253. มังกรแกะสลัก
ชีวิตเป็นเหมือนขันน้ำ ในความอ่อนโยนยังมีความหวานที่เกือบจะสังเกตไม่เห็น หวังหลินรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกชำระล้างโดยไม่ต้องสังหารใคร
เขาลืมตัวตนขณะที่เป็นเซียนและการสังหารที่ผ่านมาสี่ร้อยปีไปสิ้น เขาผสมเข้ากับโลกของคนทั่วไปโดยแท้และพบเจอประสบการณ์ขมขื่นและหอมหวานในมุมหนึ่งของคนธรรมดา
ทุกเช้าหวังหลินจะตื่นขึ้นเปิดประตูร้านก่อนจะเริ่มการแกะสลัก ร้านของเขาเต็มไปด้วยไม้แกะสลักเต็มไปหมด
ร้านข้างๆทั้งหมดค่อยๆพบร้านของหวังหลินได้ถูกเปลี่ยนมือมา ทุกคนต่างมีความรู้สึกดีดีต่อชายหนุ่มผู้เงียบขรึมและสง่าคนนี้
เมื่อเวลาผ่านไป หวังหลินค่อยๆเริ่มมีลูกค้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเห็นพลังปราณในไม้แกะสลักเหล่านี้ แต่พวกเขายังเห็นความสลับซับซ้อนในไม้แกะสลักได้ ยิ่งเวลาผ่านไปร้านของหวังหลินจึงค่อยๆมีชื่อเสียงขึ้นในแถบนี้
พริบตาเดียวหนึ่งปีก็ผ่านไป ในปีนี้หวังหลินไม่เคยเห็นชายชราคนนั้นอีก แม้ว่าเขามักจะคิดเกี่ยวกับชายชราคนนั้นเป็นครั้งคราวแต่ความคิดพวกนั้นค่อยๆจางหายไป
หวังหลินจมตัวเองไปในการแกะสลักโดยสิ้นเชิง ค้นหาความสุขที่หายไปอย่างยาวนาน
ในร้านของหวังหลิน ไม้แกะสลักส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แกะสลักเหมือนอสูร พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่คนธรรมดาไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ความทรงแม้จะมีเหล่าเซีนเข้ามา พวกเขาแทบจะจำไม่ได้ นอกจากนั้นสถานที่แห่งนี้ไกลจากทะเลปิศาจไปมาก โลกแห่งนี้นับว่ากว้างใหญ่และมีอสูรแตกต่างกันหลายแบบดังนั้นจึงไม่มีทางที่คนเพียงคนเดียวจะรู้จักมันทั้งหมด
ขณะนั้นหวังหลินถือท่อนไม้สี่เหลี่ยมในมือ เขาขยับแขนและรูปร่างอสูรเต่าตัวหนึ่งค่อยๆออกมาจากท่อนไม้
เมื่อมองไปที่ของแกะสลักในมือ เขาวางมีดแกะสลักไว้และหยิบไหขึ้นมา แค่เพียงกำลังจะดื่มเขาก็นึกได้ทันทีว่าไม่มีเหล้าเหลือแล้ว
ณ ตอนนี้ ต้าหนิวเข้ามามองดูเขาแกะสลักเป็นประจำและนำเหล้ามาหนึ่งไหด้วย
ต้านหนิวเป็นเด็กน้อยคนนั้น เขาเดินเข้ามาในร้านและแม้จะอายุเพียงสิบสองปีแต่เขาสูงขึ้นมาก
ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนมากนัก
หลังจากเข้ามาในร้าน เขานั่งลงถัดจากหวังหลินและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มีความสุข “ลุงหวัง ท่านควรจะไปบ้านและคุยกับพ่อของข้าบ้าง เขามักจะให้ข้าเรียนช่างเหล็ก แต่ข้าไม่อยากเรียน ข้าอยากจะเรียนวิชาแกะสลักของลุงมากกว่า” เช่นนั้นเขาวางไหเหล้าไว้ถัดกับหวังหลิน ดวงตาขมวดขณะจ้องงานแกะสลักในมือหวังหลินที่ยังไม่สมบูรณ์
หวังหลินหัวเราะและดื่มเหล้าผลไม้ไปหนึ่งอึก เหล้าผลไม้นี้มีรสหวานแฝงด้วยความเผ็ดร้อนทำให้ท้องร้อนขึ้น เหล้านี้เป็นของจำเป็นประจำวันสำหรับหวังหลินในปีที่ผ่านมา
ต้าหนิวมองสิ่งที่กำลังแกะสลักพลันงุนงงและถามขึ้น “ลุงหวัง ตอนนี้ท่านกำลังแกะสลักสัตว์อะไรน่ะ? ทำไมมันดูเหมือนเต่า?”
