1391. ผ่านการหลอกลวง
เผ่าเมฆาคลาดยังไม่ออกไปจากดาวเคราะห์ พวกเขาไม่กล้าออกไปไหนจนกว่าหวังหลินจะอนุญาต
หลังจากหวังหลินกลับมาแล้วจึงสร้างถ้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาและเข้าปิดด่านบ่มเพาะ เขาสร้างเขตอาคมขึ้นมาเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาได้ภายในระยะห้าสิบลี้
เผ่าแมงป่องทมิฬมีสถานะสูงสุด ดังนั้นจึงครอบครองพื้นที่ใกล้ถ้ำมากที่สุด เผ่าเมฆาคลาดไร้หนทางช่วยจึงได้แต่ปักหลักอยู่ใกล้ๆ ชั่วคราว
จงต้าหงโอหังอย่างมาก เขาเดินทางไปมาระหว่างสองเผ่าตามที่ตนเองต้องการ ความสุขของการเป็นจุดสนใจของทุกคนเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจหาได้ในเผ่าสายฟ้ากระจาย
หวังหลินกำลังขบคิดอย่างเงียบๆ อยู่ภายในถ้ำ ก่อนหน้านี้ตอนที่ผู้ส่งสาส์นจากไป ผู้ส่งสาส์นบอกเขาว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในอีกสามเดือน ในวันนั้นผู้อาวุโสตกสวรรค์คงจะโดนปรับเปลี่ยนใหม่
บางส่วนอาจจะมีตำแหน่งเดิมและบางส่วนอาจจะมีคนอื่นมาแทนที่
ทว่าหวังหลินไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจคือเขาจะทำให้เป้าหมายเรื่องเผ่านกกระจอกเพลิงสำเร็จได้อย่างไรผ่านการคัดเลือกผู้อาวุโสตกสวรรค์
‘เหยื่อล่อก็วางเอาไว้แล้ว…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง จากนั้นหลับตาพลางส่งสัมผัสวิญญาณออกไป ค่อยๆ ผสานเข้ากับโลกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ผ่านไปสักพักหวังหลินค่อยๆ สังเกตความรู้สึกอันคุ้นเคยที่อยู่ห่างออกไปไกลได้ มันกำลังเคลื่อนที่ออกไปไกลขึ้นและไกลขึ้น
ณ อวกาศมืดมิดนอกดินแดนตกสวรรค์ สมาชิกเผ่านกกระจอกเพลิงสามคนกำลังเหาะเหินออกไปไกล หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึม สัมผัสอักขระกลางหน้าผาก ดวงตาเผยแสงประหลาด
“ผู้อาวุโสขอให้ข้าส่งโลหิตที่แยกออกมาจากเม็ดยากลับไป เรื่องนี้สำคัญยิ่งต่อเผ่าพันธุ์ของเรา ดังนั้นเราไม่สามารถทำอันใดให้ผิดพลาดได้ หากการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสถูกต้อง หลังจากหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสเห็นมันจะต้องมีคำสั่งออกมาอีกมากแน่นอน” ดวงตาของเซียนผู้นี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาและเซียนอีกสองคนด้านข้างทะยานให้เร็วขึ้นและหายวับออกไปไกล
หวังหลินลืมตาและถอนสัมผัสวิญญาณออกมา บนใบหน้าเผยความเยาะเย้ย หยดโลหิตนั้นมีอุณหภูมิสูงและมีแก่นแท้แห่งเพลิงแฝงอยู่ด้วย นอกจากนี้โลหิตของเขา ไม่มีสิ่งใดจะแทนที่ได้
ดังนั้นหวังหลินจึงสามารถใช้การเชื่อมต่อกับโลหิตตัวเองเพื่อหาตำแหน่งแบบคร่าวๆ ได้
‘เมื่อเศษแก่นแท้นั่นกลับไปสู่เผ่านกกระจอกเพลิง มันจะเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นแน่ จากนั้นแผนการได้รับแก่นแท้เพลิงของข้าก็จะสำเร็จ!’
