184. ทะเลโลหิตของเทพมาร
ในพื้นที่อันเงียบสงบแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อกับบททดสอบแห่งที่สามของดินแดนเทพโบราณ แสงสีขาวจุดหนึ่งปรากฎขึ้นในทันที แสงนั้นสว่างขึ้นและขยายขนาดจนมันก่อร่างเป็นรอยแยกรูปทรงไข่
รอยแยกออกมาเป็นอุ้งมือพร้อมกับเล็บยาวและเต็มไปด้วยหนามกระดูก ฝ่ามือดูหนาวเย็นและเล็บมือแหลมคมนั้นดูแต้มด้วยสีดำ มันปกคลุมไปด้วยตุ่มหนองและยื่นออกมาจากหนามกระดูกทุกจุด
หลังจากมือประหลาดออกมาจากรอยแยก มันกำรอยแยกไว้และฉีกออกอย่างโหดเหี้ยม รอยแยกเล็กๆนั้นไม่เป็นรูปไข่อีกต่อไป มันสูงอย่างน้อยสิบฟุต คลื่นสีแดงและดำพลันปะทุออกมาผ่านรอยแยกอันว่างเปล่านั้นและร่างสูงใหญ่คนหนึ่งออกมา รูปร่างของมันมีหนอกอยู่บนหลัง ซึ่งดูคล้ายกับเมิ่งหลังค่อม
มันสูงมากกว่าสิบฟุตและร่างกายเป็นเช่นอุ้งมือข้างนั้น ปกคลุมไปด้วยตุ่มหนอง บางจุดแตกไปแล้วและกำลังปล่อยของเหลวสีดำเหม็นฉุน มีหนามกระดูกงอกออกมาทุกตุ่มหนอง นอกเหนือจากข้อต่อแล้วเขาปกคลุมไปด้วยหนามกระดูกทั้งร่าง
เสื้อผ้าฉีกขาดบางส่วนถูกหนามแทงทะลุออกมา หากมองใบหน้าอัปลัษณ์นี้จะเป็นได้ชัดว่าคล้ายกับเมิ่งหลังค่อมอย่างมาก แต่ขนาดร่างกายเขาใหญ่กว่าหลายเท่า
บนศีรษะมีเขารูปร่างก้นหอยอยู่สองเขาพร้อมกับสายฟ้าน้ำเงินเป็นประกายระหว่างกัน รูปร่างตอนนี้ดูราวกับมารจากนรก เขาลากตัวเองออกมาจากรอยแยกและเริ่มตวัดนิ้วมือขวา รอยแยกหดเล็กลงจนมันกลายเป็นเพียงจุดแสงอีกครั้ง จากนั้นสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มารคนนี้มองไปในพื้นที่ว่างและพึมพำกับตัวเอง “เจ้านายสั่งการมาแล้วว่าจะไม่มีใครอนุญาตให้เข้าไปดินแดนที่สี่ได้ ทุกคนที่นี่ต้องตาย!” เมื่อพูดจบเขากำลังจะเริ่มเหาะเหิน แต่ทันใดนั้นหยุดกึกพลันดมกลิ่นทางจมูกและมองไปทางตะวันออกเฉียงใต้ “แปลกนัก ทำไมเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นน่ารังเกียจที่นั่น? ข้าต้องไปที่นั่นและสังหารใครก็ตามที่ทำเรื่องแบบนี้”
ขณะเดียวกัน วิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งปรากฎขึ้นแต่มารคนนี้เมินมันและผ่านไป เจ้ามารไม่สนใจวิญญาณเร่ร่อนพลันจ้องไปทิศทางที่ได้กลิ่นสะอิดสะเอียน ร่างกายหายวับไปขณะที่เหาะเหินไปทางกลิ่นนั้น
ทิศทางที่มารกำลังมุ่งหน้าเขาไปคือจุดที่หวังหลินและจักรพรรดิโบราณอยู่ หวังหลินมองจักรพรรดิโบราณที่ถูกขังในแสงไฟอย่างใจเย็น แสงไฟจากเจดีย์หดเล็กลงจากสามสิบฟุตเหลือเพียงสิบห้าฟุต
หลังจากหวังหลินกลายเป็นวิญญาณกลืนกิน เขาสูญเสียความรู้สึกทางอารมณ์ที่มนุษย์ทั่วไปทั้งหมดมี หวังหลินเย็นชาและเลือดเย็น เมื่อเขากำลังจะสั่งการให้วิญญาณเร่ร่อนจู่โจมอีกครั้ง เขารู้สึกถึงวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งที่เขาควบคุมเกิดวิญญาณผันผวนรุนแรงมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ไม่นานหลังจากนั้นวิญญาณเร่ร่อนภายใต้การควบคุมได้ใช้วิชาพิเศษเพื่อส่งผ่านสิ่งที่มันเห็นให้กับหวังหลิน
“นี่…นี่มัน…เมิ่งหลังค่อม!” หวังหลินตกใจที่เมิ่งหลังค่อมเปลี่ยนไปมาก หวังหลินยังสามารถบอกได้ว่านี่เป็นมารร้ายมากกว่าเขาเสียอีก
หวังหลินดึงสัมผัสวิญญาณกลับเพื่อป้องกันการโจมตีจากเขาและส่งข้อความหนึ่งให้กับจักรพรรดิโบราณผ่านสัมผัสวิญญาณ “ส่งมรดกสมบัติมา….”