หวังหลินลูบศีรษะต้าหนิวและเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่เต่า มันคือสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งที่เรียกว่าจงกู๋ แม้ว่ามันจะดูเหมือนเต่าแต่มันมีพลังมากกว่าเยอะ”
ต้าหนิวพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว ในปีที่ผ่านมาเขาเห็นสัตว์ทุกรูปแบบในร้านหวังหลินและทุกตัวต่างเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน
หวังหลินถือมีดแกะสลักและเริ่มลากเส้นทีละเส้น อสูรที่ดูเหมือนเต่าตัวนี้ความจริงเป็นอสูรวิญญาณระดับกลางที่หายากในทะเลปิศาจ หากมันโกรธเกรี้ยว เพียงเซียนธรรมดาก็ไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของมันได้
แต่หวังหลินได้สังหารอสูรพวกนี้มาหลายรูปแบบและเขากินแกนพลังของมันไปจำนวนมาก ดังนั้นรูปภาพของมันจึงเด่นชัดในใจหวังหลินและฝ่ามือไม่หยุดเพียงเสี้ยววิ
ครึ่งชั่วโมงถัดมา หวังหลินชกไปตรงตำแหน่งตาของมันที่ควรจะมี ขณะนั้นเองไม้แกะสลักจึงดูเหมือนมีชีวิตชึ้นมา
อสูรมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาขุ่นมัวและเผยความหวาดกลัว ปากของมันเปิดกว้างราวกับกำลังส่งคลื่นเสียงคำรามเงียบๆ กลิ่นอายที่มองไม่เห็นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะตรวจพบเจอ
แต่ขณะที่รัศมีของมันกระจายออกมา หวังหลินสัมผัสมันด้วยมือขวาและรัศมีจึงหายไป
หวังหลินสูดหายใจลึกและค่อยๆวางไม้แกะสลักไว้บนหิ้ง ในปีที่ผ่านมานี้หวังหลินพลว่าเขาสามารถแกะสลักได้เพียงอสูรวิญญาณระดับกลางเท่านั้น ส่วนอสูรวิญญาณระดับสูงไม่ว่าจะพยายามหนักแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถแกะสลักได้สำเร็จ
ทุกครั้งที่พยายามแกะสลักอสูรวิญญาณระดับสูง เขาจะสูญเสียการควบคุมระหว่างการลากสองสามเส้นสุดท้ายจึงทำให้ไม้แกะสลักแตกกระจาย
หวังหลินเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะระดับฝึกฝนของเขาไม่สูงเพียงพอ นอกจากนั้นอสูรวิญญาณระดับสูงเทียบเท่ากับขั้นตัดวิญญาณเมื่อเทียบกับมนุษย์
สายตาต้าหนิวเผยอาการหลงไหล ในปีที่ผ่านมาเขาเข้ามาดูหวังหลินแกะสลักทุกวันและค่อยๆติดเป็นนิสัย
ในปีที่ผ่านมาเขาลอบพยายามแกะสลักด้วยมีดแกะสลัก แต่ไม่ว่าจะพยายามหนักแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถแกะสลักอะไรดีดีได้ ตอนนี้ที่เขาเห็นหวังหลินแกะสลักได้เสร็จอย่างง่ายๆจึงทนไม่ได้อีกต่อไปและถามหวังหลิน
