168. พื้นที่ของเทพโบราณ
“หากเฒ่าหลังค่อมตาย คงลากทั้งสำนักมารยักษ์มาด้วย!” เสียงแหบพร่าดังออกมาจากท้องฟ้า เส้นขอบฟ้ามีคางคกยักษ์สีเขียวใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ
คางคกร่อนลงบนพื้นห่างไกลทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน แม้หวังหลินจะอยู่ไกลมากเขายังรู้สึกได้ถึงพื้นสั่นๆ ไม่นานหลังจากนั้นคางคกเตะขาหลังของมันเองและหายไปจากตลองสายตา เมื่อมันปรากฎอีกครั้งก็เข้ามาใกล้แล้ว
เจ้าคางคกตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับภูเขาย่อมๆหล่นลงพื้น มันร่อนลงห่างจากพวกเขาไปสามสิบจ้าง สร้างเป็นคลื่นกระแทกส่งสายหมอกกระจายไปทุกทิศทาง
หลังจากหมอกถูกผลักออกไปเผยให้เห็นคางคกยักษ์ ตุ่มหนองนับไม่ถ้วนบนร่างคางคก แต่ละอันเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและทุกจุดเปล่งความผันผวนปราณอันแข็งแกร่งออกมา
ขณะที่ดวงตาของคางคกเคลื่อนไหวมันเผยความต้องการเลือดออกมา คนผู้หนึ่งนั่งบนหลังคางคก เขาสวมชุดคลุมสีเขียวและตัวเตี้ยมาก ด้านหลังโป่งพองราวกับหลังค่อม ดวงตาเป็นรูปสามเหลียม คางแหลมและปากราวกับวานร
เขาสัมผัสตุ่มหนองบนใบหน้าขณะที่หัวเราะและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าเฒ่าจากสำนักมารยักษ์พวกนั้นที่ไล่ล่าข้ามาสามร้อยปีถูกพิษข้าตายหมดแล้ว หากไม่ใช่ว่าเวลาหนึ่งพันปีกำลังใกล้เข้ามาและสถานที่แห่งนี้กำลังจะเปิด ข้าคงไปล้างแค้นสำนักมารปิศาจเสียแล้ว”
เช่นนั้นเขาก้าวบนหลังคางคก เจ้าคางคกดูเหมือนจะรู้สิ่งที่เขาต้องการขณะที่ยืดลิ้นสีแดงเลือดออกมาและแตะไปบนพื้น หลังค่อมเดินลงมาจากลิ้นไปบนพื้นขณะที่บางครั้งเขาไอไปด้วย
หลังจากถึงพื้นพลันสะบัดแขนขวาอย่างลวกๆและคางคกยักษ์หดตัวอย่างรวดเร็วจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ มันกระโดดไปบนไหล่เขา ท้องของมันทั้งหดทั้งขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงบนพื้นทุกสิ่งในระยะหนึ่งจ้างรอบตัวมีเสียงแฉ่ๆทันทีและควันสีดำลอยขึ้นมาจากพื้น
หวังหลินล่าถอยหลายก้าวอย่างใจเย็นขณะที่เขาลอบตรวจสอบหลังค่อมคนนี้ เนื่องจากใช้พิษจึงทำให้เขาระวังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
จ้าวปิศาจหกปรารถนาขมวดคิ้วและพูดขึ้น “ข้าไม่เจอเจ้ามาพันปี ทำไมพิษเหม็นของเจ้าแย่ลง?”
