231. ตำแหน่งของแคว้นจ้าว
หวังหลินพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเป็นเวลาสามวัน ระหว่างนี้ผู้คนหลายคนมาเยี่ยมหาเขา หวังหลินขจัดทัศนคติที่โดยปกติไม่แยแสทิ้งไปและออกไปรู้จักผู้คน
เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากเมืองนี้ พวกเขามาเพื่อเข้าร่วมในการแลกเปลี่ยนลับๆในครั้งนี้ การต่อสู้ของหวังหลินกับชายหัวล้านต่างตกอยู่ในความสนใจของทุกคน นอกจากนั้นความแข็งแกร่งคือสิ่งสำคัญในทะเลปิศาจและหวังหลินสามารถเอาชนะชายหัวล้านได้อย่างง่ายๆ ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นได้ทำให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทุกคนมาเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัว
สามวันผ่านไปและถึงวันที่มีการแลกเลี่ยนลึกลับ เช้านี้เซียนขั้นแกนลมปราณคนหนึ่งออกมาและเชิญชวนหวังหลินอย่างสุภาพ จากนั้นเขาก็นำหวังหลินไปที่ร้าน
หลังชายชราจากร้านค้าเห็นหวังหลิน เขามีท่าทีสุภาพอย่างมาก เมื่อพาหวังหลินไปที่กำแพงหนึ่งจากนั้นกดมันไม่กี่ครั้ง ระลอกคลื่นเกิดขึ้นบนกำแพงราวกับสายน้ำสงบนิ่งมีหินหล่นเข้าไป
หลังทำทั้งหมดนั้นเขานำเสื้อคลุมออกมาและยื่นให้หวังหลิน
หวังหลินยืนอยู่แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไป เขาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปข้างในและพบว่ามีพื้นที่ว่างถูกแบ่งไว้ข้างในเป็นห้องสวยงาม มีเซียนจำนวนเจ็ดถึงแปดคนอยู่ข้างในและทั้งหมดสวมชุดคลุมเหมือนกัน บางคนนั่งอยู่เฉยๆขณะที่คนอื่นพูดคุยกันเอง
เมื่อหวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป มีเพียงชายวัยกลางคนดูรอบรู้พลันลืมตาขึ้น ดูเหมือนไม่มีใครสังเกตสัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้ อีกทั้งชายผู้รอบรู้คนนี้ยังเป็นคนที่ไม่ได้สวมชุดคลุมด้วย
ใบหน้าชายผู้รอบรู้ยังคงเดิมแต่แฝงแววตาประหลาดใจ
หวังหลินตกใจ เมื่อเขาตรวจสอบทุกคนด้วยสัมผัสวิญญาณจึงพบว่าในปัจจุบันทุกคนมีระดับชั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นยกเว้นชายผู้รอบรู้ แม้ว่าเขาจะดูเหมือนระดับต้น ทว่าในความจริงเขามีระดับปลายสูงสุดแล้วและอีกเพียงก้าวเดียวจะถึงขั้นตัดวิญญาณ
หวังหลินไม่รู้ว่าคนผู้นี้ฝึกฝนด้วยการบ่มเพาะแบบไหนแต่วิญญาณเซียนของเขาแข็งแกร่งทรงพลังจนสามารถตรวจจับหวังหลินได้
หลังถอนสัมผัสวิญญาณออก หวังหลินรับชุดคลุมและใส่ไว้ จากนั้นเขาเดินเข้าไปในกำแพง เมื่อปรากฎตัวในพื้นที่ใหม่เขาพบโต๊ะตัวหนึ่งพลางนั่งลงและหลับตา
การกระทำของเขานี้ทำให้เซียนสองสามคนที่ต้องการพูดด้วยเปลี่ยนความคิดทันที
แม้ว่าดวงตาหวังหลินจะปิดแต่สัมผัสวิญญาณของเขายังจับตาใกล้ๆชายผู้รอบรู้ ตั้งแต่ที่หวังหลินเดินเข้ามาในห้อง ชายผู้รอบรู้คนนี้จ้องมองเขาตลอดเวลา
