Chapter 5
คุณชายชุดสีขาว
ไป๋เฟิ่งหวงเดินออกจากศาลาไป พอเซี่ยวซินเดินลับตาไปแล้วนางก็หันไปมองต้นสนใหญ่ใกล้ๆศาลา นี่แหละที่ฝึกออกกำลังกายของนางล่ะ แล้วนางก็เริ่มปีนป่ายต้นสนสูงใหญ่กลางสวนขึ้นไปเรื่อยๆ นางชอบปีนต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก ท่านพ่อก็ไม่เคยห้ามสักครั้ง มีแต่ท่านแม่ที่มักจะคอยปรามว่าไม่สมกับเป็นกุลสตรี จนกระทั่งนางแต่งงานเข้าตำหนักอ๋องจึงอดปีนป่ายต้นไม้เล่นอีกเพราะฐานะบังคับให้นางต้องวางตัวสมกับเป็นพระชายาท่านอ๋อง
ยิ่งปีนขึ้นไปสูง นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยตัวตนออกไปเรื่อยๆ หากนางไม่ต้องมัวห่วงภาพพจน์พระชายาท่านอ๋อง ตอนที่หลงหลิวเริ่มโตนางคงพาลูกปีนต้นไม้เล่นอย่างสนุกไปแล้ว หากย้อนวันเวลากลับไปได้นางจะไม่มีวันยอมให้กฎระเบียบความเป็นกุลสตรีมาบังคับให้นางเสียสละความสุขของนางอีกเป็นอันขาด
ภาพเด็กสาวชุดสีชมพูอ่อนกำลังปีนต้นไม้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นได้เด่นชัดจากบนหลังคาซึ่งชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขาใช้วิชาตัวเบากระโจนขึ้นมายืนอยู่บนนี้เพราะกำลังรู้สึกเบื่อๆ อยากเห็นทิวทัศน์มุมมองใหม่ๆบ้าง เขามีผ้าปิดหน้าเอาไว้เหลือเพียงดวงตาสีดำสนิทดูลึกลับไร้ก้นบึ้ง
ดวงตาดำจับจ้องไปที่เด็กสาวชุดสีชมพูอ่อนเขม็ง “นางเป็นใครกันนะ? ช่างกล้าปีนต้นไม้ไม่สมเป็นกุลสตรีเลยสักนิด”
เขาจ้องมองร่างเล็กปีนป่ายกิ่งสนขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างนั้นหยุดนั่งลงบนกิ่งกือบจะถึงปลายยอดอย่างไม่กลัวตกลงไปเบื้องล่างเลยสักนิด “ช่างกล้านัก”
เขาจ้องมองนางอย่างไม่อาจจะละสายตาไปได้ สองขาพาตัวเองเข้าไปใกล้นางเรื่อยๆ จนกระทั่งยืนอยู่บนหลังคาบ้านที่ติดกับรั้วบ้านที่เด็กสาวคนนั้นอยู่
ไป๋เฟิ่งหวงนั่งรับลมเล่นอย่างสนุกสนาน นึกภาพท่านพ่อที่หัวเราะร่ายามเห็นนางปีนต้นไม้กับภาพใบหน้าท่านแม่ที่แสดงสีหน้าไม่ชอบใจ ตามด้วยเสียงต่อว่าสามี “ท่านพี่ตามใจลูกอีกแล้ว เกิดตกลงมาแข้งราขาหักไปจะว่ายังไง?”