เฒ่าหลังค่อมกรอกสายตาและพูดออกมา “คนอื่นอาจจะกลัวมนต์หกปรารถนาของเจ้าแต่ข้าไม่ หนึ่งพันปีก่อนเราสู้เสมอกัน หรือว่าเจ้าต้องการจะสู้กันอีกรอบ?” สิ้นคำเขาสัมผัสคางคกบนบ่าและหัวเราะอย่างน่าขนลุก
จ้าวปิศาจหกปรารถณาจ้องเฒ่าหลังค่อม ในไม่ช้าพลังปราณระหว่างทั้งสองก็เริ่มบ้าคลั่งขึ้นแต่ไม่นานนักก็ความผันผวนก็สงบลง
ขณะเดียวกันจักรพรรดิโบราณจ้องมองด้านข้างอย่างเยือกเย็นพูดขึ้นทันที “ดูเหมือนจะครบทุกคนแล้ว ข้าได้ขโมยโล่ห์วายุเยือกแข็งจากแคว้นอันดับสี่มา มันจะช่วยเราสำเร็จบททดสอบแรกมากกว่าครึ่ง”
จ้าวปิศาจหกปรารถนาพูดขึ้นอย่างหนาวเหน็บ “ข้าจะจัดการอีกครึ่งของบททดสอบแรกเอง”
เมิ่งหลังค่อมสัมผัสตุ่มหนองบนใบหน้าตัวเองและพูดน้ำเสียงแหบพร่า “มองดูตาเฒ่าผู้นี้สำหรับบททดสอบที่สองก็พอ”
ตวนมู่จวี่มองตรงไปที่หวังฉิงเย่พลันกล่าวออกมา “คนผู้นั้นคือหวังฉิงเย่ เขาเรียนรู้วิชาหลบหนีเบญจธาตุซึ่งมีประโยชน์กับเรา สหายน้อยคนนี้รู้จักมนต์แห่งความตาย การโจมตีสัมผัสวิญญาณในบททดสอบที่สามขึ้นอยู่กับเขา”
ดวงตาสายหมอกของเมิ่งหลังค่อมกวาดผ่านหวังหลินแต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ฝ่ามือของจ้าวปิศาจหกปรารถนาสร้างผนึกลึกลับหลายท่วงท่าขณะที่เขาเดินตรงไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย หลังจากส่งผนึกออกไปหลายชิ้นทั้งค่ายกลเริ่มแตกสลายจากภายใน ควันสีเขียวระเบิดออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายจนแตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นร่างกายเขาหายวับไปขณะที่เดินผ่านเข้าไปในค่ายกลที่แตกสลาย
แต่ละก้าวเดินได้ทิ้งร่องรอยพลังปราณไว้บนพื้น เขาเริ่มเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้นทำให้มีร่องรอยพลังปราณทิ้งไว้บนพื้นมากขึ้น
จนเมื่อเขาเริ่มทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังราวกับมีคนหลายคนกำลังเดินอยู่รอบค่ายกล
หลังจากช่วงเวลาอันสั้นผ่านไป ภาพติดตาทั้งหมดหายวับเหลือเพียงร่างต้นที่อยู่ใจกลางค่ายกล พลันฝ่ามือเริ่มเคลื่อนไหวนำวัตถุดิบอันล้ำค่าออกมา ในตอนท้ายเขานำอัคคีม่วงออกมา วัตถุดิบทั้งหมดละลายเมื่อสัมผัสเข้ากับไฟ
จ้าวปิศาจหกปรารถนาชี้ขึ้น ของเหลวหลากสีเริ่มเคลื่อนไหวและเข้าไปในค่ายกลตามคำสั่ง เมื่อของเหลวหยดสุดท้ายเข้าไปในค่ายกลมันก็เริ่มส่งเสียงดังก้อง ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ลักษณะแตกต่างกันปรากฎในพื้นที่ที่เขาเคยอยู่ มันมีจำนวนสัญลักษณ์อย่างน้อยมากกว่าสองเท่าจากอันเดิมรวมกับเสาแสงสิบต้นที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
สิ่งมีชีวิตร่างวิญญาณกรีดร้องอย่างเงียบงันทีละตัวขณะที่พวกมันเคลื่อนไหวภายในเสาแสงทั้งหมด จ้าวปิศาจหกปรารถนาสูดหายใจลึกและตะโกน “ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เปิดขึ้นแล้ว รีบโยนหินวิญญาณระดับสูงที่เราตกลงกันไว้ ข้าจะใช้สี่ก้อนในตอนนี้”