หลังจากเวลาผ่านไปจึงมีเหล่าเซียนเข้ามามากขึ้น ทั้งหมดสวมชุดคลุมเพื่อซ่อนใบหน้าตัวเอง บางคนกระทั่งล้อมรอบด้วยหมอกสีดำ
หลังเห็นสิ่งนี้ หวังหลินจึงตระหนักได้ว่าคนพวกนี้ไม่ต้องการให้ใครจดจำได้ หากเปิดเผยตัวตนว่าเป็นใครเช่นนั้นเมื่อพวกเขาแสดงสมบัติของตนเอง ตอนนั้นนับว่ามีปัญหาอย่างมาก
ทว่ากลับมีเซียนหลายคนที่นี่ไม่ซ่อนใบหน้าตนเอง ซึ่งดูเหมือนพวกเขามั่นในใจตัวเองมากและไม่กลัวการเปิดเผยตัวตน
แต่หวังหลินยังคงสงสัยในใจ มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมารวบรวมกันที่นี่ได้อย่างไร ในร้านเล็กๆในเมืองเหลียนโม่นี่นะ?
เขาลอบมองลอบๆและพบว่ามีโต๊ะมากกว่าสามสิบโต๊ะ เป็นไปได้ว่ามีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมากกว่าสามสิบคนเข้าร่วมในการแลกเปลี่ยนลับนี่หรือ?
แม้ว่าเขาจะมีปัญหาบางอย่างในใจ แต่ใบหน้ายังสงบนิ่งสงวนท่าทีไว้
หวังหลินรอไปอีกเล็กน้อย เมื่อเวลาผ่านไปและไม่มีเซียนคนใดมาถึงอีก ชายชราที่นั่งอยู่เบื้องหน้ายืนขึ้น เขากระแอมคราหนึ่งและพูด “การแลกเปลี่ยนลับในครั้งนี้มีสามเมืองเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากกว่าปกติ ตั้งแต่ที่ทุกคนที่มองหาบางอย่าง ข้าก็เชื่อว่าท่านจะพบเจอสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าจะเริ่มคนแรก” เช่นนั้นเขานำกระเป๋าออกมาและเทแกนพลังและสมบัติวิเศษหลายอย่าง
สมบัติพวกนี้ปลดปล่อยพลังปราณจำนวนมากออกมา แสดงให้เห็นว่าพวกมันมีพลังแค่ไหน
เขาพูดอย่างช้าๆ “แกนพลังพวกนี้มาจากอสูรวิญญาณระดับกลาง อย่างที่รู้กันว่าอสูรพวกนี้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย สมบัติพวกนี้ทั้งหมดสร้างมาจากกระดูกของอสูรวิญญาณระดับกลางโดยเฉพาะกระดิ่งนี้ ข้าขอแลกหินวิญญาณกับของพวกนี้”
ของเหล่านี้ลอยขึ้นเบื้องหน้าชายชรา หากใครคนใดสนใจเพียงสะบัดแขนและของจะลอยเข้าไปสู่มือทันที ไม่มีใครกลัวว่าการแลกเปลี่ยนลับนี้จะถูกขโมย นอกจากนั้นห้องนี้เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์อันทรงพลัง หากใครกล้าขโมยและวิ่งหนีไป พวกเขาคงมองหาความตายเท่านั้น
หวังหลินได้รับข้อมูลนี้จากผู้คนที่เขาพูดคุยระหว่างสามวัน เมื่อได้ยินว่าการแลกเปลี่ยนนี้มีเจ้าภาพคือเมืองสามเมือง เขาเข้าใจได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นมิติพิเศษทันที ต้องมีร้านหลายร้านกระจายตลอดสามเมืองและเหล่าเซียนเพียงเลือกหนึ่งในนั้นเพื่อเข้ามาที่นี่
ซึ่งทำให้มีการรับประกันความปลอดภัยของผู้เข้าร่วม
หลังรอคอยเป็นเวลานาน มีเซียนคนหนึ่งแลกหินวิญญาณกับกระดิ่ง ไม่มีใครเสนออะไรอีก ไม่นานนักมันจึงเป็นตาของคนถัดไป
สมบัติวิเศษหลายอย่าง เม็ดยา และม้วนคัมภีร์ต่างถูกแสดงออกมา ทั้งหมดต่างมีราคาสูงซึ่งแสดงให้เห็นว่าของพวกนี้มีคุณค่าแค่ไหนหากเอามาขายที่นี่