ภาพเหล่านั้นคงเหลือไว้อยู่ในความทรงจำเท่านั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพลาก็แสดงสีหน้าเศร้าออกมา
“คุณหนู ทุกข์ใจอะไรนักหรือ? คิดจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดต้นไม้ตาย ข้าว่าศพคงไม่สวยนักหรอก”
เสียงพูดดังอยู่ใกล้ตัวจนนางต้องหันไปมอง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาศาลากลางสวน
“ใครคิดจะฆ่าตัวตาย เจ้าเข้าใจผิดแล้วมั้ง?” นางตอบน้ำเสียงไร้อารมณ์
ชายชุดขาวกระโจนเพียงไม่กี่ทีก็ขึ้นมายืนอยู่บนกิ่งสนต่ำลงไปไม่เท่าไหร่จากตัวนาง
“ลงมาเถอะ หรือถ้าลงไม่ได้ข้าจะช่วยพาลงไปเอง” ชายชุดขาวบอกอย่างมีน้ำใจ
“ข้าลงเองได้ไม่ต้องรบกวนเจ้าให้เสียแรงหรอก แล้วเจ้าเข้ามาในบ้านข้าทำไม?” ไป๋เฟิ่งหวงจ้องชายชุดชาวที่ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นคุณชายจากตระกูลไหนซักตระกูลล่ะมั้ง ก็เสื้อผ้าที่เขาสวมราคามันถูกเสียเมื่อไหร่ ผ้าไหมสีขาวพลิ้วแบบนั้น แค่ชุดนั้นชุดเดียวก็สามารถซื้อบ้านหลังหนึ่งแถบชานเมืองได้เลยล่ะ คนรวยขนาดนั้นคงไม่ใช่โจรขโมยที่คิดจะเข้ามาขโมยของในจวนหรอก เพราะดูแล้วข้าวของในจวนนางก็ไม่ได้มีค่ามากสักเท่าไหร่
“ข้าก็แค่เป็นห่วงเห็นว่าคุณหนูปีนต้นไม้ขึ้นไปเสียสูงขนาดนี้ กลัวว่าจะตกลงไปจึงมาช่วยเหลือก็เท่านั้น” ชายชุดชาวตอบ
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ข้าไม่รบกวน” ไป๋เฟิ่งหวงพูดแล้วก็หันไปสนใจมองทิวทัศน์ต่อ
ชายชุดขาวยืนมองนางอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไรให้เป็นการรบกวนนางอีก
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูอยู่ไหนเจ้าคะ?” เซี่ยวซินเดินเรียกเข้ามาในสวน
ไป๋เฟิ่งหวงก้มมองตามเสียงสีหน้าสงบ ปล่อยให้บ่าวตามหาไปไม่คิดจะส่งเสียงให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็ขืนเซี่ยวซินรู้ว่านางอยู่บนยอดต้นสนคงได้มีคนหัวใจวายตายแน่
ชายชุดขาวก้มมองบ่าวนางนั้นด้วยท่าทีสงบ แล้วบ่าวนางนั้นก็เดินหายไปอีกด้านหนึ่ง
“เจ้าปีนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆหรือ?” เขาหันไปถามเด็กสาว
“ครั้งแรก” ไป๋เฟิ่งหวงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ชายชุดขาวนึกสงสัย ครั้งแรก…แต่ท่าทางที่เห็นกลับคล่องแคล่วจนไม่อาจจะเชื่อได้ว่านี่คือครั้งแรกที่นางปีนต้นไม้ หรือนางอาจจะหมายความว่าเป็นครั้งแรกที่นางปีนขึ้นมาสูงขนาดนี้รึเปล่า? กำลังจะถามก็ได้ยินเสียงเรียกขัดเข้ามา
“เฟิ่งหวง เฟิ่งหวงอยู่ไหนลูก? เฟิ่งหวง”
สีหน้าร่างเล็กเปลี่ยนพลันเมื่อได้ยินเสียงเรียก
แล้วเจ้าของเสียงเรียกก็พาร่างสมส่วนเดินเข้ามาปรากฏต่อสายตาชายชุดขาว