สิ้นคำหินวิญญาณระดับสูงสี่ก้อนปรากฎขึ้นจากกระเป๋าของเขา แต่ละก้อนพุ่งไปหนึ่งเสาแสงและประทับในนั้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงดูดความสนใจของหวังฉิงเย่ที่กำลังต่อสู้กับร่างอวาตารตนเอง เขากำลังแพ้การต่อสู้ทว่าร่างอวตารโจมตีไม่มีหยุดยั้ง เนื่องจากมันมีระดับสูงกว่าเขาหมายความว่าเขาอาจจะตายได้หากผิดพลาดเพียงครั้งเดียวทำให้อยู่ในภาวะเสียเปรียบ เขาถูกผลักออกจากดาราล่มสลายหลายครั้งแต่ยิ่งเขาต่อสู้ ดวงตาก็ยิ่งส่องสว่างขึ้นและสายตากระหายก็ยิ่งแข็งแกร่ง
หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงในค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาเริ่มลังเลและกลับออกมาจากดาราล่มสลาย พลันปรากฎตัวถัดจากตวนมู่จวี่ขณะที่จ้องไปที่หินวิญญาณระดับสูงสี่ก้อน นัยน์ตาแห่งความโลภฉายชัดออกมา
หลังจากเขากลับมา ร่างอวตารของเขาค่อยๆจางหายไปและกลับเป็นก้อนหินที่หมุนรอบพื้นที่บริเวณนั้น
หวังหลินจ้องหินวิญญาณระดับสูงสี่ก้อนด้วยความยั่วยวนเช่นกัน ทะเลปิศาจมีขนาดใหญ่มาก หากไม่ใช่ว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณได้ให้ผู้คนเคลื่อนย้ายผ่านไปมันคงใช้เวลานานมากกว่าจะเดินทางมาถึง ทั้งยังเต็มไปด้วยอันตรายระหว่างทาง
ทว่ามีเพียงทางเดียวที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้นั่นคือต้องมีหินวิญญาณระดับสูง ตั้งแต่ที่หินวิญญาณระดับสูงเป็นของหายาก ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณทั้งหมดในทะเลปิศาจก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมและหลายแห่งใช้การไม่ได้
ขณะนี้เองจักรพรรดิโบราณนำหินวิญญาณระดับสูงสองก้อนออกมาพร้อมกับมองมันด้วยความสำคัญมาก จากนั้นเขาโยนทั้งสองชิ้นเข้าหาเสาแสงที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว
ตวนมู่จวี่กัดฟันตัวเองขณะที่นำหินวิญญาณระดับสูงสองก้อนสุดท้ายออกมาจากกระเป๋า จิตใจเจ็บปวดขณะที่โยนมันเข้าหาเสาแสง ทั้งหมดมีสิบเสา แปดในนั้นมีหินวิญญาณระดับสูงประทับอยู่
คนสุดท้ายคือเมิ่งหลังค่อมพลันลูบคางคกบนบ่า ท้องเจ้าคางคกขยายออกมาขณะที่ของสองชิ้นเข้าไปในเสาแสง
ตอนนี้เสาทั้งสิบต้นมีหินวิญญาณระดับสูงครบ ทันใดนั้นเสาแสงหายไปทันที แสงทั้งหมดรวมกันบนหินวิญญาณระดับสูง หินวิญญาณทั้งสิบเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์นับสิบดวง พวกมันลดต่ำลงบนค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างเชื่องช้าพร้อมกับค่อยๆหมุนปั่น
จ้าวปิศาจหกปรารถนามองด้วยความตื่นเต้นขณะตะโกนขึ้น “พันปีก่อนพวกเรามีมากกว่าร้อยคนที่เข้าไปข้างในแต่เรากลับไม่ได้เข้าไปพื้นที่ด้านในจริงๆ ด้วยข้อห้ามด้านนอกทำให้เราต้องต่อสู้และพวกเราถูกบังคับให้ล่าถอยในบททดสอบที่สามซึ่งมีเพียงเราสี่คนที่รอดชีวิตออกมาได้ด้วยความโชคดี พันปีถัดมาระดับฝึกฝนของพวกเราเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เราต้องทะลวงผ่านข้อห้ามและดูให้ชัดว่ามีอะไรอยู่ข้างใน!”
