไป๋หายตกใจก็เรียกลูกสาวลั่น “เฟิ่งหวง เจ้ายังไม่ตาย!” นางโผกอดลูกอย่างดีใจ
ฮองเฮาหลิว เหลือบตามองคนนั้นคนนี้อย่างงงๆ นางเห็นหน้าเด็กหนุ่ม แล้วก็ผู้หญิงคนหนึ่งกอดนางเอาไว้ ส่วนนั่น ขุนนางไป๋นี่น่า
“ตามหมอเร็วเข้า ลูกข้ายังไม่ตาย” ไป๋จื่อฮัวตะโกนลั่นอย่างดีใจ
ด้านนอกบ่าวไพร่หยุดร้องไห้กันหมด “คุณหนูยังไม่ตายๆๆ”
“ตามหมอๆๆ” เสียงร้องบอกต่อกันเป็นทอดๆดังลั่นไปทั้งจวน
ฮองเฮาหลิวขยับตัวลุกขึ้นอย่างงงๆ “นี่เจ้าช่วยข้าไว้เหรอ?” นางถามขุนนางไป๋
ฮูหยินเฟิ่งกอดลูกอย่างดีใจ “เฟิ่งหวงๆๆๆ” นางเรียกลูกซ้ำๆ
“เฟิ่งหวง” ไป๋จงกอดน้องอีกคน
ฮองเฮาหลิวผลักคนที่กอดออก “ปล่อยข้า”
ฮูหยินตกตะลึงไม่คิดว่าลูกจะผลักออก “เฟิ่งหวง เจ้าเป็นอะไรไป แม่คงจะกอดเจ้าแน่นเกินไป แม่ขอโทษ”
ฮองเฮาหลิวมองหน้าทุกคน “เฟิ่งหวง?” นางทวนคำอย่างงงๆ “ข้าไม่ใช่…” นางพูดได้แค่นั้นแล้วก็รู้สึกว่าเสียงนางเปลี่ยนไป นางจึงก้มลงมองตัวเอง มือนางเล็กลง หน้าอกนางที่เคยอวบอัดกลับไม่มี “นี่ข้า…”
เสียงฝีเท้าวิ่งมา “ท่านหมอมาแล้วๆ” บ่าวร้องอย่างดีใจ
หมอก้าวเข้าไปในห้อง พอเห็นคนที่สิ้นลมไปแล้วกลับลุกขึ้นนั่งอยู่ก็ตกใจ “นี่…”
ทุกคนในห้องหันไปมองหมอเป็นตาเดียว
ไป๋จื่อฮัวรีบเรียก “รีบตรวจลูกข้าเร็วเข้า นางยังไม่ตาย”
หมอก้าวเข้าไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง คนที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ชีพจรหยุดเต้นไปแล้วตั้งนาน กลับฟื้นขึ้นมาได้ใหม่ โอ้…สวรรค์ เขาก้าวเข้าไปจับชีพจรทันที
ทุกคนเงียบกริบ
หมอจับชีพจรอยู่นานแล้วก็ดึงมือออก “น่าอัศจรรย์นัก ชีพจรคุณหนูเต้นเป็นปกติ”
“ลูกข้ายังไม่ตาย” ไป๋จื่อฮัวพูดอย่างดีใจ
“คุณหนูไป๋ ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” หมอถามพลางปลดล่วมยาลงวางข้างเตียง
ฮองเฮาหลิวมองหน้าคนที่กำลังถาม แล้วก็ทวนคำ “คุณหนูไป๋?”
ไป๋จงยื่นมือไปลูบผมน้อง “เฟิ่งหวง เจ้าทำพี่ใจหายหมดเลยรู้ไหม”
ฮองเฮาหลิวหันไปมอง “บังอาจ” พลางเบี่ยงหัวออกจากมือนั้น
ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวจากเด็กสาว
“เฟิ่งหวง ทำไมพูดจาเช่นนี้ล่ะ? ไม่ไพเราะเลยลูก” ฮูหยินตำหนิ
“ข้าไม่ใช่…” ฮองเฮาหลิวจะบอกแต่แล้วก็พูดว่า “ขอกระจก”
“กระจกเหรอ? จะเอากระจกมาทำไมรึเฟิ่งหวง?” ไป๋จงถามแล้วก็เดินไปหยิบกระจกให้น้อง
ฮองเฮาหลิวรับกระจกมาส่องดูตัวเอง ภาพที่สะท้อนบนกระจกคือภาพเด็กผู้หญิงน่าจะอายุราวสิบกว่าแต่ไม่น่าจะเกิน 13 ปี นางยกมือลูบใบหน้า “นี่ข้า…”
เสียงท้องร้องจ๊อก…
ทุกคนหันไปมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียว
เจ้าของเสียงท้องร้องก้มมองท้องตัวเองแล้วก็เหลือบมองคนอื่นๆอย่างอับอายขายขี้หน้า ฮองเฮาท้องร้องเพราะหิว รู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงที่นั่น!
