1000. รูปปั้นประหลาดสีดำ
การกลับมาของหวังหลินทำให้สมาชิกเผ่าหลอมวิญญาณคลุ้มคลั่งขึ้นมา แคว้นปิศาจอัคคีถูกหวังหลินเปลี่ยนชื่อไปเป็นสำนักหลอมวิญญาณ!
สำนักหลอมวิญญาณมีศิษย์หลายล้านคน หากต้องนับดวงวิญญาณทั้งหมดที่เหล่าศิษย์เก็บรวบรวมมาคงมีจำนวนมากมายมหาศาล
ต้องกล่าวได้ว่าสำนักหลอมวิญญาณไม่ด้อยไปกว่าแคว้นเซียนระดับเจ็ดเลย!
หวังหลินมองไปยังท้องฟ้าและเอ่ยพึมพำ “อาจารย์ตุ้นเทียน ศิษย์เติมเต็มคำสัญญาของท่านเมื่อตอนนั้นได้แล้ว…”
แม้การฝึกฝนของศิษย์สำนักหลอมวิญญาณหลายล้านคนไม่ได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเขากลับมาตอนนี้จึงนำการฝึกแบบที่สมบูรณ์ออกมาโดยไม่ลังเล แน่นอนว่าจุดอ่อนที่เขาทิ้งไว้ก็ซึ่งสามารถริบดวงวิญญาณได้ตลอดเวลาไม่ได้มีเปลี่ยนไปไหน
เมื่อวิธีการฝึกฝนของสำนักหลอมวิญญาณถูกส่งต่อไปถึงเหล่าศิษย์ ทั้งหมดเข้าสู่การฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้หวังหลินยังทิ้งเคล็ดหลอมเทพเก้าโคจรฉบับคัดลอกจากศิษย์พี่สี่แห่งกองกำลังสีม่วงเอาไว้ด้วย ซึ่งมันกลายเป็นวิชาต้องห้ามสำหรับสำนักหลอมวิญญาณ!
หากเคล็ดหลอมเทพเก้าโจรถูกฝึกฝนอย่างสุดโต่งมันจะทรงพลังมหาศาล แม้จะไร้ประโยชน์สำหรับหวังหลินแต่มันเป็นเหมือนวิชาเทพสำหรับเหล่าศิษย์สำนักหลอมวิญญาณได้ทีเดียว!
อีกทั้งหวังหลินเกิดการตัดสินใจครั้งใหญ่ เขาวางกฏเกณฑ์จำนวนมากลงไป จากนั้นเข้าสู่อารามสมบัติ[1] ซึ่งปกคลุมไปด้วยเหล่าดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน!
อารามสมบัตินี้ถูกหวังหลินผนึกไว้ในร่างกาย เขาสามารถเข้าไปได้ง่ายๆเพียงแค่คิด จึงไม่จำเป็นต้องนำมันออกมา ตั้งแต่ที่ได้มาเขาก็ใช้มันอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น
ตอนนั้นก่อนจะมาที่นี่เขาได้วางกฏเกณฑ์จำนวนมากบนดาววิญญาณวารีและเปิดมันออกมา!
ยกของทั้งหมดให้ซือถูหนาน!
พอวันนี้ หวังหลินยังจำคงสีหน้าตกตะลึงของซือถูหนานได้ตอนที่เขารู้ว่าอารามสมบัติคืออะไร มันคือตัวแทนในดินแดนสวรรค์
สีหน้าท่าทางแบบนี้หาได้ยากจากซือถูหนาน!
ซือถูหนานดวงตาเปล่งประกาย แม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังเปล่งดุจดวงอาทิตย์ ในใจเกิดความตื่นเต้น!
