Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 284

Cover Renegade Immortal 1

284. ลดขั้น

ความจริงแล้วมีสองวิธีในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ วิธีแรกคือเดินตามรอยเท้าของคนอื่นและเลียนแบบเขตแดนของเขา วิธีนี้ง่ายกว่าวิธีที่สองมากแต่ส่วนที่ยากก็คือไม่ได้มีเซียนขั้นตัดวิญญาณมากนักที่จะเผยเขตแดนของตนเอง มีเพียงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับสูงสุดในสำนักใหญ่ๆเท่านั้นทีมีสิทธิ์ดูเขตแดนพวกเขา

วิธีที่สองคือใฝ่หาเขตแดนของตนเองด้วยการพึ่งพาตนเองเพื่อรู้แจ้งกฎสวรรค์ วิธีนี้ยากมากซึ่งต้องใช้ความมุมานะและโชคในการสำเร็จ แต่เมื่อค้นหาเขตแดนของตนเองเจอ ท่านจะแข็งแกร่งมากกว่าคนที่ใช้วิธีแรกมากนัก

โดยทั่วไปแล้วคนที่ไม่สามารถได้เขตแดนของตนเองด้วยการพยายามมานานหลายปีจะเลือกวิธีแรก ซึ่งมีความแตกต่างเรื่องพลังอย่างใหญ่หลวงระหว่างสองวิธี

ช่องว่างนี้เป็นสิ่งที่เกือบไม่มีวันเข้าใกล้กัน ไม่ว่าจะตอนเริ่มหรือในอนาคตอันยาวไกล

ทว่ามีคนไม่มากนักที่สามารถรู้แจ้งจนได้รับเขตแดนของตนเอง ดังนั้นเซียนส่วนใหญ่จึงเลือกวิธีแรก

เรื่องนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเซียนขั้นตัดวิญญาณบางคนถึงถูกสังหารและคนอื่นๆอาศัยในพื้นที่สงบสุข นักส่งสาส์นในแคว้นจ้าวเองก็เลือกวิธีแรกซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจวิ่งหนีหลังจากเห็นสมบัติของหวังหลิน

ทว่าเซียนที่เลือกวิธีแรกจะทะลวงผ่านไปขั้นแปลงวิญญาณได้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แต่ในคนเหล่านี้มีเพียงน้อยคนและพวกเขาอ่อนแอกว่าเหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณมากนัก

ดังนั้นคนที่เลือกวิธีแรกจึงมุ่งเน้นไปที่การได้หาเม็ดยาเพื่อยกระดับขั้นเซียนของตนเอง แต่เม็ดยาที่บรรจุปราณสวรรค์จะได้รับมาง่ายๆได้อย่างไรเล่า?

หวังหลินเหาะเหินในสายฝนจนกระทั่งเขามาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่องแสงขึ้นและร่างกายเขาหายไป

ครั้งนี้หวังหลินไม่หยุดเลยและใช้ความเร็วเต็มที่เพื่อเดินทางไปค่ายกลเคลื่อนย้ายถัดไป

หนึ่งเดือนถัดมา คลื่นพลังปราณพุ่งขึ้นในหุบเขาหนึ่งที่ขอบของแคว้นจ้าว เมื่อพลังปราณหายไปชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา

เขาคือหวังหลิน!

เมื่อมองพื้นดินเบื้องหน้า ความเศร้าโศกปะทุขึ้นมาในใจหวังหลิน แคว้นจ้าวไม่ใช่แคว้นใหญ่ ด้วยเพียงแค่สัมผัสวิญญาณของเขามันง่ายที่จะเห็นทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

หลังการสังหารล้างบางของหวังหลิน เหล่าเซียนของแคว้นจ้าวอ่อนแอมากโดยเฉพาะการตายของเซียนวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายหลายคน นี่เป็นระเบิดขนาดยักษ์ต่อแคว้นจ้าว ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาประตูสำนักทั้งหมดจึงปิดลง

ในเหล่าเซียนของแคว้นจ้าว ข่าวลือของหวังหลินยังคงกระจายอยู่จนถึงตอนนี้ เซียนนับไม่ถ้วนยังคงหวาดกลัวเรื่องราวของเขาและคนที่เห็นหวังหลินยังคงตื่นขึ้นกลางดึกด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ

ส่วนหอคอยสวรรค์ที่อยู่ใจกลางแคว้นจ้าว มันยังว่างเปล่า

หลังขบคิดชั่วครู่หวังหลินเหาะเหินเข้าหาสถานที่ที่สำนักเหิงยั่วตั้งอยู่ในอดีตซึ่งตอนนี้เป็นบ้านของสำนักซวนต้าว

เขาเข้าสู่โลกแห่งเซียนที่นี่ดังนั้นจึงจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณที่นี่เช่นกัน

เมื่อร่างเขาปรากฎข้างนอกสำนักซวนต้าว เขาเห็นหมอกสีขาวปกคลุมทั่วทั้งสำนัก แม้แต่ทางเดินขึ้นภูเขายังถูกปิดบัง สำนักซวนต้าวปิดประตูเป็นเวลานานและไม่ติดต่อกับโลกภายนอกอีกเลย

