260. ป้ายวิญญาณบรรพชน
คนที่ชายชราชี้ไปคือหญิงชราคนหนึ่ง แววตาของนางหม่นลงเล็กน้อยขณะจ้องชายชราและเอ่ยขึ้น “แม้ระดับเซียนของผู้อาวุโสจะสูงเทียมฟ้าแต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะออกคำสั่งคนของสำนักเมฆาขาวได้!”
ชายชราบ่นอู้อี้ เขานำกระเป๋าเก่าๆออกมาอย่างหงุดหงิดและค้นหาของอยู่พักใหญ่และในที่สุดก็นำป้ายไม้สีดำออกมาชิ้นนึง มันยังมีขี้ผึ้งและก้านผักหลายใบอยู่บนนั้นขณะที่เขาโยนมันใส่มือหญิงชราอย่างลวกๆ
เมื่อหญิงชราเห็นป้ายนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปและร้องตะโกน “ป้ายวิญญาณบรรพชน!”
ชายวัยกลางคนยื่นมือออกมาทันทีและคว้าป้ายไว้ เขาสร้างผนึกขึ้นสองสามชิ้นและวางมันลงบนป้าย ตัวป้ายเผยแสงสีรุ้งที่ดูอ้อยอิ่งทันที ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างเหยเกและพูดด้วยความเคารพต่อชายชรา “ตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสมีป้ายวิญญาณบรรชนนี้ เราต้องเชื่อฟัง แต่ผู้อาวุโสต้องการใช้ป้ายวิญญาณบรรชนชิ้นนี้เพื่อให้เซียนขั้นตัดวิญญาณทั้งหมดของสำนักเมฆาขาวช่วยศิษย์ของท่านในการได้รับประสบการณ์เขตแดนจริงๆหรือ?”
ชายชรายิ้มอย่างภูมิใจไปที่หวังหลินและถอนหายใจแรงไปที่ชายวัยกลางคน เขาตะโกนขึ้น “แน่นอนสิ! ตอนนี้หยุดพล่ามได้แล้ว เจ้าออกมา!” สิ้นคำเขาชี้ไปที่หญิงชรา
หญิงชราครุ่นคิดเล็กน้อยและพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางเคลื่อนที่มาด้านหน้าพร้อมกับมองหวังหลินด้วยแววตาซับซ้อน “เจ้ามีอาจารย์ที่ดีนะ หากข้ามีโอกาสพบเจอประสบการณ์เขตแดนหลายอย่างตอนที่พยายามทะลวงเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณ ข้าคงก้าวมาเส้นทางนี้ได้ง่ายๆ อ่าห์…” เช่นนั้นนางอ้าปากและพ่นเสี้ยวพลังปราณสีชมพูออกมา เมื่อปรากฎขึ้นกลิ่นหอมยั่วยวนเริ่มกระจายออกไป
พลังปราณสีชมพูพุ่งเข้าหาหวังหลินราวกับกระบี่เล่มนึง มันหยุดเบื้องหน้าหวังหลินไปสามนิ้วและเปลี่ยนเป็นหมอกสีชมพูจากนั้นล้อมรอบเขา
“รับรู้ความเชื่องช้าคือเขตแดนของแม่เฒ่าคนนี้!”