วิชาเทพแบ่งออกเป็นระดับต่ำ กลางและสูง มีวิชาเทพชั้นยอดอยู่ด้วยแต่ถึงแม้จะเป็นวิชาเทพระดับต่ำแบบครบถ้วนก็ยังทำให้เกิดภัยพิบัติได้ ส่วนใหญ่วิชาเทพที่แพร่หลายคือวิชาเทพที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งวิชาที่สืบทอดมาจากวิชาเทพไม่สมบูรณ์ก็จะอ่อนแอกว่าของจริงไปอีก
มีเพียงเซียนที่แข็งแกร่งทรงพลังเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพอจะได้รับวิชาเทพสมบูรณ์แบบ อย่างไรเสียวิชาเทพที่สมบูรณ์ก็ยังหายากเกินไป
คงไม่ต้องพูดถึงวิชาเทพระดับกลางหรือระดับสูงที่สมบูรณ์ พวกนั้นเพียงพอทำให้เซียนคนใดก็ตามบ้าคลั่งได้แล้ว! แม้กระทั่งเซียนขั้นทลายสวสรรค์ก็ยังตกตะลึง! หากพบว่าอารามขั้นสูงสุดมีวิชาเทพที่จักรพรรดิเทพป๋ายฟ่านทิ้งไว้ คงบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม!
นอกจากนี้อารามสมบัติได้เก็บรักษาวิชาเทพส่วนใหญ่ของอารามเทพอัสนีเอาไว้อีก!
ยิ่งไปกว่านั้นในชั้นสุดท้าย นอกจากวิชาของจักรพรรดิเทพป๋ายฟ่านแล้วยังมีวิชาของเหล่าขุนนางเทพด้วย ซึ่งถือเป็นมหาสมบัติของเซียนขั้นทลายสวรรค์!
หากเซียนขั้นทลายสวรรค์เป็นเช่นนี้คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเซียนขั้นส่องสวรรค์และชำระสวรรค์เลย!
เรื่องพวกนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหวังหลินถึงได้ระมัดระวังอารามสมบัตินัก! ซือถูหนานได้ผลประโยชน์ใหญ่หลวงข้างในอารามสมบัติ แววตาปิติยินดีของซือถูหนานได้ทำให้หวังหลินรู้ว่าแม้ระดับบ่มเพาะของซือถูจะไม่พิ่มขึ้น แต่วิชาเทพที่เขาได้รับนั้นพร้อมกับพรสวรรค์จะทำให้ซือถูหนานกลายเป็นศัตรูอันน่ากลัวยิ่ง
ระหว่างนั้นหวังหลินเลือกวิชาเทพระดับกลางที่เรียกกันว่ารวมวิญญาณ หลังจากทำความเข้าใจเขาก็ใช้มันแลกกับให้สามพี่น้องเฉินช่วยเหลือ ดวงตาแต่ละคนแดงฉานและยอมช่วยโดยไม่ลังเล!
หวังหลินยังค้นในอารามสมบัติและนำวิชาเทพระดับต่ำออกมาสี่วิชา การบ่มเพาะของศิษย์สำนักหลอมวิญญาณในปัจจุบันตกอยู่ในสภาวะผิดปกติ พวกเขาควบคุมวิญญาณจำนวนมากและการฝึกฝนก็พึ่งอยู่กับธงวิญญาณ
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมหวังหลินถึงได้เลือกวิชาทั้งหมดที่เกี่ยวกับวิญญาณออกมา อย่างไรก็ตามวิชาเทพก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะฝึกฝนได้ หวังหลินเรียนรู้พื้นฐานของวิชาเหล่านั้นก่อนจะแบ่งออกเป็นวิชาต้องห้ามหลายวิชาเพื่อส่งต่อไป
ส่วนโอวหยางฮัว หวังหลินก็ไม่ขี้เหนียว เขานำวิชาเทพระดับต่ำชิ้นสมบูรณ์ซึ่งเรียกกันว่า หลอมวิญญาณเทวะ มอบให้แก่โอวหยางฮัวเป็นรางวัลที่เขาทำงานหนักมาตลอดหลายร้อยปี
