236. พันสังหาร
หุบเขาหวู่เฟิงเป็นหนึ่งในสำนักมารของแคว้นจ้าวซึ่งเป็นสำนักยิ่งใหญ่เมื่อสี่ร้อยปีก่อนแต่ค่อยๆตกต่ำลงหลังจากนั้นมา
เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่ไม่อาจทะลวงผ่านได้ แปลว่าอายุขัยจึงไม่สามารถขยายออกได้และไม่มีใครหนีพ้นวัฎจักรสังขารพ้น
เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้สำนักที่เคยยิ่งใหญ่ค่อยๆถูกปฏิเสธและเกิดสำนักซวนต้าวที่แข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นหุบเขาหวู่เฟิงจึงตกลงเป็นสำนักอันดับสอง
การถดถอยของหุบเขาหวู่เฟิงทำให้ความปรารถนาของเถิงฮว่าหยวนดั่งเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาค่อยๆส่งคนของตระกูลเถิงเข้าสู่หุบเขาหวู่เฟิงมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ บรรพชนของหุบเขาหวู่เฟิงรู้เรื่องนี้ดีแต่เพราะเถิงฮว่าหยวนแข็งแกร่งมาก พวกเขาจึงไม่อาจทำอันใดได้
กล่าวได้ว่าเถิงฮว่าหยวนเป็นผู้อาวุโสของหุบเขาหวู่เฟิงก็ไม่ผิดนัก ด้วยวิธีนี้สำนักอื่นจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ขณะที่นับว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาภายในของหุบเขาหวู่เฟิง
จนถึงตอนนี้มีคนของตระกูลเถิงอยู่ในหุบเขาหวู่เฟิงจำนวน 93 คนพร้อมกับถือครองตำแหน่งสูงๆในสำนัก มีสามคนได้ตำแหน่งสูงๆ คนที่โดดเด่นที่สุดคือคนรุ่นที่ห้านามว่าเถิงเก๋า เขาได้เป็นผู้แข่งขันในตำแหน่งจ้าวสำนักคนต่อไป
เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกสองคนต่างทำอะไรไม่ถูกกับการกระทำของเถิงฮว่าหยวน พวกเขาเพียงแกล้งทำว่าไม่มีอะไรผิดพลาดขณะที่มักจะปิดด่านฝึกตนเสมอเพื่อทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นไปสู่ระดับกลางและเพื่อเพิ่มอายุขัยของตนเอง
นอกจากนี้ ในทุกปีตระกูลเถิงจะส่งของขวัญเช่นสมุนไพรวิญญาณและเม็ดยามาให้ ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขามีเหตุผลทำตาบอดมากกว่าเดิมและไม่เหมือนว่าพวกเขาจะสามารถต่อต้านเถิงฮว่าหยวนได้
กล่าวได้ว่าหุบเขาหวู่เฟิงกลายเป็นสำนักส่วนตัวของตระกูลเถิงไปแล้ว
ตอนที่เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกต่างมีผู้คนคัดค้าน คนของหุบเขาหวู่เฟิงออกไปและส่งเสียงแสดงความกังวล แต่หลังผ่านเรื่องนี้มาหลายร้อยปีกลับไม่มีใครคัดค้านและกระทั่งศิษย์ของหุบเขาหวู่เฟิงก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเถิง
หลังจากนั้นหลายร้อยปีได้เปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างไปมากและศิษย์ปัจจุบันของหุบเขาหวู่เฟิงตอนนี้ต่างเป็นรุ่นใหม่ที่ยอมรับเรื่องราวที่ผ่านมาได้แล้ว