ของทุกชิ้นเหล่านี้สามารถวางขายที่ชั้นสูงสุดของศาลาหลอมสมบัติได้และขายด้วยราคาทะลุฟ้า เซียนส่วนใหญ่ที่นี่เพียงแลกเปลี่ยน ส่วนใหญ่ที่พวกเขาต้องการคือเม็ดยาและวัตถุดิบสมบัติ แน่นอนว่าหากเป็นเม็ดยาและสมบัติที่สำเร็จแล้วนับว่าดีมาก หลังจากนั้นจึงเป็นหินวิญญาณ
หากเป็นก่อนที่สายหมอกรอบทะเลปิศาจจะหายไป เมื่อนั้นจะไม่มีใครใช้หินวิญญาณมากนัก คุณค่าของมันต่ำมากซึ่งบางครั้งใช้เฉพาะจำเป็นต้องฝึกฝนเท่านั้น
หลังสายหมอกหายไปและอสูรเริ่มปกคลุมในทะเลปิศาจ ผู้นคนเริ่มใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมากขึ้นและมากขึ้น
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมีสองแบบ หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณซึ่งสร้างขึ้นจากเซียนโบราณ หลงเหลือเพียงไม่กี่แห่งและส่วนใหญ่เสียหาย ดังนั้นจึงมีไม่กี่อย่างที่ใช้ได้ ระยะทางขึ้นอยู่กับจำนวนหินพลังปราณที่ใช้ไป พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายคนได้อย่างน้อยหนึ่งล้านลี้ ทว่าการใช้มันต้องใช้หินวิญญาณระดับสูง ดังนั้นจึงไม่มีใครในทะเลปิศาจสามารถใช้มันได้
นอกจากนั้นหินวิญญาณระดับสูงเกือบสูญสิ้นไปหมดแล้ว แม้บางคนจะมีแต่น้อยคนนักจะใชมันเพื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายครั้งเดียว
อีกรูปแบบหนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายตามปกติ ราคามีช่วงตั้งแต่หินวิญญาณระดับต่ำสิบก้อนไปจนถึงอย่างน้อยหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยก้อน ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปได้หลายร้อยลี้ แต่เพราะสิ้นเปลืองจึงแนะนำว่าให้ใช้วิธีการเดินทางไปกับเหล่าเซียนจะดีกว่า
แต่จึงเป็นผลให้การใช้จ่ายหินวิญญาณเพิ่มขึ้นและมันจึงมีมูลค่า
หลังเกิดการแลกเปลี่ยนไปจำนวนหนึ่งก็ถึงตาของเซียนที่สวมชุดเสื้อกันฝน ศีรษะลดต่ำลงขณะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าไม่มีสิ่งใดมาขาย มีเพียงข้อความโบราณบางส่วน หากสหายเซียนคนใดสนใจ ท่านสามารถแลกเปลี่ยนมันได้แต่เนื่องจากลักษณะของข้อความนี้ ข้าจึงยอมให้ท่านมองดูใกล้ๆเท่านั้น” เช่นนั้นเขาตบกระเป๋าและหินหยกจำนวนเจ็ดถึงแปดชิ้นลอยออกมา
สีของหยกพวกนี้จางไปมากแล้วและบางส่วนมีรอยร้าว แต่ละชิ้นปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณแสดงให้เห็นว่ามันเก่าแก่แค่ไหน
รอบหินหยกนี้มีโล่แสงสีเขียว นี่เป็นวิชาหนึ่งที่ใช้ป้องกันคนจากการตรวจสอบข้างในอย่างชัดเจน
“นี่คือสมุดภาพอสูรโบราณนี่คือข้อความลับของโลกเซียนโบราณนี่เป็นสูตรการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณสิ่งนี้…ข้าเพียงต้องการแกนของอสูรวิญญาณระดับกลาง ห้าแกนพลังสำหรับของพวกนี้” เช่นนั้นเขารอให้ผู้คนสอบถามเกี่ยวกับข้อความ
ผู้คนทั้งหมดในห้องขมวดคิ้ว หยกห้าชิ้นนี้สำหรับแกนพลังอสูรระดับกลางยังนับว่าไม่คุ้มค่าจริงๆ หรือว่าเขาพูดกลับด้านกัน?
