1198. เม็ดยา
วิญญาณหวังหลินสั่นเทาขณะจ้องมองลูกปัดในมือ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าอยู่กับเขามาเกือบค่อนชีวิตดังนั้นจึงไม่มีผิดพลาด ตามขนาด น้ำหนักและกลิ่นอายแล้วมันเหมือนกับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าไม่มีผิดเพี้ยน!
สิ่งแตกต่างเดียวก็คือลูกปัดตรงหน้าไม่ได้มีลวดลายห้าธาตุ มีเพียงลวดลายพร่ามัวจางๆ
‘ข้าเก็บรวบรวมลูกปัดประหลาดพวกนั้นไว้มาก…ลูกปัดหินพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันถูกใครบางคนหลอมขึ้นมา ทั้งขนาด น้ำหนักหรือผิวหน้าล้วนไม่ต่างกัน…ราวกับมีใครสักคนมาที่นี่ใช้วิชาพิเศษสร้างลูกปัดนี้เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว…’ ข้อมูลในหินหยกดังกึกก้องในสมองหวังหลิน ลมหายใจค่อยๆสงบลง
‘ลูกปัดพวกนี้สร้างขึ้นเพื่อพยายามเลียนแบบลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า! ใครสักคนที่อยู่ที่นี่พยายามสร้างลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเมื่อกาลก่อน…’ หลังจากนั้นสักพักหวังหลินก็ลืมตา
‘เขาต้องเคยเห็นลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าหรือไม่ก็เคยครอบครองมันจนสามารถสร้างบางอย่างที่คล้ายกันได้!’ หวังหลินแตะกลางหน้าผาก ดวงตาส่องสว่าง
‘ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากเพื่อต้องการหลอมลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า…หรือเขาจะเป็นราชันย์ด้วย?’ หวังหลินใบหน้ามืดมน เกิดความรู้สึกว่าตนเองและราชันย์จากดินแดนภายนอกจะพบเจอกันในอนาคตอันใกล้!
‘บางที…คนของดินแดนภายนอกได้รู้ตัวตนของข้าแล้ว อีกทั้งเซียนเฒ่าจากดินแดนภายนอกก็ไม่ได้ตาย…’ ความเย็นพวยพุ่งขึ้นในใจหวังหลิน
หลังขบคิดอยู่นาน หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและเก็บรวบรวมลูกปัดทั้งหมดสิบเม็ด ตรวจสอบมันและรู้สึกถึงความผันผวนของวิชาภายในแต่ละเม็ด ดูเหมือนทั้งหมดจะมีวิชาบรรจุอยู่ภายใน
‘ลูกปัดทั้งหมดนี้ต่างเป็นของล้มเหลว ไม่เช่นนั้นคงไม่ทิ้งไว้ที่นี่ระเกะระกะ ซึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง ลูกปัดที่ล้มเหลวนี้กลับสามารถผนึกวิชาไว้ได้…’ หวังหลินขบคิดพลางยกแขนซ้ายขึ้นมาประทับตราของตนเองบนลูกปัดและเก็บพวกมันไว้ในมิติเก็บของ
สายตากวาดผ่านห้องแรก หลังจากไม่พบสิ่งอื่นเขาก็เดินออกมา
หวังหลินเข้าไปและออกมาจากถ้ำทำให้เกิดสัมผัสแรงกดดันภูเขาตกลงมา สีหน้ามืดมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาคิดถึงการต่อสู้ครั้งก่อนกับปรมาจารย์คังจงซื่อ วิชาที่อีกฝ่ายใช้คือการอัญเชิญจิตวิญญาณที่เจ็ดของดินแดนที่คล้ายกับวิชาของเหล่าคนนอกดินแดนใช้งาน