จักรพรรดิโบราณตกตะลึง แม้เขาจะมาที่นี่เมื่อพันปีก่อน เขาไม่เคยเห็นว่าสิ่งมีชีวิตตัวใดจะสื่อสารด้วยสัมผัสวิญญาณได้ แต่เขามีปฏิกิริยารวดเร็วและตอบด้วยสัมผัสวิญญาณ “ผู้…ผู้อาวุโส ข้าไม่รู้ว่ามรดกสมบัติที่ท่านกล่าวคืออะไร”
หลังจากจักรพรรดิโบราณพูดจบเขาขมขื่นในใจ หลังกลายเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณ เขาไม่ได้ถูกคนอื่นเรียกว่าผู้อาวุโส เมื่อพูดเรื่องนั้นจึงรู้สึกเจ็บใจ พลันกล่าวขึ้น
“ผู้อาวุโส หากท่านกำลังมองหามรดกสมบัติของดินแดนเทพโบราณ เช่นนั้นท่านมองหาผิดคนแล้ว มันถูกคนที่ชื่อว่าจ้าวปิศาจหกปรารถนาฮุบไป”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและรู้สึกได้ว่าความผันผวนทางวิญญาณที่แข็งแกร่งกำลังใกล้เข้ามา หวังหลินใช้วิญญาณที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเพื่อรับทราบระยะห่างระหว่างเขา ขณะที่หวังหลินกำลังพูดคุยกับจักรพรรดิโบราณ เขาได้ควบคุมวิญญาณเร่ร่อนเพื่อป้องกันเส้นทางไว้ด้วย
ทว่าร่างกายของเมิ่งหลังค่อมแปลกประหลาดอย่างมาก ไม่ว่าวิญญาณเร่ร่อนจะโจมตีมันไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำให้เกิดบาดแผลได้แม้เพียงน้อยนิด สิ่งนี้ทำให้หวังหลินประหลาดใจ
หวังหลินไม่เชื่อคำพูดของจักรพรรดิโบราณที่บอกว่ามรดกสมบัติไม่อยู่กับเขาแต่อยู่กับจ้าวปิศาจหกปรารถนา แม้เขาจะพูดเรื่องจริง แต่คนเช่นจักรพรรดิโบราณและคนอื่นๆไม่ได้เข้าดินแดนเทพโบราณด้วยความประมาทอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงร้องขอความเมตาจากจ้าวปิศาจหกปรารถนาไปเสีย นอกจากนั้นหวังหลินยังถือกุญแจสำคัญในการเข้าและออกสถานที่แห่งนี้ไว้
ในเรื่องมรดกสมบัติ หวังหลินได้ยินเป็นครั้งแรกจากตวนมู่และคนอื่นๆแต่พวกเขาไม่เต็มใจจะพูดเรื่องนี้ต่อไป จนเมื่อหวังหลินนึกสิ่งหนึ่งได้ จักรพรรดิโบราณจะต่อสู้กับจ้าวปิศาจหกปรารถนาในบททดสอบที่สอง เขาต้องมีความลับของตัวเอง หวังหลินสั่งการให้วิญญาณเร่ร่อนเริ่มโจมตีอีกครั้ง
จักรพรรดิโบราณกัดฟันแน่นขณะที่ส่งข้อความอีกประโยคออกมา “ตาเฒ่าคนนี้ไม่มีมรดกสมบัติ แต่ตอนที่ข้ามาที่นี่เมื่อพันปีก่อน ข้าได้รับเศษมรดกสมบัติชิ้นหนึ่ง มันมีวิชาที่สามารถสร้างทางออกจากที่นี่ได้ ทว่าขาสามารถใช้มันได้ที่ทางออกน้ำวนของแต่ละดินแดนเท่านั้นเพื่อเคลื่อนย้ายออกจากดินแดนเทพโบราณ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ติดอยู่ที่นี่ ส่วนเสี้ยวมรดกนั้นข้าทำลายไปหลังจากเรียนรู้วิชาไปแล้ว”
สิ่งที่จักรพรรดิโบราณพูดเป็นเรื่องจริง หนึ่งพันปีก่อนเขาเป็นหนึ่งในเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดดังนั้นจึงเห็นมรดกสมบัติและเรียนรู้วิธีออกจากที่นี่ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมเขาถึงสามารถหนีออกจากที่นี่ได้เมื่อพันปีก่อนและทำไมถึงยังกล้ากลับมา
มีไม่กี่คนที่ได้รับมนต์บทนี้เมื่อตอนนั้น ทว่าเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเกือบไม่มีใครหนีรอดได้เป็นเพราะข้อจำกัดของมันนั่นคือต้องอยู่ที่ทางออกน้ำวนเพื่อให้มันแสดงผล