ความจริงชายในเสื้อกันฝนนี้ก็ถอนหายใจเช่นกัน เขาไม่มีสิ่งใดจะขายนอกจากหินหยกพวกนี้ เขาพบพวกมันในค้ำของเซียนโบราณผู้หนึ่ง เซียนโบราณคนนี้จนอย่างมากและมีเพียงหินหยกพวกนี้เท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองขายพวกมัน ตอนแรกเขาไม่ต้องการตั้งราคาสูงเกินไปแต่หลังจากเมินเฉยการแลกเปลี่ยนหลายอย่างของคนอื่น เขาจึงตัดสินใจตั้งราคาสูงไว้ เขาคิดว่าของพวกนี้ไร้ประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่และสำหรับคนที่ต้องการมันจริงๆเท่านั้นถึงจะซื้อไม่ว่ามันจะราคาเท่าไหร่ก็ตาม
ความจริงเขาเดาถูกแล้ว
เมื่อหวังหลินได้ยินเกี่ยวกับหยกการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ หัวใจเขาเริ่มต้นรัว เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถหาหยกเกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายเจอหลังจากที่หามานาน
โดยไม่ได้เอ่ยอันใด หวังหลินสะบัดแขนขวาและโล่รอบหินหยกแตกสลาย หวังหลินพลางมองมันเข้าไป
ชายสวมเสื้อกันฝนตกตะลึงและใบหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขารู้ว่าแสงสีเขียวไม่แข็งแกร่งแต่การทำลายมันอย่างง่ายดายไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขาเชื่อว่าแม้จะเป็นขั้นกลางก็ไม่สามารถทำลายได้อย่างง่ายๆ ซึ่งอธิบายได้ว่าคนผู้นี้มีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย
หลังรับหยกมา หวังหลินตรวจสอบมันด้วยสัมผัสวิญญาณและเก็บมันไป ในเวลาเดียวกันเขาก็นำแกนอสูรวิญญาณระดับกลางออกมา
ชายสวมเสื้อกันฝนรับแกนพลังมาอย่างรวดเร็วและถอนหายใจ เขาคิดเรื่องเกี่ยวกับการทำลายโล่แสงสีเขียว หลังรอคอยอีกชั่วขณะและเห็นว่าไม่มีใครสนใจแล้วเขาจึงเก็บหินหยกกลับไป
เมื่อหวังหลินลงมือ เซียนคนอื่อีกสามคนเริ่มให้ความสนใจเขา หนึ่งในนั้นคือชายผู้รอบรู้ อีกสองคนสวมชุดคลุม ดวงตาพวกเขาสว่างขึ้นเมื่อเงยศีรษะ
เมื่อเสียงเงียบกริบผ่านไป เซียนอีกคนเดินขึ้นมาแสดงของตัวเอง
ในไม่ช้าก็ถึงตาของหวังหลิน ขณะนี้เองทุกคนเงียบเสียงและหันมามองหวังหลิน การกระทำของหวังหลินเผยให้เห็นว่าระดับฝึกฝนของเขาไม่ได้ง่ายดายนัก
เซียนพวกนี้อยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าหวังหลินจะขายอะไร