‘เมื่อโลหิตถูกส่งออกไปแล้ว ข้าจำเป็นต้องเตรียมการขั้นที่สอง…’ ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง สะบัดแขนขวาปรากฏรอยแยกอวกาศขึ้นมา
เมื่อรอยแยกนี้เปิดขึ้น เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากภายใน เสียงร้องเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและทำให้จิตใจทุกคนสั่นเทา
“ปู่ฉวี่ เปียวน้อยรู้ว่าผิดไปแล้ว ปู่ฉวี่ได้โปรดปล่อยเปียวน้อยไปเถิด ข้าจะไม่กล้าหลอกลวงท่านอีก!” เสียงกรีดร้องอีกเสียงดังลั่นพร้อมกับเสียงหัวเราะของฉวี่ลี่กั๋วผสมเข้าไปด้วย
“ตกอยู่ในมือปู่ฉวี่ถือเป็นโชคชะตาของเจ้าแล้ว ปู่ฉวี่โดดเดี่ยวมาหลายพันปี ข้าจะไม่มีวันฆ่าเจ้า จินเปียวน้อยที่ล้ำค่า เจ้าสบายใจได้ ปู่ฉวี่จะไม่ทำให้เจ็บหนัก…”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม ฟังดูน่าอนาถอย่างยิ่ง…หวังหลินขมวดคิ้วและกระแอมแห้งๆ เสียงไอของเขาดังเข้าไปในมิติเก็บของ เสียงร้องหยุดกึกในทันที ไม่นานหลังจากนั้นมีเสียงตื่นเต้นของฉวี่ลี่กั๋วดังออกมาและรีบเหาะออกมาจากมิติเก็บของ
ฉวี่ลี่กั๋วกุมร่างไว้คนหนึ่ง เสื้อผ้าขาดวิ่นราวกับเพิ่งถูกโจมตีและดูซีดเซียวยิ่ง ปรากฏตัวเบื้องหน้าหวังหลินด้วยแววตาหวาดกลัว
“นายท่าน ต้องการให้ข้าช่วยเรื่องใด? ข้าน้อยจะทำมันให้ดีและจะไม่ทำเหมือนตอนที่อยู่ในเผ่าสายฟ้ากระจาย!” ฉวี่ลี่กั๋วโยนหลิวจินเปียวไปข้างๆ สองมือลูบไปมา
หวังหลินไม่ได้มองดูฉวี่ลี่กั๋วแต่มองดูหลิวจินเปียวที่เริ่มสั่นเทา จิตใจเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเกินกว่าคำอธิบาย หลังจากถูกโยนเข้าไปในมิติเก็บของ เขาก็ถูกฉวี่ลี่กั๋วทรมาน โดนทำร้ายและร้องโหยหวน ทุกครั้งที่คิดเรื่องฉวี่ลี่กั๋วมันเหมือนกับเป็นฝันร้าย
หวังหลินเอ่ย “หลิวจินเปียว…ยอมรับความผิดแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อคำพูดนี้เข้าถึงหูของหลิวจินเปียว ร่างกายของเขาสั่นเทารุนแรง จากนั้นคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้ “ท่านเทพ…ผู้น้อยรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ขอให้ท่านเทพมอบโอกาส ผู้น้อยจะไม่มีวันหลอกลวงอีกแล้ว…”
นิ้วชี้ขวาหวังหลินค่อยๆ บรรจงสัมผัสกับหัวเข่าอีกฝ่าย แววตาปรากฏแสงประหลาด เขามองหลิวจินเปียวและเอ่ยขึ้น “บอกข้ามาว่าเจ้าใช้กลโกงได้อย่างไรโดยไม่มีหินหยก?”