หลายคนที่ผ่านบททดสอบแรกและบททดสอบที่สองโดยไม่คิดถึงการออกจากดินแดนเทพโบราณ เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการเสียความพยายามและเสียเวลา เป็นผลให้พวกเขายอมแพ้โอกาสที่จะใช้ทางออกน้ำวนในบททดสอบที่สอง แต่บททดสอบที่สามนับว่ากว้างใหญ่มาก การหาทางออกเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร อีกทั้งเพราะการกลัววิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดจึงไม่มีใครกล้ากระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมาไกลเกินไป ทำให้การค้นหาทางออกยิ่งยากขึ้นไปอีก
มนต์บทนี้ต้องใช้ที่ทางออกน้ำวนโดยเฉพาะ หากไปถูกใช้ที่ทางเข้าน้ำวนจะไม่มีผลลัพธ์ใด ย้อนกลับไปที่ทางออกของบททดสอบที่สอง จักรพรรดิโบราณไม่มีเวลาพอที่จะใช้มนต์นี้ที่ทางออกน้ำวนและถูกบังคับให้เข้าไปมาในบททดสอบที่สาม
“หากเจ้าต้องการออกบททดสอบที่สาม จงสอนมนต์นั้นแก่ข้าเป็นการแลกเปลี่ยน!” จักรพรรดิโบราณมองอย่างเยือกเย็นแต่ในใจลอบพยายามขบคิดว่าทำไมคนคนนี้ต้องการสิ่งนี้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไม เขาต้องตอบกลับหรือไม่เช่นนั้นวิญญาณเร่ร่อนจะโจมตีเขาอีก หากถึงจุดนั้นคงมีเพียงทางเดียวคือความตาย
หวังหลินไม่โต้ตอบอีกต่อไป เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกมาและอีกครั้งที่วิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดเริ่มโจมตี หวังหลินคำนวณอย่างระมัดระวังด้วยข้อมูลจากวิญญาณเร่ร่อน เมิ่งหลังค่อมควรจะมาถึงที่นี่ในเวลาสองก้านธูป
ภายใต้คำสั่งของหวังหลินทำให้การโจมตีของวิญญาณเร่ร่อนรุนแรงมากขึ้น เพื่อช่วยให้เร่งความเร็วขึ้นนี้หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อเรียกวิญญาณเร่ร่อนให้เข้าร่วมการโจมตีมากขึ้น
ใบหน้าจักรพรรดิโบราณซีดขาว เขาเดาได้ว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลผู้นี้ต้องการได้ยิน เขากัดฟันแน่นและกลืนเม็ดยาเพื่อรักษาแสงเจดีย์ให้นานกว่านี้ แต่การโจมตีจากวิญญาณเร่ร่อนเข้ามาไม่หยุดหย่อน เมื่อถึงจุดวิกฤต จักรพรรดิโบราณจึงส่งข้อความออกมา
“ข้าจะให้ท่าน! ได้โปรดบอกให้อสูรประหลาดพวกนั้นหยุดโจมตีเถอะ….” จักรพรรดิโบราณนำหินหยกออกมาและวางเข้าหน้าผากชั่วขณะ จากนั้นกำมันไว้แน่นขณะที่มองไปรอบๆ
หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณออกมาและวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดหยุดโจมตี จักพรรดิโบราณผ่อนคลายเล็กน้อย มันลังเลชั่วครู่และกัดฟันกรอด จากนั้นส่งหินหยกออกไปนอกระยะแสงเจดีย์
ขณะที่หินหยกลอยออกไป หวังหลินเก็บมันขึ้นมาด้วยวิญญาณของเขาทันที เขาตรวจสอบหินหยกและพบว่ามันมีคำแนะนำที่ละเอียดมากสำหรับมนต์บทนี้
จักรพรรดิโบราณกังวลอย่างมากหลังจากโยนหินหยกออกไป เขากลัวว่าหลังจากคนผู้นี้รับหินหยกไปแล้วจะยังไม่ปล่อยเขาไป
หวังหลินขบคิดเงียบๆเล็กน้อยจากนั้นสั่งให้วิญญาณเร่ร่อนรอบๆทั้งหมดกระโจนเข้าหาจักรพรรดิโบราณและโจมตีต่อ จักรพรรดิโบราณเผยรอยยิ้มเศร้าหมองพร้อมกับเผยท่าทางอันร้ายกาจและเริ่มใช้พลังปราณของตัวเองเพื่อรักษาแสงไฟของเจดีย์อย่างบ้าคลั่ง