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย หวังหลินตบกระเป๋า แกนอสูรระดับกลางหลายชิ้นและสมบัติที่เขาไม่เคยใช้ลอยออกมา
เมื่อเห็นว่าหวังหลินเพียงนำของที่ดูธรรมดามากออกมา พวกเขาต่างผิดหวังมาก ทว่าใบหน้าแต่ละคนยังปกติดี นอกจากนี้พวกเขายังมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิด การฝึกฝนเป็นเวลานานต่างมีทักษะที่ซ่อนอาการเป็นอย่างดี
หวังหลินพูเล็กน้อย “ข้าต้องการแลกเปลี่ยนแผนที่ของดาวเคราะห์ซูซาคุ ยิ่งสมบูรณ์เท่าไหร่ยิ่งดี”
ขณะที่ประโยคนี้ปล่อยออกมา ใบหน้าของเซียนทุกคนประหลาดใจ หลังผ่านไปนานหนึ่งในนั้นโพล่งขึ้น “สหายเซียนด้วยแค่ของพวกนี้มันยากนักที่จะแลกแผนที่ได้ ข้ากลัวว่าท่านไม่อาจแลกกระทั่งแผนที่ของทะเลปิศาจได้เลย”
หวังหลินกล่าวอย่างสงบนิ่ง “โอ้? เช่นนั้นข้าต้องทำสิ่งใดเพื่อแลกแผนที่ได้เล่า?”
ชายผู้รอบรู้ยิ้มอย่างอบอุ่นและเอ่ยขึ้น “สหายเซียนต้องเป็นเด็กใหม่ต่อทะเลปิศาจเป็นแน่ เช่นนั้นให้ข้าอธิบายก่อน ไม่เพียงแต่ทะเลปิศาจ แต่สำหรับแคว้นใดก็ตาม แผนที่เป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนั้นดาวเคราะห์ซูซาคุนับว่ากว้างใหญ่เกินไป หากท่านไม่มีแผนที่ท่านก็ไม่รู้จะไปที่ไหน”
“สำหรับทะเลปิศาจแล้วมันยิ่งสำคัญมาก การทำสำเนาแผนที่ทะเลปิศาจมีค่าใช้จ่ายหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งแสนก้อนและไม่มีใครใช้หินวิญญาณระดับต่ำและระดับกลาง ด้วยเพียงสมบัติของสหายเซียน มันนับว่าไม่เพียงพอ”
“สำหรับแผนที่ของดาวเคราะห์ซูซาคุนั้น ไม่ใช่สิ่งของคนเดียวจะถือครองได้ หากสหายเซียนต้องการข้ามีแผนที่ของทะเลปิศาจ ทว่าเพียงหินระดับต่ำหนึ่งก้อนก็พอเพราะมีพื้นที่ตกสำรวจจำนวนมาก”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและถามขึ้น “สหายเซียนมีแผนที่กว้างแบบทั่วไปของแคว้นรอบๆทะเลปิศาจหรือไม่?”
ชายผู้รอบรู้ยิ้มอย่างสุขุมขณะที่เขาส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีแผนที่เช่นนั้น”
เซียนคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ในมุมห้องพลางพูดขึ้นทันที “ข้ามีหนึ่งแผ่น!” เขาเป็นเซียนที่ดวงตาสว่างขึ้นตอนที่หวังหลินลงมือก่อนหน้านี้
ดวงตาหวังหลินตกลงคนผู้นั้น
เซียนในชุดคลุมพูดอย่างเชื่องช้า “แผนที่ระดับสูงของทะเลปิศาจพร้อมกับทวีปสี่แห่งล้อมรอบ รวมแล้ว 148 แคว้น ท่านจะเสนอราคาเท่าไหร่?”