“เฟิ่งหวง ไปกินขนมเร็วลูก? อย่ามัวแต่เล่นซ่อนแอบอยู่เลยลูก ถ้าช้าขนมหมดอดกินแม่ไม่รู้ด้วยนะ” ฮูหยินไป๋ร้องบอกแล้วก็เดินกลับไปทางเก่า
ไป๋เฟิ่งหวงผ่อนลมหายใจ กลัวว่าแม่จะเงยหน้าขึ้นมามองบนยอดสนแทบแย่
นางชื่อเฟิ่งหวงงั้นรึ สมตัวดี มิน่าถึงชอบที่สูง นางเป็นหงส์นี่เองก็ต้องชอบที่สูงซินะ ชายชุดขาวมองเด็กสาวอย่างจดจำรายละเอียดเอาไว้ทุกอย่าง
ไป๋เฟิ่งหวงรีบปีนลงไปก่อนที่ฮูหยินจะเดินมาตามอีกรอบ แล้วถ้าเห็นนางอยู่บนต้นไม้คงถูกอบรบหูชาแน่
“อ้าว จะลงแล้วรึ?” ชายชุดขาวถาม
“อืม” ไป๋เฟิ่งหวงพยักหน้ารับสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเดิม
ชายชุดขาวยิ้มขัน เมื่อครู่นางยังมีท่าทีหวั่นกลัวตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเดินมาเรียกอยู่เลย ดูท่าเรื่องที่คุณหนูของบ้านแอบมาปีนต้นไม้ คงไม่มีใครรู้แน่ๆ เด็กนี่น่าสนใจดี
เขาปีนลงไปคอยระวังให้นาง เผื่อนางพลาดตกลงมาเขาจะได้ช่วยทัน
ไป๋เฟิ่งหวง ปีนลงไปเรื่อยๆอย่างคล่องแคล่ว
ชายชุดขาวก็ปีนลงไปก่อนคอยระวังให้อยู่ทุกขณะจิต
พอถึงพื้นไป๋เฟิ่งหวงก็หันไปยิ้มให้ชายชุดขาว “ขอบคุณที่คอยระวังให้ข้า” แล้วนางก็รีบเดินไปตามทางไปเรือนใหญ่
ชายชุดขาวรู้สึกหัวใจกระตุกวาบ นี่นางรู้งั้นรึว่าที่ข้าปีนลงมาก่อนเป็นการคอยระวังให้นาง ดูท่าทางนางคงฉลาดไม่เบา หึๆๆๆๆ
เขามองตามร่างเล็กเดินหายลับไปแล้วก็กระโจนกลับไปตามเส้นทางเดิมที่เข้ามา
ชายชุดขาวกลับบ้านไปอย่างอารมณ์ดีขึ้นจนคนสนิทได้แต่มองอย่างงงๆว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจนทำให้เจ้านายอารมณ์ดีผิดปกติเช่นนี้
วันถัดมา หมอหลวงก็กลับมาตรวจอาการของคุณหนูตระกูลไป๋
“ขอบคุณท่านหมอหลวงที่มาตรวจเฟิ่งหวงเจ้าค่ะ รบกวนท่านหมอแล้ว” ฮูหยินไป๋พูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร ข้าผ่านมาจึงแวะมาตรวจเท่านั้น” หมอหลวงบอกทั้งที่จริงแล้วคือตั้งใจมาพบคุณหนูโดยเฉพาะ
ฮูหยินไป๋คารวะหมอหลวงอีกรอบ แล้วก็ยืนอยู่อย่างนั้น
หมอหลวงต้องรีบบอก “ขอข้าตรวจคุณหนูตามลำพังด้วย ข้าต้องการสมาธิ”
“เช่นนั้นข้าฝากเฟิ่งหวงด้วยเจ้าค่ะ” ฮูหยินพูดแล้วก็เดินออกไปรอข้างนอก
พออยู่ตามลำพังกับคุณหนูตระกูลไป๋ หมอหลวงก็หยิบกระดาษที่วาดสัญลักษณ์ส่งให้นางดู “เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
“เกี่ยวก้อยสัญญา” ไป๋เฟิ่งหวงตอบชัดถ้อยชัดคำ
หมอหลวงตะลึงงัน เหมือนโดนตีหัวแล้วจับเอาไปแช่ในแม่น้ำยามฤดูหนาว