แต่จำนวนวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังโจมตีเขามีมากมายเกินไป ในไม่ช้าเจดีย์เริ่มสั่นจากนั้นเสียงดังปัง รอยแตกปรากฎบนเจดีย์พร้อมกับแบ่งออกเป็นสองส่วน
ขณะนั้นร่างจักรพรรดิโบราณเคลื่อนไหวทันทีและหายไปโดยไร้ร่องรอย ปรากฎตัวห่างไปสิบฟุต จักรพรรดิโบราณร้องไห้อย่างโหยหวนและเผยร่างตัวเอง วิญญาณเร่ร่อนกระโจนเข้าหาเขาจำนวนนับไม่ถ้วนและเริ่มกลืนกินเขา
ขณะเดียวกันวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งออกมาจากร่างจักรพรรดิโบราณพร้อมกับถือถุงสิ่งของมาด้วย หวังหลินรับกระเป๋านั้นหลังจากวิญญาณเร่ร่อนส่งให้เขาและรีบหนีทันที
เวลานี้เขาไม่ได้ไปหาคนอื่น แต่กลับไปยังร่างของเขาที่กำลังซ่อนตัวอยู่
ในพื้นที่ว่างเปล่านั้น ร่างจักรพรรดิโบราณกำลังเหลือน้อยลง ใบหน้าซีดเผือด วิญญาณเซียนของกำลังแยกออกจากไฟต้นกำเนิดเพื่อป้องกันวิญญาณเร่ร่อนจากการถูกกลืนกิน ทว่าเขาทำได้เพียงหยุดอยู่กับที่เท่านั้นและไม่อาจไปไหนได้
แม้หากสมบัติช่วยชีวิตของเขาจะไม่ถูกทำลายหรือหากระดับฝึกตนของเขายังอยู่ขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง เขายังไม่สามารถต่อสู่กับวิญญาณเร่ร่อนที่พยายามกลืนกินเขาจำนวนมากได้อยู่ดี
ไม่นานหลังจากที่หวังหลินจากไป เมิ่งหลังค่อมมาถึง ร่างกายเคลื่อนไหวราวกับดาวตก เขาชำเลืองมองจักรพรรดิโบราณและคิ้วย่นขึ้น กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนไม่อยู่ที่นี่แล้ว
เมื่อเขากำลังติดตามไป พลันหยุดกึกและมองไปที่จักรพรรดิโบราณ ความคิดหนึ่งแล่นผ่านในใจ
เขายื่นมืออกมาและคว้าร่างจักรพรรดิโบราณที่หดเล็กลงไว้ในฝ่ามือ จากนั้นเขย่าจักรพรรดิโบราณจนวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดหลุดออกจากร่าง
หลังวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดถูกนำออกจากร่างจักรพรรดิโบราณ รอยยิ้มเย็นชาเผยขึ้นบนใบหน้า มารร้ายฉีกหลุมหนึ่งขึ้นมาจากพื้นที่ว่างและโยนจักรพรรดิโบราณไว้ข้างใน
เมื่อรอยแยกปรากฎขึ้นนั้นเห็นได้ชัดว่ามีโลกอีกด้านหนึ่งเป็นโลกสีแดงโลหิต พื้นดินปกคลุมไปด้วยชั้นโลหิตหนาแม้กระทั่งท้องฟ้ายังเป็นสีแดงโลหิตราวกับเศษเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยโลหิต
บนพื้นโลหิตนั้นมีเซียนจำนวนมากนั่งอยู่ซึ่งทั้งหมดดูเหมือนกับเมิ่งหลังค่อมตอนนี้ พวกเขาตัวใหญ่มากและมีตั้งแต่หนึ่งถึงสี่เขาบนศีรษะ
ในดินแดนโลหิตแห่งนี้มีเสาหินหลายเสาและบนยอดเสาแต่ละต้นมีเซียนนั่งอยู่หนึ่งคน หากมองไกลๆจะมีเสาหินมากมายมหาศาล แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือเสาหินหนึ่งสูงเทียมฟ้า บนยอดนั้นมีเซียนผมแดงนั่งอยู่ แม้ว่าจะไม่อาจเห็นใบหน้าได้ชัดเจนแต่ทว่ามีกลิ่นอายความหยิ่งหยองและภาคภูมิใจเปล่งออกมา
เมื่อจักรพรรดิโบราณถูกยนเข้ามาในนี้ วิญญาณเซียนของเขายังไม่ถูกวิญญาณเร่ร่อนกลืนกินไปหมด ดังนั้นร่างกายจึงเริ่มฟื้นฟูทันที เมื่อเขาลืมตาขึ้นพลันใบหน้าเปลี่ยนไป