กระทั่งสายตาจักรพรรดิโบราณยังส่องประกายขณะที่เขาก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย
ด้านหลังเขาเป็นเมิ่งหลังค่อม ตวนมู่จวี่และบุรุษหนุ่มที่มาจากจ้าวปิศาจหกปรารถนา ขณะที่หวังฉิงเย่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในค่ายกล หวังหลินก้มศีรษะลงต่ำ สายตาเปล่งประกายขณะที่เดินเข้าไปภายใน
หลังจากทั้งหมดเจ็ดคนเข้าไปในค่ายกล จ้าวปิศาจหกปรารถนาร้องคำรามและค่ายกลเริ่มเคลื่อนไหว หินวิญญาณทั้งสิบก้อนแตกกระจายสร้างเป็นพลังปราณอันรุนแรงทะลักออกมา ภูเขารอบด้านทั้งหมดสั่นสะเทือนเป็นฝุ่นกระทั่งดาราล่มสลายยังสั่นไหว
เวลาผ่านไปนานมากก่อนที่พลังปราณจะกระจายไป ค่ายกลเคลื่อนย้ายแตกหักเสียหายและไม่อาจใช้ได้อีกครั้ง
ที่ราบหนึ่งภายในดาราล่มสลาย ฟากฟ้าเหนือที่ราบปรากฎวงแหวนแสงรูปไข่ ภายในวงแหวนมีสีดำมืดมิด
ด้านล่างวงแหวนเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกันค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มส่องประกายและร่างทั้งเจ็ดคนปรากฎตัวขึ้น
จักรพรรดิโบราณเป็นคนแรกที่เดินออกมา เขาจ้องวงแหวนบนท้องฟ้ารูปไข่ด้วยความหลงไหล เขากระโดดขึ้นไปและปรากฎตัวถัดจากวงแหวนแสงก่อนจะหมุนวนรอบมันเล็กน้อย “ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้ามาที่นี่ระหว่างพันปีนี้ ผนึกที่พวกเราทิ้งไว้ยังคงเหมือนเดิม”
จากนั้นเขาอ้าแขนและเคลื่อนไหวรอบวงแหวน พลันปรากฎผ้าสีดำออกมาและเข้าไปในแขนเขา
หวังหลินสัมผัสความรู้สึกอันชัดเจนของตวนมู่จวี่ จ้าวปิศาจหกปรารถนา และเมิ่งหลังค่อมที่สูดลมหายใจอย่างโล่งอกหลังจากได้ยินประโยคพวกนั้น
เขามองรอบๆและดูพื้นที่ราบภายในดาราล่มสลายที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า มันดูไร้ที่สิ้นสุดและปกคลุมด้วยท้องฟ้าดำมืดไร้จุดจบ หวังหลินเข้าใจได้ว่านี่เป็นข้อห้ามอันทรงพลังรูปแบบหนึ่ง
เสียงเงียบสงัดในที่ราบโดยไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวใด
จ้าวปิศาจหกปรารถนามองดูหวังฉิงเย่และหวังหลินก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ดาราล่มสลาย ไม่ว่าตวนมู่จะพูดกับเจ้าทั้งสองว่าอะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ข้าต้องเน้นย้ำอีกครั้ง”