ไม่ใช่ว่าหวังหลินไม่อยากให้วิชาเทพระดับกลาง แต่การบ่มเพาะของโอวหยางฮัวผิดปกติเกินไป หากเขาใช้ธงวิญญาณทั้งหมดเก้าสิบเก้าผืน เขาสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นเทวะได้ แต่เมื่อไร้ธง ระดับบ่มเพาะก็จะเหมือนดิ่งลงเหว
วิชาหลอมวิญญาณเทวะนั้นยากยิ่งที่จะให้โอวหยางฮัวฝึกฝนอยู่แล้ว นอกจากนี้มันก็ยังเป็นวิชาเทพฉบับสมบูรณ์
ส่วนฉือซานหวังหลินก็ไม่เว้น เขาเข้าไปในถ้ำเทพเพื่อหาเล่ยจีและกลับมาพร้อมกับโลหิตฉือซาน
ฉือซานชุ่มอยู่ในเลือดเผ่ามารยักษ์สายเลือดราชวงศ์ของเล่ยจี ทำให้ร่างกายผ่านการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในช่วงเวลาอันสั้น แม้ความเจ็บปวดที่ได้รับจะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนไหว ฉือซานก็ทนมันได้หมด
ท้ายที่สุดหวังหลินลังเลเล็กน้อยพลางหยดโลหิตสายเลือดเทพโบราณของตนเองลงระหว่างคิ้วของฉือซาน วินาทีนั้นร่างฉือซานสั่นสะท้านรุนแรง แม้จะมีความอดทนแข็งแกร่งก็ไม่สามารถทนรับต่อความเจ็บปวดได้ ราวกับมันกำลังกลืนกินร่างเขา
หลังจากจบเรื่องทั้งหมดนี้ ฉือซานจึงได้เกิดใหม่ผ่านความเจ็บปวด กลิ่นอายดุจเทพปิศาจซึมออกมา พลังร่างกายล้วนๆแข็งแกร่งพอจะสู้กับเซียนขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดได้และเขาก็เต็มไปด้วยศักยภาพเหนือขีดจำกัด!
แค่นี้นับว่าไม่พอ ดังนั้นหวังหลินจึงนำสมบัติออกมาจำนวนมากและหลอมเข้าไป ผสานเข้าใส่ร่างฉือซานเหมือนการหลอมองครักษ์เทพ แต่ไม่ได้ทำให้วิญญาณฉือซานได้รับความเสียหาย
ฉือซานทนรับความเจ็บปวดพร้อมกับยึดมั่นต่อหวังหลินด้วยความภักดี หลังจากสมบัติมากมายถูกผสานเข้าไปเขาก็มีร่างกายเสี้ยวหนึ่งเป็นองครักษ์เทพ สามารถทนรับการโจมตีของเซียนขั้นมายาหยินได้! ทั้งยังมีสติและแตกต่างจากองครักษ์เทพอย่างสิ้นเชิง!
นอกจากนี้หวังหลินก็ไม่อยากหลอมฉือซานให้กลายเป็นองครักษ์เทพ!
หวังหลินมีความรู้สึกต่อฉือซานมากมายนัก โดยพื้นฐานแล้วเขาเฝ้ามองฉือซานเติบโตขึ้น ในใจหวังหลินนั้นเขามีศิษย์อยู่สองคน ศิษย์ที่แก่กว่าคือฉือซานและอีกคนคือเซี่ยฉิงที่อยู่ในดาราจักรทุกชั้นฟ้า!
หวังหลินไม่ขี้เหนียวต่อศิษย์ตนเอง โดยเฉพาะคนที่ภักดีด้วยแล้ว สุดท้ายเขาจึงเลือกวิชาเทพระดับกลางที่มีชื่อว่าวิญญาณเทพ แบ่งมันเป็นสามส่วนและส่งต่อให้แก่ฉือซาน!
ตราบใดที่ฉือซานสามารถฝึกฝนสามส่วนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็สามารถฝึกฝนวิญญาณเทพได้อย่างแท้จริง!