“จ้าวปิศาจอัคคีแดง…ทักษิณไร้พ่าย….จอมเวทย์ปิศาจฟ้า…พวกเจ้า…พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้ตาย?” ใบหน้าจักรพรรดิโบราณซีดเผือดขณะที่สายตาจอดจ้องไปบนเหล่ามารทั้งหมดที่เข้ามาดินแดนเทพโบราณเมื่อพันปีก่อนพร้อมกับเขา
จ้าวปิศาจอัคคีแดงถูกสังหารในบททดสอบที่สอง จักรพรรดิโบราณเห็นร่างเขาถูกทำลายด้วยสายฟ้าม่วงกับตา วิญญาณเซียนของจ้าวปิศาจอัคคีแดงกระทั่งไม่มีเวลาหนี
มีทักษิณไร้พ่ายด้วยที่ถูกอสูรประหลาดนับหมื่นกลืนกินและตายไปเพียงเวลาน้อยกว่าครึ่งก้านธูป
ขณะที่จอมเวทย์ปิศาจฟ้าซึ่งเป็นอาจารย์ของจ้าวปิศาจหกปรารถนา จักรพรรดิโบราณติดตามเขาอย่างใกล้ชิดเมื่อพันปีก่อน จักรพรรดิโบราณเห็นกับตาตัวเองว่าเขาสร้างอุโมงค์หนึ่งโดยใช้มรดกสมบัติเพื่อหนีออกจากที่นี่ก่อนจะถูกสัมผัสวิญญาณที่ไม่ธรรมดาโจมตีและตายในทันที
คนที่เขาเห็นทั้งหมดนี้ได้คาดว่าตายกันหมดแล้ว จึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกจิตใจเย็นเฉียบ ทันใดนั้นเขาหันศีรษะและเห็นมารคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับเมิ่งหลังค่อมผ่านรอยแยกมา
“เมิ่งหลังค่อม!” จักรพรรดิโบราณหรี่สายตาแคบลง รอยแยกปิดลงในชั่วขณะ จักรพรรดิโบราณระมัดระวังอย่างมาขณะที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเซียน มันชัดเจนว่าคนทั้งหมดพวกนี้เป็นคนที่ตายในดินแดนเทพโบราณทั้งหมด
น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากที่ห่างไกล “ยินดีต้อนรับสู่ทะเลโลหิตของเทพมาร…”
…..
ความเร็วของหวังหลินสูงมาก หลังจากนั้นไม่นานนักเขาผ่านมาครึ่งทางบททดสอบที่สาม แต่พลันหยุดลงและสังเกตว่าตำแหน่งของจักรพรรดิโบราณเปลี่ยนไปผ่านการเชื่อมต่อกับวิญญาณเร่ร่อน เขาเห็นเมิ่งหลังค่อมเปิดรอยแยกและจักรพรรดิโบราณถูกโยนเข้าไป แม้กระทั่งแสงสีแดงที่ออกมาจากรอยแยกก็ถูกหวังหลินเห็นผ่านวิญญาณเร่ร่อน
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย ขณะที่เขาทำความเข้าใจหินหยกเพื่ออกจากที่นี่ เพื่อความปลอดภัยเขาจะออกไปค้นหาตวนมู่ หวังฉิงเย่และจ้าวปิศาจหกปรารถนาและถามวิธีการออกจากที่นี่ในลักษณะเดียวกัน
แต่การปรากฎตัวของเมิ่งหลังค่อมและแสงสีแดงจากรอยแยกทำให้หวังหลินรู้สึกขนลุกซู่ เขายกเลิกการถามคนอื่นและตัดสินใจถอยหนีไปที่ร่างที่ซ่อนตัวอยู่
ระหว่างทางกลับ หวังหลินติดตามตำแหน่งของเมิ่งหลังค่อมตลอดเวลาด้วยวิญญาณเร่ร่อน เขาสังเกตได้ว่าเมิ่งหลังค่อมไม่ได้เข้ามาทางเขา แต่ไปทางตวนมู่และหวังฉิงเย่ หวังหลินเพิ่มความเร็วของตัวเองและกลับมาที่ร่าง เมื่อเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศษจน้อยสังเกตว่าหวังหลินกลับมา พวกมันลอยออกมาจากก้อนหินทันที
หวังหลินรีบใช้สำนึกวิญญาณและกลับเข้าร่างกายหยาบ หลังจากนั้นไม่นานนักจึงลืมตาขึ้น ในช่วงเวลาการท่องเที่ยวนี้วิญญาณของเขาเติบโตขึ้นมาก
หวังหลินเคลื่อนร่างและออกไปนอกก้อนหิน เขามุ่งหน้าตรงไปตำแหน่งของดินแดนที่สี่
ใบหน้าหวังหลินมัวหมอง การปรากฎตัวของเมิ่งหลังค่อมได้ขัดขวางแผนการของเขาและสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว สิ่งสำคัญก็คือเมิ่งหลังค่อมทนทานต่อการโจมตีของวิญญาณเร่ร่อน