“วิธีเดินหมากเมื่อวานก็เป็นวิธีเดินแบบเดียวกับที่ข้าเคยชนะเจ้าเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่คิดเลยว่าเจ้าก็ยังจะเดินหมากเช่นเดิมไม่ยอมเปลี่ยนเลยนะกู่เล่อ” ไป๋เฟิ่งหวงพูดช้า ชัดถ้อยชัดคำ หวังให้ทุกคำพูดซึมซับเข้าไปในหัวสมองของสหายรัก
หมอหลวงอ้าปากค้าง จ้องหน้าเด็กสาวตาเบิกโพลงเสียยิ่งกว่าเห็นผี “หลิวหลิว…”
“หลิวหลิว ตายไปแล้ว หลิวหลิวคนโง่งมคนนั้นตายไปแล้วกู่เล่อ ตรงหน้าเจ้าตอนนี้เหลือแต่ไป๋เฟิ่งหวงกับตระกูลไป๋ที่ไม่อาจยอมให้พินาศไปเพราะการชิงอำนาจในวังได้อีก เจ้าต้องช่วยข้ากู่เล่อ ไม่เช่นนั้นตระกูลไป๋คงจบชีวิตบนลานประหารแน่” ไป๋เฟิ่งหวงพูดช้าชัด เสียงเบาพอให้สหายรักได้ยินเท่านั้น
หมอหลวงไม่อยากจะเชื่อเรื่องผีวิญญาณอะไรทั้งนั้น แต่ทุกคำพูดที่เด็กสาวพูดกับเขามันช่างเหมือนกับคำพูดของสหายรักของเขาไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียว แล้วการเดินหมากเมื่อวานก็ช่างเหมือนกับเมื่อ 20 ปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน และชื่อกู่เล่อก็มีเพียงหลิวหลิวและอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่รับรู้ชื่อแท้จริงของเขา
“เป็นเจ้าจริงๆ งั้นหรือหลิวหลิว?” เขาพึมพำถามออกไปอย่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เป็นข้าหลิวหลิวสหายของเจ้าจริงๆกู่เล่อ หากเจ้ายังไม่เชื่อต้องให้ข้าบอกไหมว่าเรารู้จักกันได้ยังไง?” ไป๋เฟิ่งหวงถาม
หมอหลวงพยักหน้า
“เจ้าแอบเข้ามาขโมยลูกพลับในบ้านข้า แล้วก็ถูกข้าจับได้ ข้าถามเจ้าว่า…นี่เจ้าคนไม่กลัวตายไม่รู้รึไงว่าที่นี่คือจวนแม่ทัพหลิวน่ะ”
หมอหลวงตะลึงพรึงเพลิดยิ่งกว่าเดิม ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว นางคือหลิวหลิวจริงๆ เขาถลันไปดึงตัวเด็กน้อยเข้ามากอด “หลิวหลิว ข้าขอโทษ หลิวหลิว ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้ หลิวหลิว ข้าสมควรตาย ฮือๆๆๆๆ”
ไป๋เฟิ่งหวงรีบขยุ้มชายแขนเสื้อตัวเองปิดปากหมอหลวงกันไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกไปถึงหูคนที่อยู่ข้างนอก เดี๋ยวพวกนั้นพรวดพราดเข้ามาล่ะเป็นเรื่อง นางขี้เกียจอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่น
“ฮือๆๆๆๆ…หลิวหลิว” หมอหลวงยังร้องไห้
ไป๋เฟิ่งหวงดึงหูสหายรักแรงๆ กระซิบว่า “นี่…เลิกร้องไห้ได้แล้ว แล้วก็เลิกกอดข้าซะที เกิดท่านแม่มาเห็นเข้า ข้าคงโดนจับแต่งงานกับเจ้าแน่”
“อึก…อึก…แต่งก็ดีซิหลิวหลิว” หมอหลวงหลุดปากออกมา แต่พอสบกับดวงตาดุวาบไอสังหารแผ่กระจายก็รีบปล่อยมือออก ขยับออกห่างจากร่างเล็กหลายก้าว “เอ่อ…ไม่ดีๆ”
ดวงตาดุยังโชนแสงจนคนตัวใหญ่กว่าต้องรีบหาทางดับเพลิงโทสะที่คุกรุ่นโดยเร็ว “เอ่อ…แล้วเจ้ามาอยู่ในร่างนี้ได้ไงเหรอ?”