“หลังจากผ่านวงแหวนรูปไข่ไป เจ้าจะเข้าสู่มิติลึกลับ จากข้อมูลที่เราได้มาจากมรดกชิ้นหนึ่ง ซากศพของเทพโบราณอยู่ที่นั่น พลังอำนาจของเทพโบราณออกมาจากร่างกายนั้นดังนั้นร่างกายจึงมีขนาดใหญ่มาก กระทั่งเทพโบราณที่อ่อนแอที่สุดอย่างน้อยก็มีขนาดเท่าดาวเคราะห์ซูซาคุ ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเทพโบราณที่โตเต็มวัยมีขนาดราวกับดาวเคราะห์ซูซาคุนับไม่ถ้วน”
“เหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีสมบัติวิเศษจำนวนมากภายในนั่นก็เพราะแม้ว่าเทพโบราณจะตายไปแล้วแต่สัมผัสวิญญาณของมันยังไม่ถูกทำลายทว่าอยู่ในภาวะจำศีล หากเราเข้าไปข้างในและไดรับความทรงจำของมันมา เมื่อนั้นวิชาใดก็ตามในความทรงจำของมันจะเป็นวิชาอันทรงพลังสุดหยั่งคาดในวันนี้”
“ส่วนสมบัติวิเศษพวกนั้นเนื่องจากไม่มีสมบัติวิเศษใดที่ถูกเทพโบราณใช้จะพอดีภายในกระเป๋า ของทั้งหมดจึงถือไว้แนบกาย หากเจ้าโชคดีจะได้รับมันมาสักหนึ่งชิ้นได้”
“รวมถึงเม็ดยาด้วยเช่นกัน ระดับฝึกฝนของเทพโบราณจำเป็นต้องใช้เม็ดยา และสิ่งที่พวกมันบริโภคต่างมีคุณค่ามากมายกว่าที่เราจินตนาการถึง ทว่าพวกมันไม่ได้ดูดซับเม็ดยาไปหมดจึงเหลือเก็บไว้ในร่างกายอีก เป้าหมายของเราเวลานี้คือเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณที่สามารถพบได้ในเส้นเลือดของเทพโบราณ”
ดวงตาของหวังฉิงเย่สว่างขึ้นขณะที่เขาจ้องวงแหวนรูปไข่ในท้องฟ้าและเริ่มไตร่ตรอง
เมิ่งหลังค่อมสัมผัสตุ่มหนองบนใบหน้าและพูดขึ้น “หกปรารถนา ตวนมู่ เรื่องนี้ไม่สำคัญหากเราไม่สามารถทะลวงผ่านข้อห้ามได้ แต่หากเราทะลวงผ่านไปได้แล้วเราจะแบ่งของกันเช่นไร?”
หกปรารถนามองหวังฉิงเย่และพูดขึ้น “สำหรับสิ่งของ เราจะกระจายเท่าๆกันหากมีเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งเม็ดจงปล่อยให้วิชาของเราเป็นคนตัดสินใจ”
ตวนหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ดูเหมือนจะพูดเรื่องนี้เร็วเกินไป มันไม่สายนักหรอกหากจะตัดสินใจเมื่อเราทะลวงผ่านเข้าไปได้”
สายตาของเมิ่งหลักค่อมวางบนบุรุษหนุ่มที่ติดตามมากับจ้าวปิศาจหกปรารถนาพลันพูดขึ้น “ข้าสงสัยว่าสหายน้อยคนนี้จะช่วยเราทะลวงผ่านข้อห้ามด้วยหรือ?”