“หิวงั้นเหรอลูก?” ฮูหยินถามแล้วก็หันไปตะโกนสั่งบ่าว “เอาโจ๊กเข้ามาเร็วเข้า”
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งไปที่โรงครัว
สักพักบ่าวก็ถือชามโจ๊กเข้ามา “โจ๊กเจ้าค่ะ”
ฮูหยินรีบรับชามโจ๊กมาแล้วก็ตักขึ้นมาเป่าให้หายร้อน จากนั้นก็ป้อนลูกสาว “กินซะหน่อยนะลูก”
ฮองเฮาหลิวหันไปมองช้อนที่ยื่นมาจ่อปาก แล้วก็มองหน้าฮูหยิน เห็นสายตาอีกฝ่ายส่งสายตาคะยั้นคะยอให้กินด้วยความรักก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจพิกล นางอายุแก่กว่าคนป้อนด้วยซ้ำ
เสียงท้องร้องอีกครั้ง ฮองเฮาหลิวจึงยอมอ้าปากกิน
ฮูหยินรีบตักโจ๊กคำใหม่ขึ้นมาเป่า
ฮองเฮาหลิวลดกระจกลง สมองก็ครุ่นคิด นี่ข้าตายแล้ว เช่นนั้นข้ามาอยู่ในร่างเด็กคนนี้ได้อย่างไร?
“อ้าม…” ฮูหยินจ่อช้อนไปที่ปาก
ฮองเฮาหลิวอ้าปากกินไป สมองก็ครุ่นคิดไปด้วย
“โจ๊กไม่อร่อยหรือไงเฟิ่งหวง? เจ้าถึงได้ทำหน้าเหมือนกินยาขมน่ะ?” ไป๋จงแซวน้อง
ฮองเฮาหลิวเหลือบมองคนพูดด้วยสายตานิ่งสงบ
“จงเอ๋อร์พูดมากน่า” ฮูหยินหันไปดุลูกชาย
ไป๋จงหน้าเจื่อนหุบปากสนิท
จนกระทั่งโจ๊กเกือบหมดชาม ฮองเฮาหลิวก็ยกมือบอก “ข้าอิ่มแล้ว”
“กินอีกหน่อยซิลูก อีกซักคำก็ยังดี” ฮูหยินคะยั้นคะยอ
“ข้าอิ่มแล้ว” ฮองเฮาหลิวส่ายหน้า
ฮูหยินจึงส่งชามให้บ่าวเอาไปเก็บ
“เอาล่ะข้าขอตรวจคุณหนูให้ละเอียดซักหน่อยนะขอรับ” หมอพูดขึ้น
ฮูหยินขยับลุกให้หมอตรวจลูกสาว
หมอนั่งลงแทนที่ฮูหยินแล้วก็จับชีพจร จากนั้นเขาก็สั่งว่า “คุณหนูอ้าปากกว้างๆขอรับ อ้าาาาาา…”
ฮองเฮาหลิวทำตาม อ้าปากให้หมอตรวจ
หมอดูปากแล้วก็เอื้อมมือไปจับเปลือกตาเปิดดูตาขาว พอตรวจเสร็จแล้วก็หันไปพูดกับไป๋จื่อฮัวว่า “อาการของคุณหนูปกติดีทุกอย่างขอรับ มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ข้าจะจัดยาบำรุงมาให้ขอรับ”
“ขอบคุณท่านมาก” ไป๋จื่อฮัวพูดแล้วก็หันไปสั่งบ่าวว่า “ใครก็ได้ไปส่งท่านหมอด้วย”
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับคำสั่งแล้วก็รอเดินไปส่งหมอ
หมอลุกขึ้นคำนับเจ้าบ้านแล้วก็คว้าล่วมยาเดินออกไป
ฮูหยินขยับนั่งลงแล้วก็กอดลูกเอาไว้ “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา”
ฮองเฮาหลิวได้แต่นิ่งเงียบเก็บความรู้สึก
ไป๋จื่อฮัวนั่งลงบนเตียงเอื้อมมือไปลูบหัวลูกสาว “เฟิ่งหวง”
ไป๋จงก็เอื้อมมือไปลูบหัวน้องเช่นกัน “เฟิ่งหวง”
ฮองเฮาหลิวรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์จนต้องบอกทุกคนว่า “ข้าอยากพักสักหน่อย”
“อ่อ” ฮูหยินดันตัวออกแล้วก็ลูบแก้มลูก “เจ้านอนซะนะเฟิ่งหวง นอนพักเยอะๆจะได้แข็งแรงไวๆนะ”
ฮองเฮาหลิวรีบเอนตัวลงนอน
ฮูหยินจับผ้าห่มๆให้แล้วก็ดึงกระจกไปยื่นให้ลูกชายเอาไปเก็บ
“นอนซะนะเฟิ่งหวง” ฮูหยินลูบหัวลูกด้วยความรัก
“เจ้าต้องแข็งแรงไวๆนะเฟิ่งหวง” ไป๋จงพูดแล้วก็ยิ้มให้น้องสาว
ไป๋จื่อฮัวแอบเช็ดน้ำตาแล้วก็พูดว่า “เจ้าต้องอยู่กับพ่อไปนานๆนะเฟิ่งหวง” แล้วเขาก็พูดกับภรรยาว่า “ไปเถอะฮูหยิน ลูกจะได้หลับ”
ฮูหยินพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไปจากห้อง นางหันไปสั่งบ่าวว่า “คอยดูแลคุณหนูให้ดี หากมีอะไรผิดปกติก็รีบไปเรียกข้าทันที”