ข้างในหมอกสีชมพู หวังหลินรู้สึกอบอุ่นมาก พลังปราณและวิญญาณเซียนของเขาได้รับความเฉื่อยชาเล็กน้อย
ขณะที่รัศมีสังหารและความตั้งมั่นเพื่อฝึกฝนเริ่มจางหายไป หวังหลินรู้สึกง่วงนอนกับความรู้สึกที่สัมผัสได้นี้
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญในโลกใบนี้
แต่ในขณะเดียวกัน บอลรัศมีสังหารลูกหนึ่งลอยออกมาจากกระเป๋าและเข้าไปในร่างหวังหลิน
เพียงหลังจากนั้นไม่นาน รัศมีสังหารรุนแรงได้ชำระร่างเขาราวกับถังน้ำเย็นเฉียบทุ่มใส่ศีรษะ รัศมีสังหารกระจายผ่านไปทั่วร่างกายเขา
หญิงชราตกตะลึง นางสะบัดแขนเบาๆและดึงควันสีชมพูออก
หวังหลินสูดหายใจลึก หากไม่มีบอลรัศมีสังหาร เขาคงสูญเสียตัวตนอย่างสิ้นเชิงในเขตแดนนั้น ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าน่ากลัวมากนัก นอกจากความรู้สึกหวาดกลัวเดิมทีต่อเซียนขั้นตัดวิญญาณแล้ว ตอนนี้หวังหลินระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีก
หญิงชรามองหวังหลิน นางถอยกลับและไม่พูดอะไรอีก
ชายชรากวาดผ่านในกลุ่มและจรดลงบนชายชราผ้าคลุมสีฟ้าอมเขียว แววตาเขาส่องสว่างขึ้น “เจ้า เขตแดนของเจ้าพิเศษมาก เมื่อเขาได้เจอมัน เราจะไม่รบกวนพวกเจ้าอีก”
ชายชราคนนั้นเงยศีรษะขึ้น เขาพูดออกมากระทั่งไม่ได้มองหวังหลิน “เขาไม่สามารถทนต่อเขตแดนของข้าได้”
ชายชราคิ้วขมวดพลันโบกแขน “ไร้สาระ มีข้าที่นี่แม้ไป่หยุนที่เป็นบรรพชนของสำนักเมฆาขาวของพวกเจ้ามาด้วยตัวเอง ข้ายังรับไหวเลย” สิ้นคำเขามองไปที่ส่วนลึกของสำนักเมฆาขาวอย่างซุกซน
ชายชราผ้าคลุมฟ้าอมเขียวไม่ได้พูดอะไรอีก เขาลูบศีรษะตนเอง ทันใดนั้นสีดำเปิดออกบนหน้าผากและกระบี่สีดำลอยออกมา กระบี่เปลี่ยนไปเป็นสายฟ้าสีดำและมาถึงเบื้องหน้าหวังหลิน
ความเร็วของมันไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินสามารถป้องกันได้เลย ใบหน้าบูดบึ้งมาก หากเขามีธงกฎเกณฑ์เขาคงสามารถป้องกันมันได้ แต่เขาจะไม่สามารถรับมันได้นานนัก
ทว่าหวังหลินไ่ม่กลัว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถต่อต้านกระบี่ได้แต่หากนี่คือการต่อสู้ของจริงคงต้องขอบคุณเศษเสี้ยวทัณฑ์สวรรค์เสียแล้ว เหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณทั้งหมดคงจะแค่เฝ้าดูเขาเฉยๆ ไม่ว่าวิชาของแต่ละคนจะแข็งแกร่งเช่นไร
ตัวอย่างก็เช่นการต่อต้านกระบี่เหินเล่มนี้ หากหวังหลินส่งเศษเสี้ยวทัณฑ์สวรรค์ออกไปคงทำให้ชายชราผ้าคลุมสีฟ้าอมเขียวคงเรียกกระบี่เหินกลับ มิฉะนั้นพวกเขาคงสังหารกันเองเพื่อแย่งชิงทัณฑ์สวรรค์
เมื่อกระบี่เหินมาถึงเบื้องหน้าหวังหลินสิบฟุต ทันใดนั้นคลื่นจิตสังหารออกมาจากกระบี่ ภายในจิตสังหารนั้นมีเขตแดนลึกลับอยู่เล็กน้อย
เขตแดนนี้แตกต่างจากสองคนก่อนหน้านี้ราวกับมันยกเอาสวรรค์มาด้วย หวังหลินรับรู้ได้ทันทีว่าพลังปราณของเขาเผยสัญญาณความอ่อนแรง หากพลังปราณของเขาถูกแทนที่ด้วยพลังชีวิต เช่นนั้นชีวิตของเขาคงถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็ว