จ้าวปิศาจหกปรารถนามองหวังหลินและพูดอย่างเยือกเย็น “เหมือนกับเขา คนผู้นี้จะเป็นประโยชน์ในบททดสอบที่สาม คนผู้นี้เป็นเซียนจากแคว้นอันดับสามนามว่าเทียนจู(天竺 Tiānzhú) เขามีวิชาวิญญาณที่อาจจะต่อต้านสิ่งมีชีวิตภายในบททดสอบที่สามได้ ข้าใช้เวลาค้นหาเขามาหลายปี ”
“เป็นเช่นนั้น ฮี่ฮี่… บททดสอบที่สาม ตอนนั้นเราหยุดกันที่บดทสอบที่สาม ข้าหวังว่าเราจะสามารถทะลวงผ่านในเวลานั้นได้!” เมิ่งหลังค่อมเผยรอยยิ้มประหลาดขณะที่สายตากวาดผ่านระหว่างหวังหลินและเทียนจู
จักรพรรดิโบราณที่อยู่ข้างหน้าวงรีเริ่มเคลื่อนไหวฝ่ามือรวดเร็วทำให้ประกายสีดำปรากฎออกมาราวกับเม็ดฝน ใบหน้าเคร่งเครียดขณะที่เขาโอบแขนและผลักไปข้างหน้า ทันใดนั้นเศษสีดำนับไม่ถ้วนออกมาจากวงแหวน พวกมันรวมตัวกันและสร้างเป็นรูปร่างมังกรตัวหนึ่ง มันปลดปล่อยเสียงคำรามก่อนจะหดตัวลงและร่อนในฝ่ามือของจักรพรรดิโบราณ
“พร้อมแล้ว เข้ามา!” จักรพรรดิโบราณสูดหายใจลึก หลังจากวางมังกรไว้เขาก็นำสร้อยข้อมือหยกออกมาสองชิ้น สร้อยข้อมือขนาดใหญ่มีสีแดงขณะที่ขนาดเล็กมีสีเทา
เขาถือสร้อยข้อมือทั้งสองชิ้นพลางลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในวงแหวนและหายตัวไป
สายตาจ้าวปิศาจหกปรารถนาหรี่แคบขณะที่เขาจับบุรุษหนุ่มและกระโดดเข้าไป หวังฉิงเย่เลียริมฝีปากและติดตามเข้าไป
สองคนสุดท้ายคือตวนมู่จวี่และเมิ่งหลังค่อม หลังจากมองหน้ากันเองพลันหันไปหาหวังหลิน หวังหลินลอยเข้าไปในอากาศโดยไร้คำพูดและหยุดด้านหน้าวงแหวนแสง เขายื่นมือออกไปหาตวนมู่จวี่และพูดขึ้น “นับตั้งแต่ข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะรักษาสัญญา”
ตวนมู่จวี่หัวเราะ “ไม่ต้องรีบเร่ง เมื่อเราผ่านบททดสอบที่สามได้ ข้าจะให้มันกับเจ้าทันที”
หวังหลินมองเขาอย่างเยือกเย็นและไม่ได้เอ่ยคำใด
เมิ่งหลังค่อมหัวเราะออกมาขณะที่มองทั้งสอง จากนั้นเขาเดินผ่านตวนมู่จวี่และเข้าไปในวงแหวน
ตวนมู่จวี่จ้องหวังหลิน เขาไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะนำเม็ดยาสองเม็ดออกมาและโยนมันให้กับหวังหลิน พลันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รับไว้ซะ!”
หวังหลินรับมาและตรวจสอบ มันเป็นเช่นเดียวกับที่ลี่มู่หวานอธิบายไว้ เม็ดยาอันเล็กคือเม็ดยาแปลงปฐพีและเม็ดใหญ่กว่าคือเม็ดยาสร้างวิญญาณ
หลังจากเก็บไปอย่างระมัดระวัง หวังหลินเดินเข้าไปในวงแหวนโดยไม่ได้พูด เมื่อเขาเข้าไปพลันรู้สึกราวกับเดินผ่านภาพบางๆ
ฉากด้านหน้าทำให้เขาสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บและจ้องสิ่งที่เขาเห็นอย่างตกใจ