หวังหลินยืนอยู่บนหัวอสูรยุงและสัมผัสจับไปบนผู้คนในหุบเขาหวู่เฟิง เบื้องหลังเขาเป็นธงมังกรพร้อมกับร่างเจ็ดร่างม้วนจนเป็นเหมือนมัมมี่ภายใต้ลมกรรโชกอันรุนแรง
หวังหลินมาถึงนอกหุบเขาหวู่เฟิงด้วยจิตสังหารอันล้นทะลัก
แม้ว่าหุบเขาหวู่เฟิงจะถูกเรียกว่าเป็นหุบเขาแต่มันยังเป็นภูเขาลูกหนึ่ง เทือกเขาถูกเรียกกันว่าภูเขาห้ายอดเป็นรูปร่างเหมือนนิ้วมือห้านิ้วออกมาจากพื้นดิน
หุบเขาหวู่เฟิงตั้งอยู่ในเทือกเขาเหล่านี้ สำนักหลักอยู่ในภูเขาตรงกลางขณะที่ภูเขาอีกสี่แห่งคือสำนักสาขาทั้งหมด
หลายปีก่อนตอนที่หุบเขาอยู่เฟิงอยู่ที่ยอด ภูเขาทั้งห้าลูกเต็มไปด้วยพลังปราณ มีเหล่าเซียนหลายพันคนในหุบเขาหวู่เฟิงที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล
แต่ตอนนี้เทือกเขาแห้งแล้งอย่างมากและพลังปราณนับว่าขาดแคลน มีเซียนไม่ถึงพันคนในสำนักและหลายคนต่างเป็นศิษย์ใหม่ซึ่งเพียงแค่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับหนึ่งหรือระดับสองเท่านั้น
หวังหลินมาถึงภูเขาโดยการขี่อสูรยุง ดูเหมือนมีใครรับรู้การคงอยู่ของเขาได้ ทันใดนั้นม่านแสงสีฟ้าปรากฎเพื่อกั้นหวังหลิน ในเวลาเดียวกันจิตสังหารหนึ่งออกมาจากแต่ละยอดภูเขา มีชายห้าคนยืนอยู่แต่ละยอดและมีกระบี่สีฟ้า แดง ม่วง เหลืองและขาวลอยเหนือศีรษะแต่ละคนตามลำดับ
คลื่นพลังปราณไร้ขอบเขตออกมาจากภูเขาและเข้าสู่ทั้งห้าคน หลังจากนั้นพลังปราณเข้าสู่กระบี่เหินทำให้พวกเขาทรงพลังยิ่งขึ้น
หวังหลินเยาะเย้ย ทั้งห้าคนทั้งหมดเป็นคนของตระกูลเถิง ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาเตรียมการล่วงหน้าจากคำเตือนของชายชราตระกูลเถิงที่สำนักล่าสุด
เรื่องนี้นับว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้และหวังหลินไม่ได้พยายามจะเก็บความลับไว้อยู่แล้ว ด้วยระดับฝึกฝนของชายชรานั้น หวังหลินสามารถสังหารเขาได้ง่ายๆก่อนที่จะส่งคำเตือนออกไปอยู่แล้ว
ทว่านี่เป็นสิ่งที่หวังหลินต้องการ เขาต้องการให้ทั้งแคว้นจ้าวรู้ว่าเขากำลังกวาดล้างตระกูลเถิง การแก้แค้นของเขาไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็นความลับ เขาจะจุดเปลวไฟข้ามผ่านแคว้นเพราะตอนนี้เขามีพลังจะทำเช่นนั้น
หัวใจของคนตระกูลเถิงทั้งห้าคนตกอยู่ในความหม่นหมองอย่างมาก พวกเขาเปิดค่ายกลอันยิ่งใหญ่เพราะได้รับคำเตือนจากเถิงเก๋าว่ามีศัตรูทรงพลังคนหนึ่งกำลังมาที่นี่ แม้พวกเขาจะเปิดใช้งานค่ายกลแล้ว ทั้งห้าคนต่างไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแม้แต่น้อยและรู้สึกโกรธในใจแทน
ที่พวกเขาโกรธเกรี้ยวเป็นเพราะเห็นร่างทั้งเจ็ดถูกหุ้มไว้กับธงมังกรที่ลอยอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มผมขาว
หวังหลินไม่หยุดลง เมื่อค่ายกลป้องกันเปิดขึ้น เขานำฝักกระบี่โบราณออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยแสงอันโหดเหี้ยมทารุณ