นอกจากฉือซานและโอวหยางฮัว ยังมีผู้นำคนอื่นๆอีกหลายคนที่อนุญาติให้ฝึกฝนวิชาต้องห้ามได้ หวังหลินเตรียมวิชาพวกนี้เอาไว้แก่สำนักหลอมวิญญาณเป็นการเฉพาะ
หวังหลินไม่ได้ยุ่งเรื่องในสำนักมากเกินไป ให้พวกเขาพัฒนาด้วยตัวเอง หลังจากสั่งสอนวิชาให้แล้วหวังหลินก็นำสมบัติส่วนใหญ่ที่ได้รวบรวมมาและใช้พวกมันเป็นอารามสมบัติของสำนัก
เขาให้โอวหยางฮัวและพรรคพวกมอบสมบัติเหล่านั้นแก่ศิษย์ที่มีส่วนร่วมและช่วยเหลือสำนัก
หมดเรื่องพวกนี้หวังหลินก็เติมเต็มความต้องการตนเองได้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นมาถึงเบื้องหน้ารูปปั้นหินโดยไม่ยอมให้คนอื่นติดตามมา
รูปปั้นหินสีดำนี้ย้ายมาที่หุบเขาด้านหลังอารามเรียบร้อยแล้ว หวังหลินไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่เนื่องจากมาเพียงครั้งเดียวเพื่อปลดปล่อยปิศาจโบราณเป้ยหลัวกลืนกินวิญญาณปิศาจโบราณอีกตน
หุบเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยและยังเหมือนเดิมเท่าหลายร้อยปีก่อน การยืนอยู่ที่นี่ทำให้หวังหลินนึกถึงอดีตจากหลายร้อยปีก่อน
อย่างไรก็ตามรูปปั้นนั้นเดิมทีกักเก็บวิญญาณปิศาจโบราณ ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นสีดำซึ่งสลักเป็นรูปหวังหลินเอาไว้
ยิ่งมอบรูปปั้นหวังหลินก็เกิดภาพมายาว่ารูปปั้นกำลังมองเขา ราวกับมันมีชีวิต
‘ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขาถามฉือซานและรู้ว่ามันเป็นเพียงรูปปั้นหินที่สลักเป็นรูปหวังหลินจากความทรงจำของแต่ละคนเอาไว้
แรกเริ่มเดิมทีมีเพียงคนที่รู้จักหวังหลินเท่านั้นจึงพอจะบอกได้ว่ามันเป็นเขา ไม่มีใครคนอื่นจะจดจำเขาได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ใช่ช่างแกะสลัก
รูปปั้นหินไม่ละเอียดนัก ฉือซานและโอวหยางฮัวไม่อาจทำอะไรมากได้ พวกเขาอยากทำให้ภาพบรรพชนเป็นที่จดจำไว้ในใจให้รูปปั้นกลายเป็นตัวตนเหมือนรูปปั้นปิศาจโบราณในเหล่าแคว้นปิศาจ
อย่างไรก็ตามเรื่องประหลาดก็คือขณะที่เวลาผ่านไปและเผ่าหลอมวิญญาณเติบโตขึ้น รูปปั้นเรียบเนียนขึ้นจากการที่มีคนจำนวนมากให้ความเคารพบูชามันทุกวัน สิ่งที่ให้ฉือซานและพรรคพวกประหลาดใจก็คือไม่เพียงแต่มันจะไม่มีผิวขรุขระอีกแล้ว มันยิ่งเรียบเนียนและเริ่มการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
ผ่านไปหลายร้อยปีรูปปั้นก็เริ่มเปลี่ยนจนดูเหมือนเป็นหวังหลินจริงๆ แม้กระทั่งกลิ่นอายโบราณจากการมีชีวิตมามากกว่าพันปีก็ยังรู้สึกได้
ฉือซานและคนอื่นๆงุนงงสงสัยกับเรื่องนี้ พวกเขาเพียงแต่บอกว่ามันคือวิญญาณของบรรพชน!
รูปปั้นหินนี้ทำให้หวังหลินอยากรู้อยากเห็น มีไม่กี่อย่างที่ทำให้หวังหลินเป็นแบบนี้
อีกทั้งรูปปั้นหินก็ประหลาดเกินไป
หวังหลินเดินเข้าหารูปปั้นพลางขมวดคิ้ว มองมันและสีหน้าพลันเปลี่ยนไป ความรู้สึกว่ารูปปั้นกลับมองกลับมาที่เขายิ่งชัดเจนอยู่ทุกขณะ
รอบด้านไม่ได้เงียบสงัด เสียงอึกทึกครึกโครมดังออกมาจากสำนักหลอมวิญญาณไกลๆ แต่สำหรับหวังหลินทั้งโลกนี้เงียบมากราวกับมีเพียงเขาและรูปปั้นเท่านั้น!
ในแววตาหวังหลินเกิดแสงกระพริบเย็นเยียบ จากนั้นฝ่ามือทำเป็นรูปกระบี่ ประทับลงระหว่างคิ้วของรูปปั้นอย่างช้าๆ
1.อารามสมบัติคือตำหนักของสะสมที่สามารถเข้าไปเอาวิชาเทพมาได้ หวังหลินได้มันมาจากอารามเทพอัสนีตอนที่กำลังกลับ