สถานที่แห่งนี้ช่างคล้ายคลึงกับโลกแห่งการล่มสลาย มันเป็นสถานที่ที่มีความมืดไร้ที่สิ้นสุด สิ่งแตกต่างเพียงสิ่งเดียวคือมีเสาหินขนาดใหญ่อยู่ที่นี่มากมายนัก เสาหินพวกนี้ลอยด้วยพลังลึกลับและเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หวังหลินกำลังยืนอยู่บนเสาหินต้นหนึ่ง บนยอดมีความกว้างร้อยจ้างและมีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่บนนี้
ข้างใต้เสาหินเป็นความว่างเปล่าไร้ขอบเขต
เขามองรอบๆและเห็นทุกคนที่เขามาเป็นเหมือนกัน ทุกคนกำลังยืนอยู่บนเสาหินแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง
จากการสังเกตของหวังหลิน เขาเห็นได้ว่าตวนมู่จวี่ จ้าวปิศาจหกปรารถนา เมิ่งหลังค่อมและจักรพรรดิโบราณมีท่าทีสงบนิ่ง หวังฉิงเย่กำลังครุ่นคิดขณะที่เขามองไปที่ขอบเสาไปยังพื้นที่ว่าง
คนสุดท้ายคือบุรุษหนุ่มที่กำลังนั่งบนเสาหินขณะที่เขาจ้องอย่างตกตะลึงรอบด้านด้วยแววตาตกใจ
หวังหลินสูดหายใจลึกและค่อยๆกระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมา ไม่มีพลังใดหยุดสัมผัสวิญญาณเขาไว้ แต่เมื่อขบคิดว่ามีอสูรอันทรงพลังรอบๆตัวจึงหยุดกระจายมันออกไปไกลและเพียงครอบคลุมเสาหินที่เขาอยู่ไว้เท่านั้น
ขณะนั้นเองเสียงของจ้าวปิศาจหกปรารถนาดังออกมาจากพื้นที่ห่างไกล “ไม่มีอันตรายที่นี่เพราะมันเป็นทางผ่าน เจ้าเพียงอยู่เฉยๆบนเสาหินเท่านั้น”
หลังจากหวังหลินได้ยินคำนี้พลันนั่งลงและมองเสาหินค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ เขาสังเกตได้ว่าไม่มีใครให้ความสนใจเขาดังนั้นจึงนำแขนเข้าไปในเสื้อและสัมผัสกระเป๋าที่ได้รับมาตอนอยู่ที่สมาพันธ์ฮัวเฝิน
สัมผัสวิญญาณเข้าไปในกระเป๋าแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ หวังหลินตกตะลึงแต่ไม่มีเวลาทดสอบ ดังนั้นเขาจึงถอนมือออกมาและมอบรอบๆ
หวังฉิงเย่ที่กำลังมองขอบเสาหินพลันตะโกนขึ้น “นั่นคืออะไร?”
ในความว่างเปล่าไร้จุดจบด้านล่าง ตะเกียงสว่างสองดวงพลันส่องแสงขึ้น ตะเกียงทั้งสองนี้มีความกว้างหลายจ้าง หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณตัวเองออกมาและพบว่ามันไม่ใช่ตะเกียงแต่เป็นดวงตาคู่หนึ่ง
ไม่นานนักสายตาคู่นั้นหายไปแต่พลันปรากฎตัวอีกครั้ง ครานี้มันมีขนาดใหญ่กว่า เมิ่งหลังค่อมเดินมาถึงขอบเสาหินของตัวเองและมองลงไปด้วยใบหน้ามืดมน เขาสะบัดแขนและผงสีฟ้าหล่นลงงจากฝ่ามือ ขณะที่ผงสีฟ้าลดต่ำลงมันปลดปล่อยแสงอันน่ากลัว ยิ่งมันลดต่ำแสงอันน่ากลัวก็ยิ่งสุกสว่างขึ้นและเมื่อมันร่อนลงบนดวงตาคู่นั้น ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ
สิ่งมีชีวิตด้านล่างมีขนาดใหญ่มากราวกับงู มันมีขนาดที่ไม่สามารถประเมินได้ สิ่งที่แสงน่ากลัวแสดงให้เห็นนั้นมันมีขนาดอย่างน้อยยาวสามพันจ้างและกว้างอย่างน้อยสามร้อยจ้าง ร่างสีแดงม่วงปกคลุมภายใต้แสงอันน่ากลัวนั้น
เขาทั้งเก้าบนศีรษะใหญ่และเมื่อมันอ้าปากปรากฎเขี้ยวอันแหลมคมทำให้ทุกคนสั่นสะท้าน