หวังหลินถอนหายใจ แทนที่จะสร้างความปั่นป่วนเพื่อบังคับให้ผู้คนออกมา เขาหายตัวไปและปรากฎตัวอีกครั้งเบื้องหลังภูเขาของสำนักซวนต้าว

ด้านหลังภูเขาที่ที่เขาปิดด่านฝึกตนสี่ปียังคงอยู่ที่นี่ มีเซียนรอบๆน้อยนิดแต่ใบหน้าพวกเขาเซื่องซึมและหมองหม่น

แล้วพวกเขาจะรับรู้ตัวตนของหวังหลินได้อย่างไร? หวังหลินพบถ้ำที่เขาเคยฝึกฝนคราวก่อน จากนั้นเดินเข้าไป

ไม่มีใครในถ้ำแห่งนี้ เมื่อหวังหลินเข้ามาข้างใน ก้อนหินตรงทางเข้าค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ

หวังหลินนั่งขัดสมาธิในถ้ำและตรวจสอบภายในห้อง ความทรงจำอันคุ้นเคยเข้ามาในสมองเขา หวังหลินถอนหายใจและเริ่มฝึกฝน

สิบวันผ่านไปหวังหลินเสร็จสิ้นการปรับร่างกาย ฝ่ามือสร้างผนึกและกดลงบนท้อง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนระหว่างสีเขียวและสีแดง ในไม่ช้าร่างกายแบ่งออกเป็นสองคน

ร่างต้นของหวังหลินโผล่ออกมาจากร่างอวตารพร้อมกับผมสีขาวเหนือไหล่ รอยยิ้มและดวงดาวสีม่วงปลดปล่อยแสงชั่วร้าย

ระดับฝึกฝนร่างต้นของหวังหลินยังอยู่ที่ขั้นแกนลมปราณ

ขอบเขตจวี่ของเขาไม่ได้พัฒนาไปด้วยดังนั้นระดับฝึกฝนของร่างเดิมจึงยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้

แม้ว่าหวังหลินจะสามารถส่งเสริมขอบเขตจวี่ให้ไปถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดตอนที่รวมเข้ากับร่างอวตาร มันยังมีขีดจำกัดและข้อเสียซึ่งไม่ใช่การแก้ไขระยะยาว

ส่วนร่างอวตารของเขาที่กำลังบรรลุขั้นตัดวิญญาณ หลังรวมเข้ากับร่างต้นไปแล้ว ข้อบกพร่องเรื่องอายุขัยสามสิบปีได้หายไป ดังนั้นมันจึงไม่ต่างไปกับร่างต้น

ขณะนี้เขากำลังจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณและหากเขายังรวมเข้ากับร่างเดิม กระบวนการทะลวงผ่านจะยุ่งยาก

หวังหลินเริ่มครุ่นคิด หากระดับฝึกฝนของร่างต้นยังอยู่ที่เดิมมันจะมีข้อเสียมากมายเช่นกัน เขาเริ่มพิจารณาเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ ทว่าระดับความเข้าใจเขตแดนชีวิตและความตายของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาลโดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่อารามแห่งนั้น

จิตใจที่หลังเขาของเขาในที่สุดก็ตัดสินใจได้

ร่างต้นไม่สามารถเดินเส้นทางเดียวกับร่างอวตาร ดังนั้นขอบเขตจวี่ต้องแยกออกมา

เส้นทางเดินของเทพโบราณคือถนนที่ร่างต้นควรจะเดิน หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่ร่างทั้งสองจะนั่งลง ทั้งสองร่างสร้างผนึกด้วยฝ่ามือตนเองจนทำให้ควันีสเขียวค่อยๆล้อมรอบพวกเขาอย่างช้าๆ

สิ่งแรกที่เขาจำเป็ต้องทำคือทำลายระดับฝึกตนของร่างต้น

เศษเสี้ยวพลังปราณกระจายออกมาจากร่างต้น มีร่องรอยความเจ็บปวดบนใบหน้าแต่เขาตั้งมั่นอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดโลหิตก็ไหลออกมาจากร่างต้นทุกรูขุมขน

ของเหลวสีแดงนี้ไม่ได้ติดกับร่างกาย มันสร้างเป็นลูกปัดโลหิตรอบๆ จากนั้นจำนวนลูกปัดนี้ค่อยๆเพิ่มขึ้น

ใบหน้าของร่างต้นยิ่งซีดเผือดและระดับฝึกฝนเซียนเริ่มตกจากขั้นแกนลมปราณระดับปลายลงมา

สิบวันหลังจากนั้นร่างต้นดูแก่ขึ้นและระดับฝึกฝนตกลงมาถึงขั้นแกนลมปราณระดับต้น ลูกปัดโลหิตสร้างเป็นวงแหวนสีแดงล้อมรอบร่างต้น