เมื่อหุบเขาหวู่เฟิงเป็นสำนักที่ใช้ปราณกระบี่เพื่อต่อสู้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเห็นว่าปราณกระบี่ของจริงเป็นเช่นไร
หวังหินนำกระบี่เหินออกมาในมือขวา ตอนนี้เขามีสมบัติวิเศษระดับต่ำจำนวนมาก ทรัพย์สมบัติจำนวนสี่ร้อยปีนับว่าไม่น้อยอยู่แล้ว
หวังหลินรีบฝืนใส่กระบี่เข้าสู่ฝักดาบ เมื่อเข้าไประยะสี่ในห้าส่วนพลันเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง
ทั้งห้าคนบนยอดภูเขาต่างร้องตะโกน กระบี่เหนือศีรษะส่งเสียงหึ่งและปราณกระบี่พุ่งเข้าสู่อากาศ เส้นแสงบนท้องฟ้าเปลี่ยนไปและปราณกระบี่เคลื่อนไหวราวกับมังกรห้าตัวที่พุ่งเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินถือฝักกระบี่ เขาพลันรู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่ผสมกับปราณกระบี่ในฝักดาบได้ถึงขีดจำกัด พร้อมกันนั้นดึงกระบี่ออกมาพลันกลิ่นอายอันทรงพลังมากกว่าปราณกระบี่ห้าเล่มรวมกันได้ออกมาจากฝักกระบี่
รัศมีกระบี่ไหลลื่นราวกับแม่น้ำ ทำให้ผู้คนอยากคลั่ง
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หวังหลินออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมกับศีรษะหนึ่งหัวในมือ ศีรษะนี้เป็นของคนตระกูลเถิงที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในหุบเขาหวู่เฟิง เถิงเก๋า
ดวงตาเถิงเก๋าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทว่าเพราะเขาชื่อเถิง จึงไม่สามารถหลบพ้นความจริงนี้ได้
เบื้องหลังหวังหลินเป็นธงมังกรขนาดใหญที่ได้ห่อหุ้มร่างจำนวนหนึ่งร้อยร่างเอาไว้
เมื่อหวังเหาะเหินทั้งร่างและหัวเหล่านี้แยกออกจากกันราวกับพัดลม ใครก็ตามที่เห็นฉากนี้คงตกตะลึงเป็นแน่
หลังจากการสังหารอย่างสนุกสนานจบลง ชายชราสองคนเดินออกมาจากหุบเขาหวู่เฟิง ทั้งสองเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของหุบเขาหวู่เฟิง ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่โกรธแต่มีความตื่นเต้นลุกโชนในแววตา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ตระกูลเถิงจบสิ้นแล้ว!”
อีกคนข้างๆพยักหน้าและหัวเราะ “ใช่แล้ว ระดับฝึกฝนของเขานับว่าสูงยิ่งนัก เขาต้องมาจากสำนักมารแห่งหนึ่งของแคว้นเซียนอันดับสูงกว่าแน่ๆ จากที่ข้ามองดูการกระทำของเขา เขาตั้งใจกวาดล้างตระกูลเถิง ข้าสงสัยว่าหากพั่วหนานจื่อลงมือ เขาจะรับมือได้ไหม? แม้เขาทำไม่ได้ก็ไม่มีผลกระทบต่อเรา”
“ศิษย์น้อง ข้ารู้สึกว่าคนคนนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก แต่ไม่ว่าข้าพยายามนึกแค่ไหนก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน”
“จริงรึศิษย์พี่? ข้าก็คิดเหมือนกันว่าเราต้องเคยเจอเขามาก่อน!”