หลิวจินเปียวปาดน้ำตาบนใบหน้าด้วยความสำนึกผิด รีบพูดขึ้น “ท่านเทพ ผู้น้อยจะมีวิชาหลอกลวงอะไรได้? ข้าต้องพึ่งพาหินหยกอยู่แล้วและตอนนี้ท่านเทพก็เอาหินหยกไป ดังนั้นข้าไม่สามารถหลอกลวงใครได้อีกแล้ว ข้าขอให้ท่านเทพมอบอิสระให้ข้า ข้าจะไม่หลอกลวงใครอีกแล้ว…”
หวังหลินกะพริบแววตาเยือกเย็นและพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าไม่สามารถหลอกลวงใครได้อีก เจ้าก็ไร้ค่าแล้ว ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ใบหน้าหลิวจินเปียวมีความสุขแต่ก็ชะงักในทันที เมื่อตระหนักได้ถึงความหมายของหวังหลิน สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นเทา เขาเห็นแววตาเยือกเย็นของหวังหลินและรีบพูดขึ้นมา “ท่านเทพเข้าใจผิด!!! ท่านเทพเข้าใจผิด!!! ที่ผู้น้อยพูดไปผิดพลาด แม้จะไม่มีหินหยกแต่วิชาหลอกลวงของผู้น้อยเป็นอันดับหนึ่งในทะเลเมฆา ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ผู้น้อยไม่เคยพึ่งพาหินหยกมากเกินไป ข้าใช้มันยามจำเป็นต้องใช้เท่านั้น ผู้น้อยฝึกฝนศาสตร์แห่งการหลอกลวงมาตั้งแต่เด็กและมักจะหาโอกาสฝึกฝนเสมอ ข้าเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอกลวง!!”
“โอ้? เช่นนั้นก็บอกข้าสิ การหลอกลวงที่เจ้าเข้าใจคืออะไร?” นิ้วชี้หวังหลินยังคงแตะอยู่บนหัวเข่า แม้เสียงจะสงบนิ่งแต่ท่าทางเช่นนี้ทำให้จิตใจหลิวจินเปียวเต้นระรัว
“การหลอกลวง เนื้อแท้แล้วเป็นเคล็ดในการหลอกผู้คน! ใช้ความหมายต่างๆ ความน่าเชื่อถือ ความเข้าใจผิด หรือกระทั่งอคติเพื่อบรรลุเป้าหมาย อำพรางตัวในยามจำเป็น ฝึกฝนจนถึงจุดที่แม้แต่ท่านจะเชื่อมั่นว่ามันคือตัวท่านเอง เพียงทำเรื่องนี้ได้ท่านก็โกหกคนอื่นได้!” หลิวจินเปียวมองหวังหลินอย่างระมัดระวัง หลังจากเห็นหวังหลินพยักหน้าจึงผ่อนคลายเล็กน้อย
“ศาสตร์การหลอกลวงที่ข้าศึกษาแบ่งออกเป็นสามขั้น ขั้นแรกคือการหลอกคนอื่น ขั้นที่สองคือการหลอกตัวเอง ขั้นที่สามคือการรู้แจ้ง เช่นการเห็นภูเขาเป็นภูเขาและเห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา กลับคืนสู่สามัญ คล้ายคลึงกับขั้นแรก!”