เมื่อประโยคนั้นเปล่งออกมา เซียนทั้งหมดหันมามองและสายตาสว่างขึ้น แผนที่ระดับสูงนับเป็นของหายากมาก แต่นี่กระทั่งรวมกับทวีปรอบๆและแคว้น 148 แคว้น นั่นเกือบจะเป็นพื้นที่หนึ่งในสี่ของดาวเคราะห์ซูซาคุ!
ราคาของแผนที่นับว่าสูงเกินจินตนาการมาก
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย ตอนนี้เขามีแผนที่สองแผ่นครอบครองอยู่ หนึ่งในนั้นคือที่เขาได้รับมาจากฉิวซื่อผิงและอีกหนึ่งเป็นที่เขาได้รับมาจากเจดีย์เทพสงคราม
แผนที่จากเจดีย์เทพสงครามมีเพียงรายละเอียดเกี่ยวกับแคว้นและพื้นที่รอบๆไปจนถึงรอบนอกทะเลปิศาจ ไกลกว่านั้นเช่นชั้นในของทะเลปิศาจนับว่าคลุมเครือมากและค่ายกลเคลื่อนย้ายบางแห่งไม่ถูกต้อง
สำหรับพื้นที่ข้ามทะเลปิศาจไป ไม่มีแม้แต่เครื่องหมายคลุมเครือ มีเพียงระยะภูเขาเท่านั้น ตอนที่หวังหลินวิเคราะห์แผนที่ เขาเชื่อว่าแคว้นจ้าวอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่มันเป็นเพียงการคาดเดา จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้เคลื่อนไหวทันทีแต่ต้องการค้นหาแผนที่ที่สมบูรณ์กว่านี้
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและถามขึ้น “ท่านต้องการสิ่งใด?”
เซียนคนนั้นส่งข้อความผ่านสัมผัสวิญญาณ “สหายเซียน หากท่านไม่รีบ เรามาคุยกันส่วนตัวหลังการแลกเปลี่ยนจะว่าอย่างไร?”
หวังหลินมองไปที่คนผู้นั้นและพยักหน้า
ทุกคนรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่ได้ให้ความสนใจเพิ่ม ทว่าทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นว่าหวังหลินจะใช้อะไรเพื่อแลกเปลี่ยนกับของล้ำค่าเช่นนั้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา การแลกปลี่ยนลับครั้งนี้จบลงและทุกคนจากไป หวังหลินออกมาจากห้องและถอดเสื้อคลุม ผู้ดูแลสาวสวยคนหนึ่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
หลังเห็นหวังหลิน นางพูดอย่างเคารพ “ผู้อาวุโส อาจารย์ของข้ามีนัดกับท่าน ดังนั้นท่านจึงบอกให้ข้าพาท่านไปหา”
หัวใจหวังหลินสั่นสะท้านและยิ่งตื่นตัวแต่ใบหน้าสงบนิ่ง เขามองที่หญิงสาว นางไม่บริสุทธิ์และมีขั้นเพียงพื้นฐานลมปราณระดับกลาง ทว่าพลังปราณของนางอ่อนแอมาก ชัดเจนว่านางผ่านมาถึงระดับนี้ผ่านการใช้ยาจำนวนมาก
จิตใจหวังหลินได้คาดเดาสถานการณ์บางอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว
ภายใต้การนำทางของหญิงสาว หวังหลินมาถึงที่พักไม่สะดุดตาใจกลางเมือง นางหยุดลงนอกประตูและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสโปรดเข้าไป ผู้น้อยจะยืนป้องกันข้างนอกนี้”
หวังหลินไม่ได้พูดอะไรที่ไร้จุดหมายและเดินเข้าไปข้างใน เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกมาตรวจดูข้างในเรียบร้อยแล้ว
เขาเห็นชายชราคนหนึ่งตะขอติดจมูดและสวมเสื้อสีแดง เขานั่งอยู่พร้อมกับถ้วยชาสีเขียวด้านข้าง เมื่อชายชราเห็นหวังหลินเข้ามา เขาหัวเราะ “มานั่งสิสหายเซียน นี่เป็นชาคุณภาพสูงของฮัวเฝิน ข้าสร้างชานี้ขึ้นเพื่อความบันเทิงของสหายโดยเฉพาะ”
หวังหลินคำนับและนั่งตรงข้ามชายชรา เขาไม่ได้มองชาแต่เริ่มตรวจสอบรอบด้าน หวังหลินสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าระดับฝึกฝนของชายชรามีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง
ชายชราไม่คิดมากและรินน้ำชาสองแก้วโดยเฉพาะ เขาจิบชาของตัวเองและกล่าวขึ้น “สหายเซียนนามว่ากะไร?”