ทั้งสองคนคิดเป็นเวลานานแต่ยังไม่อาจนึกอะไรออกได้ พวกเขาได้ลืมเรื่องราวเด็กหนุ่มที่ร่างกายถูกทำลายในการต่อต้านเถิงฮว่าหยวนนอกหุบเขาหวู่เฟิงเมื่อหลายปีก่อนนั้นไปหมดแล้ว
หวังหลินยืนอยู่บนอสูรยุง ดวงตายังเยือกเย็นขณะที่สายตาตกลงบนหมู่บ้านที่ห่างไปแปดพันลี้ มีคนตระกูลเถิงจำนวน 174 คนในหมู่บ้านนั้น
เมืองตระกูลเถิง
เถิงฮว่าหยวนนั่งอยู่ในห้องโถงหลักของบ้านบรรพชนตระกูลเถิง ใบหน้ามืดหม่นและเบื้องหน้ามีคนสามคนคุกเข่าอยู่
นอกจากคนสามคนนี้ มีคนอื่นๆรอบห้องโถงอีกหลายสิบคน ทั้งหมดยืนก้มศีรษะลง ความเงียบและความหวาดกลัวแล่นผ่านแววตาพวกเขา
“ในสี่วัน คนผู้นี้สังหารคนของตระกูลเถิงไปแล้ว 961 คน!” เถิงฮว่าหยวนหัวเราะพร้อมกับสายตามีความเยือกเย็นยิ่งขึ้น เขาโยนหินหยกไปที่หนึ่งในคนที่คุกเข่าบนพื้นและเอ่ยขึ้น “ซุนเอ๋อร์ จงบอกข่าวที่เจ้าพากลับมา!”
เด็กหนุ่มที่คุกเข่าบนพื้นเป็นบุรุษเยาว์วัยใบหน้าขาวและละเอียดราวกับหยก เขานำหินหยกออกมาและวางมันบนหน้าผาก พลันพูดขึ้นไม่เปลี่ยนสีหน้า “สี่วันก่อนเขาปรากฎตัวที่สำนักเทียนต้าว เขาสังหารคนตระกูลเถิงเจ็ดคนและจากไป”
“ในวันเดียวกันเขาปรากฎตัวที่หุบเขาหวู่เฟิงและใช้สมบัติวิเศษฝักกระบี่เพื่อทำลายค่ายกลป้องกันสำนัก เขาตั้งอาณาเขตต้องห้ามไว้หนึ่งพันลี้และสังหารคนตระกูลเถิงไป 93 คน”
“สามวันก่อนเขาปรากฎตัวที่บ้านของตระกูลเถิงสาขาแห่งหนึ่ง สังหารคนตระกูลเถิงจำนวน 174 คนที่นั่น”
“ในวันเดียวกันเขาเผยตัวขึ้นที่เมืองเทียนหยินและกวาดล้างตระกูลสาขาที่ตั้งขึ้นไว้เมื่อสองร้อยปีก่อน มีคนตระกูลเถิงถูกสังหารทั้งหมด 104 คน”
“สองวันก่อน คนตระกูลเถิงที่อยู่ใกล้เมืองหลวงถูกกวาดล้างตายไป 211 คนในหนึ่งชั่วโมง”
“ในวันเดียวกันสมาชิกตระกูลเถิงของสำนักหยวนคุ่ยจำนวน 27 คนตายทั้งหมด”
“เมื่อวานนี้…กลุ่มที่เราส่งไปฝึกฝนที่สำนักเจี๋ยเม่ยถูกกวาดล้าง ตระกูลเถิง 345 คนตายทั้งหมด โลหิตพวกเขาไหลราวกับสายธาร”
ขณะที่พูดขึ้น ลมหายใจผู้คนในห้องเริ่มหนักหน่วง ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงชีวิตของครอบครัวตระกูลเถิงคนหนึ่ง