‘ปรมาจารย์คังจงซื่อเป็นใครกันแน่?’ หวังหลินเดินออกมาจากถ้ำและมองไปยังท้องฟ้าเจ็ดสีด้านนอก เขาจำได้ว่าตอนที่อยู่ในอวกาศที่ที่เขาเผชิญหน้ากับคนของดินแดนชั้นนอกเป็นครั้งแรก มีแสงเจ็ดสีออกมาจากดินแดนชั้นนอกพวกนั้นด้วย
ยิ่งเขาปะติดปะต่อเรื่องราวด้วยความเข้าใจ ก็ยิ่งรู้สึกงุนงงสับสน
หวังหลินถอนสายตาออกมาเงียบๆและมาถึงถ้ำที่สอง สะบัดแขนเสื้อทำให้ก้อนหินเคลื่อนเปิด
มีเตาปรุงยาขนาดยักษ์แห่งหนึ่งครอบครองพื้นที่ห้องกว่าครึ่งและถูกล้อมรอบด้วยสมุนไพรจำนวนมาก อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แห้งเหี่ยวไปหมดแล้ว มีทั้งกระเป๋าเก็บของเรี่ยราดบนพื้น
มันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและหากกวาดมือใส่เตาหลอมยา คงทิ้งเป็นรอยฝุ่นเอาไว้
หวังหลินเปิดกระเป๋าทีละใบ กระเป๋าพวกนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรและมีจำนวนเกินจินตนาการ
หลังจากออกมาจากถ้ำ หวังหลินเดินเข้าหาถ้ำที่สาม
บนประตูที่ขวางถ้ำแห่งที่สามมีเขตอาคมทิ้งเอาไว้แต่มันไม่ใช่เขตอาคมแห่งเวลา หลังจากตรวจสอบอยู่สักพักหวังหลินใช้ฝ่ามือสร้างผนึกส่งเขตอาคมลงไปบนก้อนหิน ส่งเสียงดังกึกก้อง ก้อนหินค่อยๆเคลื่อนออกไปด้านข้าง
ในถ้ำที่สามมีค่ายกลวงกลมอยู่ ขอบค่ายกลมีผลึกดั้งเดิมถูกวางเอาไว้เพื่อให้ค่ายกลกระตุ้น ทั้งยังมีขวดสามขวดลอยอยู่ในค่ายกลซึ่งดูเหมือนกำลังถูกผลึกดั้งเดิมเหล่านั้นหล่อเหลี้ยง
แม้ค่ายกลยังคงเปิดใช้งาน ผลึกดั้งเดิมส่วนใหญ่แห้งเหี่ยวมานานมากแล้ว แค่ทำให้ค่ายกลเปิดใช้งานได้ถือว่ามากแล้ว
หลังจากมองไปยังขวดทั้งสาม หวังหลินก้าวไปข้างหน้ามองค่ายกล เขาไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม ค่ายกลนี้แฝงเขตอาคมแห่งเวลา แม้จะเบาบางแต่การเพิ่มพลังอำนาจค่ายกลนี้นับว่าเพียงพอ
สิ่งสำคัญยิ่งก็คือหวังหลินมองทะลุค่ายกลไป ผลลัพธ์ของค่ายกลนี้คือการเก็บรักษาเม็ดยาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเวลาและปกป้องเม็ดยาไปด้วย หากถูกเปิดออกด้วยกำลัง เม็ดยาข้างในคงถูกทำลายทันที
หวังหลินขมวดคิ้วพลางนั่งลง เขาไม่ได้ตรวจสอบถ้ำที่เหลือ ดวงตาสรุปด้วยความเปล่งประกาย แสงจากดวงตาเจิดจ้ายิ่ง ยกแขนยื่นเข้าหา เศษผลึกดั้งเดิมลอยออกมาจากมิติเก็บของ
หวังหลินถือผลึกดั้งเดิม บีบมันและทำให้แตกสลาย ยามที่พลังดั้งเดิมพรั่งพรูออกมา หวังหลินใช้ฝ่ามือสร้างผนึกควบคุมพลังดั้งเดิมเอาไว้ได้ จากนั้นชี้ที่ปลายขอบค่ายกล พลังดั้งเดิมพรั่งพรูเข้าไปในพื้นดิน