เขตแดนประหลาดเช่นนี้ทำให้ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนไปอย่างมาก ในตอนนี้เขตแดนมีผลกระทบต่อพลังปราณของเขาเท่านั้น หากมันกระทบต่อชีวิตของเขา การคงอยู่ของมันอาจจะเป็นการฝืนกฎสวรรค์อย่างน่าสะพรึงกลัว
ใบหน้าชายชราผู้ใช้เขตแดนกลับเรียบเฉยขณะสะบัดแขนและกระบี่เหินกลับไป กระบี่หายกลับเข้าไปในหน้าขณะที่เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “เขตแดนของข้าคือการข้ามกาลเวลา”
แววตาชายชรามุ่งเป้าไปที่ชายชุดคลุมสีฟ้าอมเขียว เพราะความผันผวนพลังปราณเขาจึงรู้ได้ว่าชายคนนี้มีเขตแดนที่ไม่ธรรมดา แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นการข้ามกาลเวลา
เขาสูดหายใจลึกและแววตาประหลาดใจหายไป ขณะนั้นเขาดูสง่าผ่าเผยอย่างมาก แม้ว่าใบหน้าจะดูสกปรกแต่นั่นไม่สามารถกลบกลิ่นอายสูงศักดิ์ของเขาออกไปได้
หวังหลินรู้สึกไม่แยแส ราวกับชายชราคนนี้มีท่าทางเปลี่ยนไปทันที หากมีใครบอกเขาว่าชายชราเป็นผู้เชี่ยวชาญจากแคว้นซูซาคุ หวังหลินจะไม่ประหลาดใจเลย
“เขตแดนอัศจรรย์อะไรกัน! หากเจ้าบรรลุถึงขั้นค้นหาเต๋า เขตแดนเช่นนั้นคือการท้าทายสวรรค์! พวกเจ้าเอาป้ายไปเลย ลาก่อน!” ชายชราสูดหายใจลึก ร่างกายเคลื่อนไหวและปรากฎตัวถัดไปจากหวังหลิน เขาคว้าร่างหวังหลินไว้และทั้งคู่หายไป เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งจึงมาอยู่ในพื้นที่รกร้างของเมืองหลวงเรียบร้อย
หลังจากทั้งสองคนกลับมา ชายชราหายใจหนักและใบหน้าซีดขาวแต่ยังเต็มไปด้วยความภูมิใจ เขามองหวังหลินเพื่อรอการยอย่อง
ตอนนี้เขาไม่เหลือสัมผัสของเซียนอีกแล้ว หวังหลินรู้สึกช่วยไม่ได้จึงวางหมวกฟางในกระเป๋าตนเองและเอ่ยขึ้น “วิชาของผู้อาวุโสมหัศจรรย์ยิ่งนัก มันเป็นสิ่งที่ผู้น้อยไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าขอชื่นชมท่านจากใจจริง”
ชายชรากรอกตาและพูดอย่างไม่พอใจ “แค่นี้น่ะหรือ?”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นยิ้มอย่างบิดเบี้ยว ในชีวิตเขาไม่เคยต้องประจบคนอื่นมาก่อน เขาไม่รู้จะเริ่มตรงไหนน่ะสิ
ชายชราหายใจหนัก เขาสะบัดแขนและเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถอะ เจ้าเจอกับเขตแดนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้บรรลุขั้นตัดวิญญาณเร็วๆและสร้างไม้แกะสลักให้ข้าด้วย”
สิ้นคำเขาหันตัวเตรียมจะจากไป
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เมื่อเห็นชายชรากำลังจะไปเขาพลันถามขึ้น “ป้ายวิญญาณบรรพชนชิ้นนั้นคืออะไรหรือ?”
ชายชราหันกลับมามองหวังหลิน เขายิ้มที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ “เศษขยะชิ้นนั้นไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก ข้ามีอีกเยอะ” เช่นนั้นเขานำป้ายหลายอย่างออกมาพร้อมกับพูดขึ้น “นี่คือของสำนักหลบสวรรค์ นี่คือของสำนักหมอกวิญญาณ นี่คือของสำนักปิศาจยักษ์ของแคว้นอันดับสี่ นี่คือของแคว้นอันดับห้า….”