“สามขั้นนี้ฟังดูง่าย แต่ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ติดอยู่ที่ขั้นแรก พวกนั้นทำไม่ได้แม้กระทั่งเชื่อคำพูดตัวเองและทำได้แค่ฉากบังหน้า วิชาแต่ละคนธรรมดายิ่ง!” หลิวจินเปียวผ่อนคลายแต่ก็ยังระมัดระวัง
“มีเพียงการบรรลุความรู้แจ้งในการหลอกลวงเท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุขั้นที่สองได้ เพื่อหลอกตัวเอง! ใช้ประสบการณ์ชีวิตและวิธีใดก็ตามเพื่อหลอกตนเองจนถึงจุดที่ตนเองเชื่อว่าการหลอกลวงเป็นเรื่องจริง!” หลิวจินเปียวสูดหายใจลึก ดูเหมือนจะหลงลืมสถานการณ์ปัจจุบันและเคร่งขรึมขึ้น
“มีคนอื่นที่บรรลุขั้นนี้ เมื่อไรที่เราพบปะกัน เรามักจะสนทนาเต๋าและเทียบความเข้าใจกัน”
“ทว่าคนส่วนใหญ่ที่ข้าเจอไม่กล้าเข้าสู่ขั้นที่สองไกลเกินไป เพราะขั้นที่สองนั้นอันตรายสำหรับเรายิ่ง! เป็นอันตรายที่มาจากเราเอง! เมื่อไรที่เราโกหกตัวเองได้สมบูรณ์ มีโอกาสที่เราจะหลงทางและลืมเลือนตัวตน อาจจะกลายเป็นคนสุภาพ ฉ้อฉลหรือกระทั่งเป็นคนบ้า!”
“มีผู้อาวุโสบางคนที่ฝึกฝนขั้นที่สองลึกล้ำจนลืมเลือนว่าตัวเองเป็นใคร เมื่อไหร่ที่ข้าคิดถึงพวกเขา ข้ามักจะรู้สึกเศร้า!”
“น่าเสียใจ น่าเสียใจจริงๆ !” หลิวจินเปียวลืมเลือนสถานการณ์ปัจจุบันและคำพูดเขามีเสน่ห์บางอย่าง จึงทำให้ฉวี่ลี่กั๋วลดมือลงและเอ่ยเยาะเย้ย “เจ้าไม่ใช่เพิ่งจะใช้กลลวงหรอกหรือ? คำพูดเจ้าเหมือนเป็นการฝึกฝน…”
ฉวี่ลี่กั๋วยังพูดไม่จบ หลิวจินเปียวพลันยืนขึ้นจ้องมองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความภูมิใจและถือตัว แต่แฝงความโดดเดี่ยวเอาไว้ด้วย ความโดดเดี่ยวออกมาจากคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด!
“เด็กโง่เขลาจะเข้าใจจิตใจข้าได้อย่างไร?”
“ตอนที่ข้าอายุสี่ปี ข้าเริ่มการหลอกลวงและเป็นอัจฉริยะตอนอายุเก้าปี ข้ากล้าหลอกลวงเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณในขณะที่ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา! หลังจากอายุสิบหกปีข้าสามารถอ่านจิตใจคนอื่นได้เพียงแค่ชำเลืองมอง! จากนั้นข้าก็เดินสู่เส้นทางแห่งฟ้าดิน ค้นหาขีดจำกัดของศาสตร์การหลอกลวง!”
“โลกกว้างใหญ่ ลือกันว่ามีสุดยอดเต๋านับสามพันรูปแบบ แต่ใครจะบอกข้าได้ว่าเต๋าทั้งสามพันนั้นมีอะไรบ้างและเต๋าแห่งการหลอกลวงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสุดยอดเต๋าทั้งสามพันหรือ?!”
“หากสิ่งที่เซียนทั้งหมดบ่มเพาะกันเรียกว่าเต๋า ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ข้าฝึกฝนถือว่าเป็นเต๋าหรือ?”
“มีกี่ชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้น มีกี่ชีวิตที่สูญสิ้นไป? นับตั้งแต่ถือกำเนิดจักรวาลและมีสิ่งมีชีวิตมา การหลอกลวงก็มีอยู่แล้ว หากมันไร้ค่าคงหายไปนานแล้วและไม่อาจอยู่จนถึงทุกวันนี้! ข้าแสวงหาตำแหน่งของเต๋าแห่งการหลอกลวงท่ามกลางสุดยอดเต๋าทั้งสามพัน หากไม่มีจริงๆ ข้าจะสร้างเต๋าของตัวเองนอกเหนือจากสุดยอดเต๋าพวกนั้น!”
ฉวี่ลี่กั๋วประหลาดใจ แม้แต่หวังหลินก็ตกตะลึง
…………………………………………………