นี่เป็นเหตุผลหลักที่หวังหลินตัดสินใจออกจากบททดสอบที่สามให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หวังหลินรู้ว่าในแง่ของระดับฝึกตนแล้ว เขาอ่อนแออย่างมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ หากไม่ใช่ว่าสถานที่แห่งนี้มีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากเขาคงไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ หวังหลินกระทั่งไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดคุยด้วยเลย
ตอนนี้วิญญาณเร่ร่อนไร้ประโยชน์ที่จะต่อต้านเมิ่งหลังค่อม หวังหลินสูญเสียความได้เปรียบของตัวเอง หากถูกพบจะเหลือเพียงถนนแห่งความตายเท่านั้น เมิ่งหลังค่อมเพียงสะบัดมือก็ทำให้หวังหลินหายวับไปดั่งควันได้ง่ายๆ
หวังหลินเข้าใจขีดจำกัดของตัวเองดี แม้ว่าตลอดเวลานี้เขามีอำนาจเหนือกว่า แต่ความจริงรู้ว่าเหตุผลที่เขาอยู่ที่นี่เป็นเพราะหวังหลินสามารถยืมพลังภายนอกเพื่อช่วยเหลือได้
แต่ตอนนี้แรงภายนอกได้จากไปและทั้งสองอยู่ที่จุดเดียวกัน ไม่ว่าหวังหลินจะกล้าหาญขนาดไหน เขาไม่มีตัวเลือกใดและต้องหนีทันที
หวังหลินไม่เคยเห็นคนโง่ เขาตัดสินใจไว้แล้วจึงรีบเร่งเหาะเหินไปทางออกของบททดสอบที่สาม
ระหว่างทางเขาไม่ถูกวิญญาณเร่ร่อนรบกวนอีกต่อไป หวังหลินมุ่งหน้าอย่างรวดเร็ว
หากหวังหลินออกจากกายหยาบและเดินทางด้วยวิญญาณของเขา ความเร็วจะมากกว่าตอนนี้หลายเท่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมหวังหลินจึงถอนวิญญาณออกครั้งก่อนนี้
เมื่อหวังหลินพึ่งจะก้าวได้เพียงครึ่งก้าว พลันหยุดกึกทันที กล้ามเนื้อกระตุกพลันมองไปตรงทิศทางของตวนมู่และหวังฉิงเย่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดหม่นขณะที่ร่วมเป็นพยานความโหดร้ายผ่านวิญญาณเร่ร่อน
ตวนมู่และหวังฉิงเย่ไม่อาจทนอยู่ได้นานภายใต้การโจมตีของเมิ่งหลังค่อม เขาฉีกรอยแยกออกมาด้วยมือยักษ์จากนั้นนำตวนมู่และหวังฉิงเย่เข้าไปโดยที่ทั้งสองไม่อาจต่อต้านได้
ศีรษะของมารร้ายเต็มไปด้วยหนามกระดูก มันมีกลิ่นอายปิศาจรอบๆซึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
ใบหน้าหวังหลินเผยความคลุมเครือ หวังหลินจับปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิสาจน้อยไว้จากนั้นดื่มน้ำพลังปราณไปอึกใหญ่พร้อมกับใช้พลังปราณทั้งหมดเพื่อหนีอย่างรวดเร็ว
หวังหลินรู้สึกได้ว่ามารร้ายเช่นเมิ่งหลังค่อมใฝ่หาเขาด้วยความเร็วสุดขีดแน่นอน
หลังหลินเดินทางอย่างรวดเร็วตลอดทาง ใบหน้าบูดบึ้งขณะที่คำนวณในใจ หากพวกเขาเดินทางด้วยความเร็วตอนนี้ หวังหลินสามารถมาถึงน้ำวนเพื่อเข้าสู่ดินแดนที่สี่ได้ก่อนที่เมิ่งหลังค่อมจะตามทัน
เพียงแค่นั้นมารร้ายเหมือนเมิ่งหลังค่อมได้ใช้วิธีประหลาดบางอย่างที่หวังหลินไม่รู้จัก เมิ่งหลังค่อมปกคลุมร่างกายด้วยแสงสีแดงโลหิตและความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า ขณะที่ระยะห่างระหว่างทั้งสองเข้าใกล้ขึ้น ความเร็วของเมิ่งหลังค่อมไม่เพียงไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น
หัวใจหวังหลินจมลงเมื่อตระหนักได้ว่าหากเดินทางต่อไป เมิ่งหลังค่อมจะจับเขาได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งก้านธูป
สำหรับเขาแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองก้านธูปเพื่อให้ถึงทางออก หวังหลินกวาดไปรอบๆด้วยสัมผัสวิญญาณ ใช้วิญญาณเร่ร่อนรอบๆเพื่อค้นหาพื้นที่อย่างรวดเร็ว ดวงตาจ้องเขม็งไปทิศทางหนึ่งขณะที่คิดจะเคลื่อนไหวอย่างกล้าๆ
หวังหลินลังเลเล็กน้อยจากนั้นเปลี่ยนทิศทางและหนีไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
จ้าวปิศาจหกปรารถนาหมดท่า ในบททดสอบที่สามเขาไม่กล้ากระจายสัมผัสวิญญาณออกไปไกล ดังนั้นจึงยังไม่พบทางออก หลังจากผ่านไปหลายปีนี้ เขามั่นใจว่าทางออกอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแน่นอน
ความจริงแล้วเขาพบว่านั่นเป็นทางออกเมื่อสองปีก่อน แม้จะมีสมบัติวิเศษแต่จำนวนของวิญญาณเร่ร่อนมาเกินกว่าที่เขาจะต่อกรได้ ดังนั้นจึงใช้เวลาที่ผ่านมาสองปีเพื่อล่อบางตัวออกมากำจัดเพื่อให้จำนวนลดลงก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ความเร็วนับว่าช้ามากแต่รับประกันได้ว่าสำเร็จ มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่เขาจะได้เข้าประตูดินแดนแห่งที่สี่และเคลื่อนย้ายไปสู่ร่างของเทพโบราณ
เขาพึ่งจะล่อวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากออกมาและกำลังจะทำลายพวกมันทั้งหมดโดยใช้ร่างกายของชายหนุ่มแต่ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทันที เมื่อไม่กล้ากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาไกล เขาจึงยังไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหนึ่งพันฟุต
จ้าวปิศาจหกปรารถนาสังเกตได้ว่ามีร่างหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาหาในระยะหนึ่งพันฟุต เขาตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นร่างคนผู้นั้นและจากนั้นยิ้มตะโกน “มันส่งตัวเองมาให้ข้า!”
หวังหลินจ้องจ้าวปิศาจหกปรารถนาอย่างเยือกเย็น แทนที่จะลดความเร็วลงแต่เพิ่มความเร็วขึ้น ในทันทีทันใดวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากปรากฎรอบหวังหลิน พวกมันอยู่รอบกายเขาราวกับผู้พิทักษ์
เมื่อจ้าวปิศาจหกปรารถนากำลังจะตอบโต้ เขาพลันหยุดกึกในทันทีพร้อมกับขมวดคิ้วขณะที่จ้องไปที่วิญญาณเร่ร่อนรอบกายหวังหลิน นั่นทำให้เขาสัมผัสความน่ากลัวในใจได้ อสูรประหลาดพวกนี้ถูกหวังหลินบังคับให้อารักขาและระมัดระวังโดยไม่ทำอันตรายและทั้งยังปกป้องด้วย เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจอย่างมาก
เขาไม่กล้าทำอะไรผลีผลามแต่จ้องหวังหลินอย่างเฉยเมย เขาอยากจะเห็นว่าเจ้าหนูบัดซบนี่ต้องการทำอะไร หวังหลินหยุดที่ขอบรัศมีระยะหนึ่งพันฟุตของจ้าวปิศาจหกปรารถนา เหตุผลที่หวังหลินนำวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดมาไว้รอบกายก็เพื่อเตือนจ้าวปิศาจหกปรารถนาไม่ให้ทำอะไรผลีผลาม
ข้อความที่หวังหลินส่งออกมาสำเร็จและจ้าวปิศาจหกปรารถนาไม่ทำอะไรสะเพร่า หวังหลินโล่งอกทันที แม้ว่าหวังหลินจะไม่กลัวจ้าวปิศาจหกปรารถนาที่มีวิญญาณเร่ร่อนรอบๆทั้งหมด แต่จ้าวปิศาจหกปรารถนามีสมบัติวิเศษที่แปลกประหลาดเกินไป หากเขาเริ่มต่อสู้จะต้องเสียเวลาและเมิ่งหลังค่อมยิ่งเข้ามาเร็วมาก