เถิงฮว่าหยวนกระชับกำปั้น เขาสูดหายใจลึกและถามขึ้น “เจ้าค้นพบไหมว่ามันเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่อาจค้นเจอได้ คนจากตระกูลเถิงที่เผชิญหน้ากับเขาตายทั้งหมด คนอื่นที่รับคำสั่งจากสำนักตนเองต่างไม่มีใครพูด ผู้น้อยใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อได้ภาพรูปหนึ่งมา ท่านบรรพชนโปรดดู”
เช่นนั้นเขาตบกระเป๋าและนำม้วนคัมภีร์ออกมา เขาเปิดออกอย่างช้าๆให้เถิงฮว่าหยวนดู บนม้วนคัมภีร์เป็นภาพวาดคนผู้หนึ่งที่ดูธรรมดา
คนผู้นี้มีเรือนผมสีขาวปลิวไสวและมีดวงดาวสีม่วงอยู่บนหน้าผาก ทั้งร่างเต็มไปด้วยจิตสังหาร เบื้องล่างเป็นอสูรยุงตัวหนึ่ง จุดเด่นที่สุดของอสูรตัวนั้นคืองวงที่ยาวของมัน
ตรงกลางงวงได้แขวนโซ่ที่เชื่อมต่อกับบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
โซ่นั้นกระจายออกเป็นสาขาที่แตกต่างกันหลายแห่ง มีร่างนับไม่ถ้วนผูกติดไว้แต่ละสาขา
แม้ว่าทุกคนจะเห็นเพียงภาพใบหนึ่ง ทั้งหมดต่างสูดสายใจลึกและเผยใบหน้าหวาดกลัว บางคนกระทั่งมีหน้าซีดเผือดจนไม่มีเส้นเลือดหลงเหลือไว้
หลังจากเถิงฮว่าหยวนเห็นรูปภาพ ดวงตาจ้องบนใบหน้าชายหนุ่มอย่างแน่นหนา หลังจากผ่านไปเวลานานเขาเผยอาการไม่เชื่อออกมาทางสายตา
เขาคว้าม้วนคัมภีร์ไว้ในแขนโดยไม่ลังเล พลันจ้องรูปนั้นขณะที่เส้นโลหิตเริ่มปรากฎบนหน้าผาก
“เป็นมัน!” กลิ่นอายรุนแรงกระจายออกจากเถิงฮว่าหยวนทันทีและเครื่องรือนรอบตัวแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง มีกระทั่งคนตระกูลเถิงคนหนึ่งที่ไม่อาจหนีได้ทันเวลากละกลายเป็นฝุ่นหลังจากกรีดร้องออกมาได้ไม่นาน
ส่วนคนจำนวนสามคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พวกเขาถอยกลับอันดับแรก นอกจาชายหนุ่มที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว อีกสองคนต่างหวาดกลัว
ทุกคนในห้องโถงรู้กันว่าท่านบรรพชนกำลังโกรธเกรี้ยว
หลังจากสังหารคนตระกูลเถิงไปมากกว่าเก้าร้อยคน ท่านบรรพชนไม่เผยความโกรธฉละมีเพียงหม่นหมอง แต่หลังจากเห็นรูปคนผู้นี้ พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมแต่ท่านบรรพชนสูญเสียการควบคุมพลังปราณของตนเองไปแล้ว
เถิงฮว่าหยวนจ้องชายหนุ่มในรูปภาพ ร่องรอยความหวาดกลัวปรากฎในแววตา เขาจดจำคนในรูปนี้ได้ทันที
มันคือหวังหลินเมื่อตอนนั้น!