ขณะที่หวังหลินสะบัดแขนในอากาศ พลังดั้งเดิมก่อตัวเป็นค่ายกลทรงเพชรบนพื้น จากนั้นเขาก็โบกแขนขวาทำให้เส้นบางๆยื่นยาวออกมาจากค่ายกลเพชรและเชื่อมต่อกับค่ายกลในถ้ำ
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อย หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ฝ่ามือรีบยื่นเข้าหาค่ายกลและพยายามคว้าหินหยกทั้งสาม
พริบตานั้นค่ายกลพลันเรืองแสงทรงพลังและส่องสว่างขึ้นไปทั่วห้อง กลิ่นอายทำลายล้างเผยออกมาและกำลังพุ่งเข้าหาขวด แต่ในวินาทีนั้นกลิ่นอายทำลายล้างก็หยุดชะงัก แสงทรงพลังคล้ายเป็นเครื่องชี้ทางให้แก่ค่ายกลทรงเพชร
พอมันหยุดแบบนี้ หวังหลินคว้าหินหยกทั้งสามเอาไว้ จากนั้นก็ถอนแขนออกมา
เขาล่าถอยและออกไปจากถ้ำทันที หวังหลินปรากฏตัวบนทุ่งหญ้า นั่งลงมองขวดหยกทั้งสาม หัวใจเต้นระรัว
ตอนนั้นเขาต้องเสี่ยง หากอย่างน้อยเขาทำผิดพลาดไป ขวดหยกทั้งสามคนแตกสลาย เม็ดยาข้างในก็ถูกทำลายไปด้วย
“เม็ดยาเหล่าซือหม่าโม่และสำนักเขาทิ้งเอาไว้ การเก็บมันไว้หมายความว่ามันมีคุณค่ามาก!” หวังหลินเลียริมฝีปากและเปิดขวดแรก
กลิ่นหอมของเม็ดยาผุดออกมาจากในขวดและมีเม็ดยาสีแดงสามเม็ดข้างใน ความผันผวนของวิญญาณอสูรร้ายผุดออกมาและเต็มไปทั่วพื้นที่ แม้แต่วิญญาณของหวังหลินเองก็ได้รับผลกระทบ
เขาดึงออกมาหนึ่งเม็ด ถือเอาไว้กลางนิ้ว ตรวจสอบอย่างละเอียด
‘เม็ดยาระดับสิบเอ็ด?’ หวังหลินระบุได้อย่างเลือนลาง ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะหยิบขวดที่สองขึ้นมา วินาทีที่เปิดออกมีหมอกควันจำนวนมากโผล่ออกมา หมอกควันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือสีขาวและดำ ท้ายที่สุดก็แบ่งแยกกันลอยขึ้นไปในอากาศ
สองเมฆหมอกแต่ละทางมีเม็ดยาข้างในหนึ่งเม็ด
‘เม็ดยาวิญญาณหมอกที่หลอมจากอสูรหมอกระดับสิบสอง!’ หวังหลินเผยดวงตาปีติยินดี เขาจดจำเม็ดยาระดับสิบเอ็ดได้เลือนลางแต่เม็ดยานี้หาได้ยาก ยิ่งหลอมจากอสูรหมอกระดับสิบสอง พวกมันหายากมากในทะเลเมฆาและมีลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจนจนจำได้ง่ายๆ
เหตุผลที่เม็ดยาหมอกนี้หายากเป็นเพราะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมสละผลประโยชน์ส่วนตนระยะยาวของอสูรหมอกและใช้อสูรหมอกที่จับมาเพื่อหลอมเม็ดยา
หวังหลินเลียริมฝีปาก สายตาตกลงบนขวดสุดท้าย ยามที่สัมผัสวิญญาณกวาดผ่านขวดไป เขาไม่สามารถมองเห็นเบาะแสอะไรได้เลย หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงค่อยๆดึงจุกขวดออกมาช้าๆ วินาทีที่เปิดขึ้นมา ความผันผวนเหนือจินตนาการพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามดุร้ายไม่อาจได้ยินได้แต่กลับสัมผัสได้ด้วยวิญญาณดั้งเดิมอย่างชัดเจน!
เสียงคำรามนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรระดับสิบสอง พื้นดินสั่นไหวต่อเนื่อง ร่างหวังหลินสั่นสะท้านและปิดผนึกขวดกลับไปโดยไม่ลังเล ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา หลังจากผนึกขวดได้หวังหลินจึงหน้าซีด เขาบ่มเพาะมาได้ชั่วขณะ จากนั้นมองหินหยกในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
‘เม็ดยาระดับสิบสาม!!’ หวังหลินสูดหายใจลึก เก็บขวดทั้งสองกลับไปอย่างระมัดระวัง เหลือทิ้งไว้แต่ขวดชิ้นแรก หวังหลินหยิบมันขึ้นมาและเดินเข้าหาถ้ำที่มีเตาหลอม
มีเพียงคนที่กำลังบรรลุขั้นส่องสวรรค์ระดับกลางได้ถึงจะสามารถกลืนกินเม็ดยาระดับสิบเอ็ดได้ ไม่เช่นนั้นวิญญาณดั้งเดิมจะไม่สามารถต้านทานวิญญาณอสูรดุร้ายได้ ซึ่งเป็นผลให้มีโอกาสที่วิญญาณดั้งเดิมถูกวิญญาณอสูรกลืนกิน มันคือสิ่งที่เซียนทุกคนในทะเลเมฆารู้ แม้เม็ดยาจะสามารถช่วยในการบ่มเพาะได้ ก็ต้องระมัดระวังยิ่ง
ระดับบ่มเพาะจริงๆของหวังหลิน หากไม่สนเรื่องร่างเทพโบราณ เขาอยู่ในขั้นชำระสวรรค์ระดับต้นเท่านั้น เขาไม่สามารถกลืนกินเม็ดยาระดับสิบเอ็ดได้ตรงๆ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหลอมมันอีกครั้ง
ณ ถ้ำที่มีเตาหลอมยา หวังหลินขบคิด ดวงตาซ้ายกะพริบเปลวเพลิง เปลวเพลิงปรากฏขึ้นและพุ่งเข้าไปในเตาหลอมยา เตาหลอมสั่นสะเทือนและอักขระค่อยๆเปิดใช้งาน
หวังหลินนำเม็ดยาระดับสิบเอ็ดออกมาวางไว้ในเตาหลอมยา แขนขวาตีเข้ากับอากาศทำให้เปลวเพลิงในเตาหลอมพรั่งพรูและเริ่มการหลอมยา
การหลอมเป็นวิธีการปรุงยาที่เซียนทั้งหมดในทะเลเมฆาต้องเรียนรู้ศึกษา มันมีวิธีการหลอมเม็ดยาระดับสูงกว่าเพื่อแบ่งพลังของมันออกมาด้วย วิธีนี้เกี่ยวพันกับเตาหลอมอย่างมหาศาล ยิ่งเตาหลอมดียิ่งทำให้ผลเสียลดน้อยลง
ขณะที่หวังหลินกำลังหลอมเม็ดยา ภายในส่วนลึกของดินแดนเจ็ดสี ไกลเกินกว่าที่ปรมาจารย์คังจงซื่ออยู่ มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยสายหมอกซึ่งไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
มีแท่นแห่งหนึ่งอยู่ที่นี่ ล้อมรอบอยู่ในสายหมอก ตอนนี้ลำแสงส่องสว่างกะพริบจากแท่น แทงทะลุผ่านสายหมอกรอบด้านและผลักพวกมันให้ออกไปเผยให้เห็นพื้นที่ว่างเปล่า
รอยแยกขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏขึ้นเหนือแท่นอย่างเงียบๆ ประกายสายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นพร้อมกับปลายขอบของรอยแยก มันฉีกกระชากกว้างขึ้น จากนั้นมีสามคนเดินออกมา!
เสื้อผ้าทั้งสามคนนี้แตกต่างจากคนของทะเลเมฆาสวมใส่ สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งก็คือทั้งสามคนต่างก็มีอักขระตรงกลางหน้าผาก ชายตรงหน้ามีประกายสายฟ้าหนึ่งสายตรงกลางหน้าผาก ส่วนอีกสองคนเป็นหนุ่มอักขระเสี้ยวพระจันทร์ ส่วนคนสุดท้ายเป็นอักขระเปลวเพลิง
‘นี่คือรอยแยกอวกาศที่เจ้าพบ!’ หนุ่มที่มีอักขระเสี้ยวพระจันทร์พลันมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น