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เขาเงยศีรษะขึ้นและพูดกับเด็กหนุ่ม “การแกะสลักต้องการความเข้าใจ หากเจ้าต้องการเรียน เมื่อนั้นเจ้าต้องดูข้าไปหกสิบปี หลังผ่านไปหกสิบปีแล้วเจ้าถึงจะสามารถแกะสลักได้ตามที่เจ้าต้องการ”
ต้าหนิวพูดติดอ่าง “หกสิบปี….แต่ข้าเห็นช่างไม้ในเมืองทิศใต้เขาอายุเพียงสี่สิบปีเองแต่แกะสลักได้สวยงามเหมือนกัน”
หวังหลินดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกและเอ่ย “ข้าแตกต่างจากเขา”
ดวงตาต้าหนิวเต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น
ชั่วขณะนั้นเสียงดังอึกทึกออกมาจากข้างนอก ต้าหนิววิ่งออกไป ไม่นานหลังจากนั้นเขาโผล่หัวกลับเข้ามาและพูดขึ้น “ลุงหวัง ลูกชายคนโตของตระกูลซิ่วกลับมาแล้ว เขามีรถม้ามากกว่าสิบคันและคนจำนวนมากติดตามมาด้วย ดูเท่ห์มากทีเดียว”
เช่นนั้นจึงวิ่งออกไปอีกครั้ง
หวังหลินไม่คิดอะไร เขาหยิบไม้อีกชิ้นขึ้นมาและเริ่มนึกถึงฉากเหตุการณ์จากดินแดนเทพโบราณ อสูรเดียวดายตัวใหญ่นั้นได้ทิ้งความประทับใจฝังลึกในใจเขา หวังหลินลังเลชั่วครู่จากนั้นเริ่มแกะสลักอีกครั้ง
วันเวลาค่อยๆผ่านไป หนึ่งชั่วโมงถัดมา ประตูร้านได้เปิดขึ้น ต้าหนิวเข้ามาด้วยความสุข เบื้องหลังเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างแข็งแกร่งมองไปรอบๆของแกะสลักด้วยแววตากระจ่างใส
ต้าหนิวเดินมาถัดหวังหลินอย่างรวดเร็ว เขากระซิบขึ้น “อย่าขายพวกมันไปเยอะนะ!”
เช่นนั้นเขาหันกลับมาอย่างรวดเร็วและพูดเสียงดัง “ท่านซิ่ว นี่คือร้านที่ข้าเล่าให้ท่าน ดูไม้แกะสลักพวกนี้สิ พวกมันไม่มีทางด้อยกว่าผลงานของช่างไม้โจวเป็นแน่ ช่างจะซื้อสักหน่อยไหม?”
หวังหลินยิ้ม ต้าหนิวสังเกตเห็นหวังหลินไม่มีลูกค้ามากนักในปีที่ผ่านมาดังนั้นเมื่อมีคนรวยเข้ามาจึงดึงเขาเข้ามาในร้านหวังหลิน
ชายหนุ่มนามว่าซิ่วคนนี้มองไปรอบๆร้านและแววตาสว่างสดใสยิ่งขึ้น เขาดูแตกต่างจากต้าหนิว เขาเห็นอะไรมามากโดยเฉพาะหลังจากกายเป็นลูกชายคนสนิทของขุนนางหนาน เขาสามารถบอกได้เพียงชำเลืองมองไม้แกะสลักพวกนี้ว่ามีคุณภาพมากกว่าการแกะสลักของช่างไม้โจวที่โด่งดังหลายเท่า
แม้ว่าการแกะสลักของช่างไม้โจวจะดูเหมือนจริงมาก พวกมันยังมีบางสิ่งขาดหายไป หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยในที่สุดเขาจึงเข้าใจ สิ่งที่ช่างไม้โจวขาดหายไปก็คือ “ชีวิต”!