ท่าทางของเมิ่งหลังค่อมยิ่งน่าเกลียดน่ากลัวขณะที่เขาสะบัดแขน ลำแสงหายไปทันทีและความมืดปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง
เมิ่งหลังค่อมไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะพูดช้าๆ “มันคืออสูรเดียวดายที่อ่อนแอที่สุด อย่างน้อยมีระดับเทียบเท่าเซียนขั้นตัดวิญญาณขั้นปลายสูงสุด”
ใบหน้าจ้าวปิศาจหกปรารถนามีสีหน้ามืดมนขณะที่พูดอย่างสงบนิ่ง “อย่าทำให้มันโกรธ เราสามารถผ่านได้อย่างปลอดภัยในคราวก่อน ดังนั้นตราบใดที่เราไม่ทำให้มันโกรธจะเป็นเรื่องดีที่สุด”
ขณะที่เขาพึ่งพูดจบ เสียงคำรามหนึ่งดังออกมาจากเบื้องล่าง ดวงตาคู่นั้นเริ่มใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนกระทั่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา
ทุกคนยืนขึ้นทันที เมิ่งหลังค่อมนำเม็ดยาออกมาหลายเม็ดและโยนออกไปพลันตะโกนขึ้น “อมเม็ดยาในปากพวกเจ้าไว้ป้องกันพิษสังหาร”
จ้าวปิศาจหกปรารถนากระโดดออกและมาถึงตำแหน่งถัดจากเทียนจูที่เขาพามาด้วย พลางรับเม็ดยาและรีบหนีให้ไกล
ขณะเดียวกันตวนมู่จวี่มองหาหวังหลิน เมื่อเขาเห็นท่าทางหวังหลินสงบนิ่ง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงสื่อสารออกมา “ตามข้ามา!” เช่นนั้นเขาเหาะไปไกลอย่างรวดเร็ว
หวังหลินรับเม็ดยาของเมิ่งหลังค่อมแต่เขาไม่ได้กินมันทันที หวังหลินมองไปรอบๆและหลังจากเห็นทุกคนยกเว้นเขาที่ยังไม่ได้กินมันจึงนำเข้าไปในปากขณะกระโดดขึ้นบนอากาศ
ทุกคนรีบกระโดดหนีไปจากเสาต้นหนึ่งไปต้นถัดไปอย่างรวดเร็ว เสาหินดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด หวังหลินเข้าใกล้ด้านหลังตวนมู่จวี่ เสียงคำรามดังออกมาจากเบื้องล่างดังขึ้นและดังขึ้น เสาหินรอบสั่นระริก
ขณะเดียวกันเสาหินต้นหนึ่งด้านหลังพวกเขาแตกกระจายขณะที่ศีรษะงูทุบเข้าใส่ หลังจากเสาหินแรกกระจายศีรษะขนาดยักษ์โผล่ออกมาเผยเป็นสายตาอันเยือกเย็น
กลิ่นคาวโชยออกมาจากด้านหลัง หวังหลินอมเม็ดยาไว้ในปากขณะที่เขากระโดดอย่างรวดเร็วตามหลังทุกคน ขณะที่สิ่งผิดปกติเกิดขึ้นด้านหลัง ไม่มีใครยกเว้นเทียนจูหันกลับมามอง ทุกคนยกเว้นเขาต่างเพ่งสมาธิไปที่การเคลื่อนไหวข้างหน้า
เป็นผลให้ทุกคนเดินทางด้วยความเร็วสูง คนที่เร็วที่สุดคือหวังฉิงเย่ที่มีวิชาหลบหนีเบญจธาตุ ร่างของเขากึ่งโปร่งแสงขณะที่เหาะเหินด้วยทิศที่แตกต่างจากคนอื่น เขาเหาะเหินตรงไปข้างหน้าและไม่ว่าจะมีเสาหินบังทิศอยู่หรือไม่เขาจะพุ่งเข้าไปหา ร่างกายหายวับขณะที่สัมผัสเสาหินและปรากฎตัวอีกครั้งอีกด้านหนึ่ง
อสูรเดียวดายคล้ายงูจ้องอย่างเยือกเย็นไปที่เหล่าผู้คนที่กำลังกระโดดด้านหน้ามัน หลังจากปล่อยคลื่นเสียงคำรามออกมา ร่างมันเผยขึ้นมาทันทีความยาวมากกว่าสามพันจ้างและกระแทกลงไป