หวังหลินยิ้ม “หวังหลิน!”
ชายชราวางแก้วของตนเองและยิ้มอย่างอ่อนโยน “สหายหวัง ชื่ของข้าคือ โจวหวู่เต๋อ”
หวังหลินตกตะลึงเมื่อมองชายชรา
ชายชราเห็นท่าทีของหวังหลินและถามขึ้น “สหายหวังเคยได้ยินชื่อข้าด้วยหรือ?”
หวังหลินส่ายศีรษะและพูดอย่างสงบนิ่ง “ไม่เคย เพียงแต่ท่านมีชื่อเดียวกับสหายของข้าเท่านั้น ข้าจึงตกใจนิดหน่อย”
ชายชราระเบิดเสียงหัวเราะ แต่ลอบคิด ‘เขาหมายถึงอะไร? หรือเขาจงใจทำท่าทางเช่นนี้เพื่อก่อกวนข้า?’
ชายชราไม่สามารถเดาออกว่าหวังหลินกำลังคิดอะไรอยู่แต่เขาหัวเราะและกล่าวว่า “หากมีโอกาส ข้าอยากจะเห็นคนผู้นี้เสียจริง”
เช่นนั้นเขาตบกระเป๋าและนำเอากระเป๋าออกมา “สหายหวัง นี่คือแผนที่ที่ข้าพูดถึง ข้าจะให้เจ้าเห็น หลังเจ้าตรวจสอบและมั่นใจว่าไม่มีปัญหาค่อยมาพูดถึงการตกลงของเรา”
หินหยกปลดปล่อยแสงอ่อนโยนออกมาขณะที่ชายชราส่งพลังปราณเล็กน้อยเข้าไป ในทันทีนั้นหินหยกแสดงเป็นภาพแผนที่ขนาดใหญ่เบื้องหน้าหวังหลิน
แผนที่นี้มีรายละเอียดเยอะมากแม้กระทั่งรายละเอียดของระดับความเสียหายของค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ อีกทั้งมันยังมีรายละเอียดของสถานการณ์พื้นที่รอบๆและกระทั่งชื่อของเซียนทั้งหมดขั้นวิญญาณเซียนหรือสูงกว่าบริเวณนั้น
ไม่ได้รวมที่จุดไหนอย่างเดียวแต่มันมีกระทั่งรายละเอียดของค่ายกลโบราณที่เชื่อมไปที่จุดไหน เพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้ราคาของแผนที่สูงขึ้นเหมือนจรวดแล้ว
สิ่งที่ทำให้หวังหลินตื่นเต้นก็คือมีกระทั่งรายละเอียดของความแข็งแกร่งแต่ละแคว้น มีกระทั่งบันทึกเหมืองแร่บางส่วนและรังของอสูรป่า ทำให้แผนที่นี้มีคุณค่าเกินจินตนาการ
สิ่งทั้งหมดนี้ยังไม่ล่อใจหวังหลินเพียงพอ จากนั้นหวังหลินตกใจจนอึ้งไป รอบๆทะเลปิศาจไม่ได้มีสองทวีปเหมือนแผนที่ที่เขาได้มาจากเจดีย์เทพสงคราม แต่มีสี่ทวีป
บนแผนที่แสดงทวีปรอบทะเลปิศาจจำนวนสี่ทวีปอย่างชัดเจน บนทวีปด้านซ้ายเขาเห็นคำพูดเล็กๆว่า ‘จ้าว’
ชายชราชี้ไปตำแหน่งบนแผนที่อย่างลวกๆ แผนที่ทั้งผืนหายวับและแสดงพื้นที่ตำแหน่งที่เขาชี้ไป ทั้งแผนที่ดูเหมือนกับคนกำลังมองดูจุดนั้นด้วยภาพมุมสูง
จากนั้นชายชราสะบัดแขนขวาและแผนที่หายไป เขาเก็บหินหยกกลับใส่กระเป๋าและจ้องหวังหลิน