แต่เขานึกขึ้นได้ว่าเห็นหวังหลินตายไปแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตอนเขาเห็นรูภาพถึงตกใจและสูญเสียการควบคุมพลังปราณในร่างไปได้
เถิงฮว่าหยวนยังจดจำวันนั้นจนถึงวันนี้ได้ แววตาอันน่าสะพรึงกลัวของหวังหลินตอนี่เขาตาย แววตานั้นหลอกหลอนเขามาสี่ร้อยปี
เถิงฮว่าหยวนพึมพำ “มันกลับมา…”
ขณะนั้นทุกคนในห้องโถงสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ เป็นเรื่องแน่นอนแล้วว่าท่านบรรพชนรู้เรื่องเขา ไม่เช่นนั้นความเกลียดชังจะไม่บาดลึกแบบนั้น
แต่เกือบทุกคนที่นี่เกิดในภายหลังสี่ร้อยปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ร้อยปีก่อน ความจริงแม้ว่าจะมีหลายคนรู้เรื่องนี้แต่ไม่มีใครมากที่พูดถึง นอกจากนั้นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพียงกวาดล้างตระกูลคนธรรมดาไม่ใช่สิ่งที่เอามาอวดอ้างกัน
ใบหน้าเถิงฮว่าหยวนพลันน่าเกลียดน่ากลัว ขณะที่กำลังจะเอ่ย ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องโถง ใบหน้าคนผู้นี้ดูคุ้นตาต่อเถิงฮว่าหยวนยิ่งนัก เมื่อเข้ามาในโถงหลักเขาคุกเข่าลงและเผยอาการตกใจ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ท่านบรรพชน เรา…เราออกไปไม่ได้…”
เถิงฮว่าหยวนขมวดคิ้วและร้องตะโกน “เจ้ากำลังตื่นตกใจเรื่องอะไร? เรื่องที่เจ้าพูด หมายความว่าอย่างไรที่เราไม่สามารถออกไปได้?”
ชายวัยกลางคนสูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน “ไม่กี่วันก่อนมีล่าวลือจากตระกูลเถิงเกี่ยวกับม่านแสงที่ห่างจากเมืองตระกูลเถิงไปหนึ่งหมื่นลี้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามออกไปได้ ผู้น้อยไม่คิดเรื่องนั้นแต่เมื่อพยายามจะออกไปเจรจาธุรกิจกลับพบว่าข่าวลือที่พูดกันเป็นความจริง ผู้น้อยไม่อาจออกไปได้มากกว่าหมื่นลี้จากเมืองตระกูลเถิงได้”
เมื่อประโยคนั้นเอ่ยออกมา ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ เถิงฮว่าหยวนมองไปที่ชายวัยกลางคนและออกจากห้องโถงบรรพชนโดยไร้คำพูด เขาหายตัวไปทันทีและปรากฎตัวห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ จากนั้นเหาะออกห่างเมืองตระกูลเถิง
หลังจากมาถึงขีดจำกัดที่หนึ่งหมื่นลี้ เถิงฮว่าหยวนไม่หยุดและพุ่งตรงออกไป ม่านแสงสีแดงปรากฎขึ้นทันทีพร้อมกับที่เถิงฮว่าหยวนกระแทกใส่ ระลอกคลื่นกระจายออกแต่ม่านแสงไม่ถูกทำลาย ไม่ว่าเถิงฮว่าหยวนจะยืดออกไปไกลแค่ไหนมันก็กลับคืนดังเดิมเสมอ
ใบหน้าเถิงฮว่าหยวนดำคล้ำยิ่งขึ้น จากนั้นเขานำสมบัติวิเศษอันทรงพลังออกมาและใช้มันทีละชิ้น เขาพบว่าม่านแสงยังคงเหมือนเดิมเหมือนข่าวลือ
ร่องรอยความวิตกกังวลไม่เกิดขึ้นในจิตใจเถิงฮว่าหยวนเป็นเวลานานแล้ว เขาเกือบเข้าใจได้ว่าหวังหลินต้องขอร้องให้ใครสักคนวางกฎเกณฑ์นี้ไว้แน่ เป้าหมายก็เพื่อกักขังทุกคนในเมืองตระกูลเถิงไว้เพื่อให้นั่งดูคนที่เหลือของตระกูลเถิงถูกสังหาร