หนึ่งดูเหมือนจริงและหนึ่งดูเกือบมีชีวิต
ความแตกต่างเพียงคำเดียวทำให้พวกเขาห่างกันหลายลี้
แววตาชายหนุ่มนามว่าซิ่วคนนี้เปล่งประกายขณะเดินเข้าไปหยิบจับไม้แกะสลัก ไม้แกะสลักนี้คือมังกรที่หวังหลินแกะสลักไว้เมื่อหนึ่งปีก่อน
ร่างมังกรม้วนขนด หัวของมันเผชิญหน้ากับท้องฟ้าและเกล็ดทุกชิ้นบนร่างถูกแกะสลักไว้อย่างเชี่ยวชาญ สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มซิ่วแทบตกใจก็คือตอนที่เขาถือไม้แกะสลัก เขารู้สึกเหมือนมันมีชีวิต น่าตกใจมาก! ฝ่ามือขวาพลันอ่อนแรงและไม้แกะสลักตกลงสู่พื้น
ต้าหนิวรู้จากใบหน้าชายหนุ่มได้ทันทีและเขาก็รู้เช่นกันตอนที่เป็นคนสัมผัสไม้แกะสลัก ประสบการณ์เช่นนั้นเป็นความรู้สึกลึกลับซึ่งเป็นเหตุผลที่ส่วนใหญ่เขาจะมองดูและหายากที่จะจับพวกมัน
โครม! ไม้แกะสลักตกลงสู่พื้น ยังดีที่มันสร้างมาจากไม้จึงทำให้ตอนหล่นนานๆทีถึงจะแตกเสียหาย
ชายหนุ่มชื่อซิ่วเปลี่ยนเป็นหน้าแดงและเอ่ยขึ้น “ท่านหวัง สัตว์ตัวนี้คืออะไร? สำหรับข้าทำไมมันถึงดูเหมือนอสรพิษเล่า?”
ก่อนที่หวังหลินจะตอบ ต้าหนิวหน้าอกพองโตและเอ่ยขึ้น “ตัวนี้คือมังกร! ท่านรู้จักว่ามังกรคืออะไรไหม? มันเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะ!”
“มังกร” ชายหนุ่มชื่อซิ่วจดจำชื่อนั้นและถามขึ้น “ท่านจะขายไม้แกะสลักชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่?”
หวังหลินยิ้มและเอ่ยตอบ “สิบเหรียญทอง”
เมื่อต้าหนิวได้ยินเช่นนี้ เขาลอบถอนหายใจและคิดว่ามันจบสิ้นแล้ว เขาพาคนเข้ามาในร้านแห่งนี้ในปีที่ผ่านมาเพียงไม่กี่คน แต่ทุกครั้งที่ได้ยินราคาพวกเขาจะส่ายศีรษะและจากไป
แต่เขาไม่เชื่อว่าชายหนุ่มชื่อซิ่วเพียงขมวดคิ้วและวางเหรียญทองสิบเหรียญลงบนโต๊ะ เขาถอดเสื้อออกหุ้มมังกรแกะสลักและจากไปอย่างรวดเร็ว
ต้าหนิวจ้องเหรียญทองสิบเหรียญบนโต๊ะอย่างตกตะลึง ดวงตาเขาเปล่งประกายขณะที่พึมพำ “เหลือเชื่อ ไม้แกะสลักชิ้นเดียวสามารถขายได้สิบเหรียญทอง พ่อของข้าหาหนึ่งเหรียญทองต่อเดือนยังนับว่ายากแล้ว”
หลังจากพึมพำกับตัวเองเขาจึงตัดสินใจ เพียงแค่หกสิบปีเท่านั้น เขาจะทำทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ศาสตร์นี้ เมื่อเขาเชี่ยวชาญมัน เขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไปในชีวิต
ชายหนุ่มชื่อซิ่วออกจากร้านและกลับเข้าบ้านเพื่อกล่าวอำลาครอบครัว เขากระทั่งไม่กินมื้อเย็นที่คอบครัวเตรียมไว้ให้และนำคนทั้งหมดรีบเร่งกลับไปที่ตำหนักหนานในฝั่งทิศตะวันออกของเมือง