“ไม่รู้” วงหน้าเล็กสะบัดพรึ่ด “จำได้แค่ตอนกำลังจะตาย จู่ๆทุกอย่างก็ดับวูบไปเลย พอลืมตาขึ้นอีกทีก็มาอยู่ในตัวเด็กคนนี้แล้ว”
“คงเป็นสวรรค์ลิขิตแน่ๆ” หมอหลวงรีบพูดเมื่อเห็นเพลิงโทสะค่อยๆจางหายไป
“ลิขิตให้ตายอีกรอบกลางลานประหารงั้นเหรอ?” เสียงหวานประชดอย่างหงุดหงิด
“ว่าแต่เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรงั้นเหรอ?” หมอหลวงถามน้ำเสียงจริงจัง
“จะพาตระกูลไป๋รอดจากลานประหารได้ก็ต้องพึ่งพาเจ้าแล้วล่ะ เจ้าต้องกลับไปบอกหลงถังว่า ขุนนางไป๋ป่วยหนัก ไม่อาจจะลุกจากเตียงได้ ง่ายๆแค่นี้เอง เจ้าทำได้อยู่แล้ว หลังจากนั้นข้าจะให้ขุนนางไป๋พ่อลูกลาออกซะ เท่านี้ตระกูลไป๋ก็รอดพ้นจากลานประหารแล้ว แต่ถ้ายังรับราชการอยู่ก็เตรียมตัวหัวหลุดจากบ่าได้เลย ข้าเดาแผนต่อไปของเย่เฟยออกหรอก เอาตระกูลไป๋เชือดไก่ให้ลิงดูซักตระกูล ตระกูลอื่นๆจะได้ยอมสงบสยบแทบเท้าพวกมัน”
“อ่อ ถ้าเรื่องแค่นี้ง่ายมาก แต่คงต้องลำบากขุนนางไป๋ไปซักระยะเพราะคนป่วยหนักคงออกไปเพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้” หมอหลวงมือกอดอกข้างอีกข้างลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด
“ออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ยังดีกว่าตายคาลานประหารล่ะนะ” ไป๋เฟิ่งหวงบอก
“ว่าแต่ขุนนางไป๋ป่วยได้ไง? วันก่อนข้ายังเห็นเขาแข็งแรงอยู่เลย” หมอหลวงหันไปจ้องหน้าสหายรัก
“ฝีมือข้าเอง ก็แค่เอาสมุนไพรในจวนนี่แหละให้กินมากหน่อยจนธาตุไฟสูงเกินปกติ ก็เลยเป็นอย่างที่เจ้าเห็น”
“ห๊า!” หมอหลวงตกใจอ้าปากค้าง “นี่ถึงกับต้องวางยากันเลยเหรอ?”
“เผื่อไว้ ในกรณีที่เจ้าไม่ช่วยข้าไง” ไป๋เฟิ่งหวงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
เจริญแท้…หมอหลวงได้แต่ก่นด่าในใจ หากล้าพูดออกไปไม่ เกิดนางสวนกลับมาชีวิตน้อยๆของเขาได้แหลกลาญในอุ้งมือน้อยๆนั่นน่ะซิ
“งั้นที่เจ้าไปนั่งที่ศาลา วางกระดานหมากไว้ก็เพื่อรอข้าซินะ?” ทั้งๆที่รู้แต่ก็ยังอยากจะถามให้รู้แจ้งไปเลย
“ใช่ เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามาตรวจขุนนางไป๋ตามคำสั่งของหลงถัง ถึงอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแวะมาตรวจข้าด้วยในฐานะที่ข้าเคยเป็นคนไข้ของเจ้า ข้าก็เลยจงใจวางกระดานหมากเดินหมากกับเจ้าซักตาระลึกความหลัง แต่ไม่คิดว่าสหายข้าก็ยังจะโง่ซ้ำสองแพ้ให้ข้าอีกหน”
หมอหลวงนวดขมับอย่างปวดหัวกับฝีปากที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม
“เอาล่ะ เรื่องของขุนนางไป๋จบไปแล้ว มาว่าเรื่องของเจ้าดีกว่า นั่งลง ข้าจะตรวจเจ้าก่อน” เขาบอกพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้
ไป๋เฟิ่งหวงเดินไปนั่งที่ที่เตียง ยื่นแขนให้จับชีพจร
หมอหลวงจับชีพจรแล้วก็ตรวจดูเปลือกตากับภายในช่องปาก “ร่างกายเจ้าแข็งแรงกว่าเมื่อปีก่อนที่ข้ามาตรวจ ตอนนั้นเหมือนตะเกียงที่ไร้น้ำมันเข้าไปทุกทีๆ ริบหรี่เต็มทน ข้าบอกไปขุนนางไป๋แล้วว่าอยู่ได้ไม่เกินสิ้นฤดูร้อน แต่ตอนนี้ร่างกายนี้กลับฟื้นคืนหากบำรุงสักเดือนน่าจะอึดทึกทนพอที่จะไปตะลุยสนามรบได้ล่ะ”