วัตถุประสงค์อีกอย่างของม่านแสงนี้ก็คือ คนทั้งหมดที่กลัวการถูกสังหารจะหนีกลับมาที่เมืองตระกูลเถิง เมื่อทุกคนมารวมกันที่นี่ หวังหลินจะกลับมาลงมือ
เถิงฮว่าหยวนไม่เชื่อว่าหวังหลินจะมีความสามารถในการวางกฎเกณฑ์นี้ด้วยตัวเอง แม้หวังหลินไม่ได้ตายในตอนนั้น อย่างมากระดับฝึกฝนของเขาก็คงเพียงขั้นแกนลมปราณระดับปลายหรือไม่ก็ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นในกรณีที่เลวร้ายที่สุด
ด้วยระดับฝึกฝนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายของเถิงฮว่าหยวน หวังหลินไม่ดูเหมือนสำคัญต่อเขาเลย สิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือคนที่ตั้งกฎเกณฑ์นี้ไว้ เขาเดาว่าระดับฝึกฝนของคนผู้นั้นอาจจะเป็นขั้นตัดวิญญาณ
สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องกังวลของจริง หลังขบคิดชั่วขณะเขาสงสัยความสัมพันธ์ของผู้อาวุโสคนนั้นกับหวังหลิน หากไม่สัมพันธ์กันลึกมากเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลไม่สามารถต้านทานได้
เถิงฮว่าหยวนกระทั่งไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสไหนที่กฎเกณฑ์นี้จะถูกวางไว้โดยหวังหลินได้
เขาขบคิดเล็กน้อยจากนั้นจากไปด้วยใบหน้าหม่นหมอง เมื่อกลับมาถึงเขาเปิดค่ายกลป้องกันในเมืองตระกูลเถิงทั้งหมดโดยไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
จากนั้นเขาเข้าไปปิดด่านฝึกตนเพื่อรักษาร่างกายให้อยู่จุดสูงสุดให้พร้อมต่อสู้เวลาไหนก็ได้
สำหรับหวังหลินแล้ว การสังหารที่ผ่านมาสี่วันและหนึ่งพันคนที่เขาสังหารเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เปรียบเทียบกับคนของตระกูลเถิงหมื่นคนแล้ว เรื่องนี้เป็นเพียงตัวเลขเล็กๆ
หวังหลินอยู่บนอสูรยุงและเบื้องหลังคือร่างเกือบหนึ่งพันร่าง ทั้งหมดคลุมพื้นที่หลายร้อยตารางฟุตและเมื่อเหาะเหินไปพื้นที่ไหนก็จะมีเงาลงบนพื้นเบื้องล่างนั้น
สายตาเขายังหนาวเหน็บราวกับเป็นน้ำแข็งที่ไม่เคยละลายมรเป็นหมื่นปี เป้าหมายถัดไปของเขาคือสำนักเฮฮวน
สำนักเฮฮวนกลายเป็นสำนักมารอันดับหนึ่งในแคว้นจ้าว พวกเขาส่งออกหลายอย่างและมีศิษย์หลายพันคน ทั้งหมดมีคนตระกูลเถิงจำนวน 481 คนในสำนักเฮฮวน
คนพวกนี้ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเฮฮวนทั้งหมดแต่พวกเขาเพียงแค่อยู่ในสำนักเฮฮวนตอนนี้เท่านั้น
ไม่กี่วันก่อนหวังหลินสังหารคนตระกูลเถิงมากกว่าสามร้อยคนที่สำนักจื่อเม่ยและทั้งหมดเพียงขั้นรวบรวมลมปราณ หวังหลินถามคำถามผู้คนที่นั่นและพบว่าหัวกะทิของตระกูลเถิงต่างถูกส่งออกไปฝึกฝน
ดูเหมือนว่าคนของตระกูลเถิงในสำนักเฮฮวนก็มาที่นี่เพื่อฝึกฝนเช่นเดียวกัน
หวังหลินยิ้มอย่างโหดเหี้ยมขณะที่เหาะเข้าหาสำนักเฮฮวนอย่างช้าๆ
แต่ขณะนั้นใบหน้าเขาเปลี่ยนไปพร้อมกับหันไปมองทางทิศตะวันออก ในระยะอันห่างไกลมีรถม้าหลากสีลอยตรงมาทางเข้าภายใต้การควบคุมของผู้เยาว์หลายคน
เสียงหนึ่งดังออกมา “เซียนอมตะจื่อโม่อยู่ที่นี่แล้ว โปรดออกไปให้พ้นทาง!”