หวังหลินมองจ้าวปิศาจหกปรารถนาขณะที่ทำใบหน้าอึดอัด เขาลอบคำนวนเวลาอย่างเงียบๆ จ้าวปิศาจหกปรารถนาขมวดสายตา เขาไม่ได้มีความสามารถการควบคุมวิญญาณเร่ร่อนเหมือนหวังหลินดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามารร้ายกำลังพุ่งเข้าหาเขา เมื่อเขาเห็นหวังหลินมีใบหน้าลังเลขณะที่เขาเองมีข้อสงสัย จึงยิ้มอย่างเย็นชา
หากไม่มีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากรอบหวังหลิน เขาเข้าโจมตีหวังหลินไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากจึงถอนหายใจอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ข้าจะให้เจ้านับถึงสามให้หนีไป หนีให้ไกลเท่าที่เป็นไปได้”
หวังหลินลอบนับลมหายใจและเผยรอยยิ้มประหลาด เขาพึมพำ “ตอนนี้หล่ะ!” เขามองจ้าวปิศาจหกปรารถนาและพูดขึ้น “ขอบคุณ!”
หลังจากพูดจบ เขาพุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทันทีพร้อมกับฝูงวิญญาณเร่ร่อน
จ้าวปิศาจหกปรารถนาขมวดคิ้วขณะที่เหตุการณ์สะท้อนขึ้นมา ใบหน้าเขาซีดเผือด เขาเห็นอุกกาบาตสีแดงโลหิตกำลังพุ่งมาหาเขา ในพริบตามันมาถึงระยะหนึ่งพันฟุตแล้ว ร่างมารร้ายฉบับเมิ่งหลังค่อมเผยออก
“เจ้า…เจ้าคือเมิ่งหลังค่อมหรือ? เจ้า…เจ้ากินเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณไปแล้ว?” ดวงตาจ้าวปิศาจหกปรารถนาหดเล็ก เขาสังเกตได้ถึงแรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากเมิ่งหลังค่อมที่มีระดับขั้นตัดวิญญาณระดับปลายไปแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวจากขั้นเปลี่ยนวิญญาณ
มีทางเดียวที่จะบรรลุระดับฝึกตนนี้ได้คือการกินเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณ!
ทว่าจ้าวปิศาจหกปรารถนาเคลื่อนร่างชายหนุ่มไปด้านหน้าเขาและเปลี่ยนเป็นแนวนอน จ้องเมิ่งหลังค่อมขณะพูดขึ้น “มันไม่ใช่เพราะเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณ เจ้ากินอะไรถึงเปลี่ยนไปแบบนี้?!”
เมิ่งหลังค่อมจ้องจ้าวปิศาจหกปรารถนาด้วยดวงตากลมโต บุคคลเบื้องหน้าเขาช่างคุ้นเคยมาก ความจริงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้ ตอนที่เขาพบเจอจักรพรรดิโบราณ ตวนมู่และหวังฉิงเย่ ต่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยทั้งหมด ทว่าไม่ว่าเขาจะพยายามหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถจดจำสิ่งใดได้
เขาโยนความรู้สึกนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็วพลันยิ้มอย่างเหี้ยมโหด “นามของข้าไม่ใช่เมิ่งหลังค่อม แต่คือเทพมารตู่ซือ!”
ขณะที่เขากำลังพูดคุยพลันสะบัดหนามกระดูกบนแขนขวาไปที่มิติว่างเปล่าและสร้างรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้น ขณะที่รอยแยกนั้นปรากฎคลื่นแสงสีแดงพลันออกมา ในไม่ช้าร่างสีแดงสูงสิบฟุตปรากฎออกมาจากรอยแยก
“ข้าทิ้งคนผู้นี้ไว้ให้เจ้า ข้าจะตามเข้าไปหลังจากจัดการอีกคน!” เมิ่งหลังค่อมลอยห่างไปเมื่อเขาพูดจบ
จ้าวปิศาจหกปรารถนาเพ่งบุคคลเบื้องหน้าเขา พลันพึมพำกับตัวเอง “อาจารย์…”