“เดือนนึงงั้นรึ?” ไป๋เฟิ่งหวงทวนคำแล้วก็ยิ้มให้สหายรัก “ขอบใจเจ้ามาก”
หมอหลวงจ้องหน้าสหาย “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เจ้าอย่ารู้จะดีกว่า” ไป๋เฟิ่งหวงบอกสีหน้าสงบนิ่งแต่แววตาทอประกายอำมหิต
หมอหลวงถอนหายใจ รู้ดีว่าคนตรงหน้าปากหนักขนาดไหน หากไม่อยากพูดถึงสิ่งใด ต่อให้ต้องตายก็ไม่มีทางยอมพูดออกมาเด็ดขาด “เอาเถอะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกข้ามา ข้าพร้อมจะช่วยเจ้าทุกอย่าง”
“ขอบใจ” ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มให้แล้วก็ชูนิ้วก้อยขึ้น
หมอหลวงมองแล้วก็เกี่ยวก้อยตอบพลางยิ้มให้สหายรัก
ตอนที่ฮองเฮาถูกจับ หมอหลวงสหายรักก็พยายามช่วยเหลือทุกวิธีทาง แต่มันก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงนั้นแหละ นางจึงสั่งให้เขาหยุดช่วยเหลือนางกับครอบครัวตระกูลหลิว เพราะนางรู้แน่แล้วว่าอย่างไรก็ต้องตายจึงไม่อยากให้สหายรักถูกประหารไปด้วย นางเสียดายวิชาแพทย์ขั้นสูงของเขาที่จะสูญไปด้วยหากเขาตายไป อย่างน้อยหากเขามีชีวิตอยู่ก็ยังช่วยเหลือคนได้อีกมากมาย
มือน้อยคลายนิ้วก้อยจากการเกาะเกี่ยว แต่มือใหญ่กว่ากลับไม่ยอมปล่อยจนเจอสายตาดุวาบนั้นแหละจึงยอมคลายนิ้วออกแต่โดยดี
“ไปได้แล้ว โอ้เอ้นาน ท่านแม่จะสงสัยเอาได้” ไป๋เฟิ่งหวงไล่
“ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ หากมีเรื่องอะไรเจ้าไปหาข้าที่จวนได้ทุกเมื่อ เข้าใจไหมหลิว…”
“ไป๋เฟิ่งหวง” เด็กสาวรีบพูดขัดก่อนที่หมอหลวงจะเรียกชื่อจบ “ข้าคือไป๋เฟิ่งหวง”
“เข้าใจไหมเฟิ่งหวง?” หมอหลวงเรียกชื่ออีกฝ่าย
“ข้าเข้าใจ เจ้าพยายามจะช่วยข้าเสมอ แต่จำไว้ว่าข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปตายกับข้าด้วย” ไป๋เฟิ่งหวงบอก จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
“คนเราอยู่ที่ไหนก็ตาย ตายเพื่อสหายอย่างเจ้าข้ายินดี” หมอหลวงพูดแล้วก็ก้าวออกจากห้องไป
ไป๋เฟิ่งหวงนั่งครุ่นคิด ตอนนี้ปัญหาเรื่องตระกูลไป๋ก็ลุล่วงไปเปลาะหนึ่งแล้ว บำรุงอีกเดือนนึงซินะ รอข้าก่อนเถอะเฉินกงกง! เย่เฟย!
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามา นางรีบปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ
“เฟิ่งหวง แม่ดีใจนักที่เจ้าแข็งแรงขึ้น ขอบคุณสวรรค์ที่ทรงเมตตา” ฮูหยินไป๋ลูบหัวลูกด้วยความรักแล้วก็ดึงร่างเล็กเข้าไปกอด
ไป๋เฟิ่งหวงยอมให้ฮูหยินกอดเพราะนางก็ไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใด ทำวันนี้ให้ดีที่สุดคงเป็นสิ่งที่นางพอจะกระทำได้ในเวลานี้ล่ะมั้ง
“ท่านหมอหลวงจัดยาและเขียนรายการอาหารบำรุงสำหรับเจ้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าต้องอยู่กับแม่ไปนานๆนะเฟิ่งหวง ไม่ต้องเป็นหงส์ที่บินสูงก็ได้ ขอให้เจ้าเป็นหงส์น้อยให้แม่ชื่นใจเช่นนี้ไปนานๆแม่ก็พอใจแล้ว” ฮูหยินไป๋บอกความในใจของตัวเองให้ลูกรับรู้
ไป๋เฟิ่งหวงกอดตอบพลางลูบหลังนางปลอบประโลม หากวันใดนางรู้ว่าลูกของนางสิ้นไปแล้วนางจะทนรับความโศกเศร้านั้นได้หรือ?
6 วันต่อมา ไป๋จงก็ยื่นหนังสือลาออกจากราชการทั้งของตัวเองและแทนบิดาต่อฮ่องเต้