หวังหลินมองชายชราด้วยแววตาสงบนิ่ง เขามีแรงกระตุ้นให้สังหารคนผู้นี้เรียบร้อย ตราบใดที่สังหาร หวังหลินสามารถได้หรับหินหยกและกลับไปแคว้นจ้าวได้อย่างรวดเร็ว
ชายชราก้าวถอยหลังสองสามก้าวทันที “สหายเซียน หินหยกนี้เก่าแก่มากแล้วและแตกหักได้ง่ายๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มันแตกสลายข้าจึงเชื่อมต่อมันด้วยสัมผัสวิญญาณของข้าไปแล้ว”
หวังหลินพูดขึ้นด้วยแววตาสงบนิ่ง “ท่านต้องการอะไร?”
ชายชรากัดฟันแน่นและเอ่ยออกมา “ตราบใดที่ท่านสังหารคนผู้หนึ่งให้ข้า ข้าจะให้หินหยกนี้แก่ท่าน”
แววตาเยือกเย็นแล่นผ่านสายตาหวังหลินพร้อมกับเขาถามขึ้น “ระดับฝึกตนอะไร?”
ชายชรารีบพูด “วิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย อีกครึ่งก้าวเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณ!”
หวังหลินยืนขึ้น “ตอนนี้หรือ? นำทางไป!”
ชายชราตกตะลึง เขาลังเลเล็กน้อยและพูดขึ้น “ตกลง สหายหวัง ตามมา”
ในพริบตาทั้งสองออกจากเมืองเหลียนโม่ ห่างไปสามพันลี้จากตัวเมืองมีแอ่งน้ำหนึ่ง ทั้งสองคนมาถึงที่นี่ในไม่นานนัก หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกไปและลอบเหยียดยิ้มในใจ เขาตระหนักได้แล้วว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ชายชราดูเหมือนจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี สตรีผู้ดูแลที่หวังหลินเจอเดินขึ้นมาหาชายชราทันที เรื่องทั้งหมดนี้มีแผนการถูกวางไว้เบื้องหลังแน่นอน
หวังหลินตั้งใจใช้เพื่อนที่ชื่อเดียวกันเพื่อทดสอบชายชราและด้วยสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังของหวังหลินจึงจับอารมณ์สั่นไหวของชายชราได้เล็กน้อย เมื่อมองเรื่องราวตอนนี้มันตรงกับที่เขาคาดเดาไว้จริงๆ
ภายใต้แอ่งน้ำมีค่ายหลหนึ่งซ่อนเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไว้สี่คน
หวังหลินกล่าวอย่างสงบนิ่ง “น่าเศร้านักที่ชายหัวล้านตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นท่านทั้งหกจะได้ใช้ค่ายกลสังหารไร้ทางหลบหนีได้อย่างสมบูรณ์แท้ๆ”
ใบหน้าชายจมูกเจาะตะขอไว้เปลี่ยนไปและขณะนั้นเองที่ขอบเขตจวี่ของหวังหลินเคลื่อนไหว ชายชราแม้กระทั่งไม่มีเวลาทำลายหินหยก เขาเห็นแต่เพียงแสงสีแดงเบื้องหน้า