จากนั้นเกิดเสียงรอยร้าว แกนพลังของร่างต้นแตกเสียหายและเปลี่ยนเป็นพลังปราณทรงพลังที่ปั่นป่วนในร่างราวกับม้าพยศ ขณะนั้นเองดวงตาของร่างอวตารส่องสว่างขึ้นและชี้นิ้วไปที่คิ้วของร่างต้น พลังปราณในร่างต้นดูเหมือนจะพบจุดปลดปล่อยและไหลออกมาจากกลางคิ้ว

พลังปราณนี้รวบรวมไปที่นิ้วของร่างอวตาร ในไม่ช้าพลังปราณทั้งหมดก็ควบแน่นเป็นของเหลวสีเงิน

ทันใดนั้นร่างต้นอ่อนแอมากแต่สายตายังคงสงบนิ่ง

จากนั้นเสี้ยวพลังปราณออกมาจากเลือดเนื้อและกระดูกของร่างต้น พลังปราณนี้เคลื่อนไปที่จุดตันเถียนและเกิดเป็นวงแหวนอย่างช้าๆ

นี่คือรากฐานของเซียนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณเช่นกัน

วงแหวนนี้ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างและส่องสว่างมากขึ้น ตอนนี้ร่างอวตารชี้ไปที่จุดตันเถียนของร่างต้น วงแหวนสั่นจนแตกสลายเป็นพลังปราณและรวบรวมไปที่ปลายนิ้วของร่างต้นด้วยเช่นกัน

จากนั้นระดับฝึกฝนของร่างต้นตกลงอย่างรวดเร็ว ระดับ 14 ขั้นรวบรวมลมปราณ…ระดับ 13 … ระดับ 12 … ระดับ 8 ….ระดับ 6 …จนตกมาถึงระดับ 1 !

ในตอนนี้พลังปราณทั้งหมดในร่างต้นหายไป ทั่วทั้งร่างฟุบลงหลังพิงกับผนังและเริ่มหายใจถี่ ทว่าตลอดเวลานั้นสายตายังคงสงบนิ่ง

ในดวงตามีสาสยฟ้าแดงกระพริบวาบ

ร่างอวตารสูดหายใจลึก ครั้งนี้นิ้วมือชี้ไปที่จุดระว่างสายตาของร่างต้น ทันใดนั้นลำแสงสายฟ้าสีแดงลอยออกมา ขณะที่มันออกมาได้ผ่านผนังไป ร่างอวตารส่งเสียงร้อง ฝ่ามือเคลื่อนไหวและแสงวงแหวนหลายเส้นกักขังสายฟ้าเอาไว้ เขายื่นมือออกไปคว้ามัน สายฟ้าแดงต่อสู้เล็กน้อยก่อนที่ในที่สุดจะยอมแพ้และหยุดเคลื่อนไหว

ร่างอวตารคว้าสายฟ้าแดงและเปลี่ยนมันเป็นหยดโลหิตหนึ่งหยดก่อนจะเก็บมันในกระเป๋า

หยดโลหิตคือขอบเขตจวี่!

ร่างต้นละทิ้งระดับฝึกตนเพื่อบังคับให้ขอบเขตจวี่ออกมา เปลี่ยนมันเป็นให้คงอยู่เหมือนสมบัติวิเศษอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นไม่นานร่างต้นอดทนให้นั่งตัวตรงและหลับตา ขณะนี่เองร่างอวตารสะบัดพลังปราณจากวงแหวนรากฐานเข้าในร่างต้น จากนั้นของเหลวที่สร้างโดยแกนพลังก็ถูกส่งเข้าไปในร่างต้นเช่นกัน

พลังปราณไร้ขอบเขตพุ่งขึ้นผ่านร่างต้น แต่ร่างกายนั้นไม่มีความตั้งใจที่จะฝึกฝนอีกครั้งทว่ากลับเริ่มใช้เทคนิคเทพโบราณแทน ภายใต้พลังของมัน พลังปราณทั้งหมดถูกเลือดเนื้อและกระดูกดูดซับไป

ระหว่างกระบวนการดูดซับพลังปราณนี้ สารสีแดงเล็กๆจากวงแหวนสีแดงเข้าไปในร่างหลักทีละน้อย

กระบวนการนี้กินเวลานานมาก…

ในตอนนี้ร่างต้นของหวังหลินและร่างอวตารเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกันสองเส้น ร่างต้นเพ่งสมาธิไปที่การปรับแต่งร่างกาย เดินบนเส้นทางของเทพโบราณ

ร่างอวตารเพ่งความสนใจข้างในตนเอง เดินบนเส้นทางของสวรรค์

ทั้งสองคือร่างกายของหวังหลินไม่มีสิ่งใดแตกต่าง แต่ก่อนที่เขาจะถึงจุดหนึ่ง ทั้งสองร่างนี้ไม่สามารถรวมเข้าด้วยกันได้ในช่วงเวลายาวนาน

แต่เมื่อรวมกันแล้ว พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!