หวังหลินเพ่งพินิจขณะที่เขาแนะนำป้ายแต่ละชิ้น ใบหน้าชายชราเต็มไปด้วยความภูมิใจราวกับในมือเป็นของเล่นสุดโปรด
ในที่สุดชายชราก็สะบัดแขน เขานำป้ายเปล่าออกมาและเอ่ยขึ้นว่า “นอกจากของพวกนี้ ข้าสามารถสร้างป้ายสำนักไหนก็ได้ให้เจ้า ฮี่ฮี่ ข้าขายป้ายพวกนี้มานานหลายปีแล้ว เจ้าสามารถตรวจสอบชื่อเสียงข้าได้หากต้องการ มันเยี่ยมนัก ป้ายจ้าวสำนักเมฆาขาวเอาไหม?”
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เขามองไปที่ชายชรามากขึ้นกว่าเดิมจากนั้นหันกลับและจากไป
ชายชราพูดอยู่นานสองนานจนในที่สุดจึงเก็บป้ายทั้งหมดกลับและเอ่ยขึ้น “ของพวกนี้คือสมบัติของข้า หากเจ้าไม่เห็นคุณค่าของมันข้าจะไม่ขายให้นะ ฮึ่ม!”
หวังหลินเดินกลับไปที่ร้านตรงๆและนั่งลงขัดสมาธิถัดจากเตาผิง รอบๆด้านเงียบสนิท ในความเงียบนั้นประสบการณ์ที่เขาพบเจอเรื่องเขตแดนผ่านวูบวาบในความคิดหวังหลิน เขาจมอยู่กับประสบการณ์นั้นเพื่อพยายามเข้าใจมัน
เขตแดนอารมณ์สิ้นหวังของชายวัยกลางคน เขตแดนสุขสบายของหญิงชรา และเขตแดนข้ามกาลเวลาของชายชุดคลุมสีฟ้าอมเขียว ทั้งหมดลอยอยู่ในความคิดหวังหลิน หลังผ่านไปชั่วครู่หวังหลินเริ่มเข้าใจได้เล็กน้อย เขตแดนคือสิ่งที่เขาจะได้รับเมื่อคนผู้หนึ่งกำลังรู้แจ้งสวรรค์โดยมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ชีวิตของเขา
เช่นนั้นแล้วเขตแดนของเขาเองคืออะไร? หวังหลินหลับตา ในขณะนั้นทั้งร่างของเขากำลังเปลี่ยนไป ผ่านไปเวลาพักใหญ่หวังหลินลืมตาและคว้ามีดเล่มหนึ่งเริ่มแกะสลัก
เศษไม้ตกลงสู่พื้นดิน มีดของเขาลื่นไหลราวกับสายน้ำและไม่มีหยุดพัก ท่อนไม้เร่ิมค่อยๆเป็นรูปทรงของคนผู้หนึ่งที่กำลังสร้างผนึกด้วยมือเดียว
แววตาหวังหลินเริ่มเพ่งมอง ในตอนนั้นไม่มีสิ่งใดขัดขวางสมาธิของหวังหลิน สิ่งที่จิตใจเขากำลังคิดและสิ่งที่ดวงตากำลังมองเห็นคือเขตแดนอารมณ์สิ้นหวังของชายชรา
เศษไม้ตกลงพื้นมากขึ้น ความเร็วของมีดหวังหลินเพิ่มขึ้นจนเกิดเป็นภาพติดตา หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่มือขวาหวังหลินหยุดลงทันที มีดในมือแตกหักครึ่งส่วน ใบมีดลอยเข้าใส่ชั้นวางและเกิดเสียงพึมพำ
หวังหลินไม่ได้ใส่ใจสิ่งอื่นขณะที่เขามองไม้แกะสลักในมือ มันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายวัยกลางคนดูราวกับมีชีวิตชีวา ไม้แกะสลักชิ้นนี้มีเขตแดนอารมณ์สิ้นหวังอยู่เศษเสี้ยว ทว่าเขตแดนนี้ไม่ได้ปลดปล่อยออกมาเลย มันอยู่ในไม้แกะสลักอย่างสมบูรณ์
หวังหลินค่อยๆหลับตา หลังสัมผัสมันเป็นเวลานานเขาจึงวางไม้แกะสลักรูปร่างชายวัยกลางคนบนพื้นอย่างเบามือ
หวังหลินพึมพำกับตัวเอง “มันยังไม่เพียงพอ….”