372. หมู่บ้านอัคคีเมฆา
ในเวลาที่ผ่านมาครึ่งเดือน หวังหลินเก็บอาหารแห้งและห่อเอาไว้ วันที่แสงจันทราสาดส่องเขาก็เดินออกจากหมู่บ้าน
คิดย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนตอนที่ถูกสำนักเหิงยั่วปฏิเสธมา เขาได้ออกจากบ้านกลางดึกเช่นกัน หลังจากออกมาภารผจญภัยก็เริ่มขึ้นนับห้าร้อยปีตั้งแต่ตอนนั้น
หวังหลินถอนหายใจและเดินออกไปไกล
ตอนนี้ยังไม่มีความคิดว่าจะอยู่ที่ไหน ตอนที่ถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายมาเขาไม่มีเวลาพอจะระบุตำแหน่งตัวเอง ตอนนี้หวังหลินเพียงต้องการหาสายแร่วิญญาณเพื่อใช้มันรับพลังปราณสักเล็กน้อยจากนั้นหาทางทำลายเขตแดนและผนึกบนตัวเขา
ยามค่ำคืนสายลมหนาวเย็นพัดผ่าน ร่างหวังหลินสั่นเทา เขายิ้มอย่างเจ็บปวดและคิดว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขารู้สึกเหมือนเป็นคนธรรมดาจริงๆ
แม้แต่ตอนที่เขาเปลี่ยนไปเป็นมนุษย์ธรรมดา มันยังดีกว่าตอนนี้หลายเท่า
ระหว่างทางหวังหลินวิ่งอย่างกระหืดกระหอบดังนั้นจึงต้องมีเวลาพักหายใจ เขาเดินทางอย่างเชื่องช้าโดยธรรมชาติ เจ็ดวันผ่านไปเขายังเดินบนถนนสายหลักอยู่เลย
แม้จะไม่มีพลังปราณแต่ยังสามารถสัมผัสมันได้ เขาได้พบเจอสถานที่ไม่แห่งที่มีพลังปราณแต่ไม่ว่าจะพยายามบ่มเพาะแค่ไหนก็ไม่สามารถรวบรวมมันเข้าไปในร่างกายได้
หวังหลินคิดขึ้นอย่างขมขื่น “อาจเป็นไปได้ว่ามีเฉพาะสำนักเฉพาะถิ่นเท่านั้นที่มีพลังปราณหนาแน่น”
ทว่าเขาจะสามารถเข้าสำนักด้วยร่างปัจจุบันนี้ได้อย่างไรกัน?
หวังหลินถอนหายใจมองขึ้นบนท้องฟ้าและร่องรอยความสิ้นหวังปรากฎในใจ แต่ความสิ้นหวังนั้นถูกความตั้งมั่นทำลายไปอย่างรวดเร็ว เขาสูดหายใจลึกและพึมพำ “เฉว่ยี่และเผ่ามารยักษ์ ข้าจะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น วันใดวันนึงข้าจะเอาคืนกลับเป็นร้อยเท่าที่พวกเจ้าทำกับข้า!”
แววตาตั้งมั่นเผยออกมาพร้อมกับยืนขึ้นและเดินต่อไปเรื่อยๆ
แต่ขณะนั้นเสียงม้าจำนวนนึงดังออกมาเบื้องหลัง เสียงนี้ดังเป็นพิเศษกลางดึกเงียบสงัดคืนนี้
ในไม่ช้าม้าสีดำกลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้ทีละตัว ผู้ที่นั่งบนหลังม้าต่างเป็นชายร่างกำยำใบหน้าดุร้ายราวกับนักฆ่า หนึ่งในนั้นผ่านหวังหลินไปและรีบดึงบังเหียน “ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กน่าเกลียด เจ้าบ่อเงินบ่อทอง!” เขายื่นมือออกมาและคว้าหวังหลิน
เสียงร้องตะโกนหนึ่งดังจากด้านหน้า “ซื่อหม่าเจ้าทำอะไร?”
“หัวหน้า ข้าพบบ่อเงินบ่อทอง หากเราหักข้าเจ้าเด็กนี่ เราสามารถใช้มันเพื่อขัดขวางกองกำลังอำนาจสวรรค์บนถนนได้ มันดีกว่าที่จะใช้พี่น้องของเรา!” ชายหน้าบากสั่งการม้าตัวเองให้พุ่งไปข้างหน้า
ชายหน้าบากยกหวังหลินขึ้นมาและยิ้มแย้ม “หัวหน้าดูสิ!”
ดวงตาหวังหลินปิดสนิท เขาโกรธมาก พวกชาวยุทธไม่กี่คนในโลกมนุษย์สามารถฉีกหน้าเขาได้ง่ายๆแบบนี้
ชายตัวใหญ่มากนั่งบนหลังม้าเบื้องหน้าพวกเขา เขามองดูหวังหลินและพยักหน้า “ก็ได้ นำเขาไป”
กลุ่มม้าจำนวนสิบแปดตัวควบม้าออกไปไกล
พวกเขาหยุดบนสามแยกหนึ่งในถนนที่ห่างออกไปหนึ่งพันห้าร้อยลี้ แต่ละคนสวมหน้ากากของตัวเองอย่างรวดเร็วกระจายออกด้านข้างถนนและซ่อนตัวเองไว้
การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ชำนาญอย่างยิ่ง เป็นเรื่องชัดว่าพวกเขาทำเช่นนี้บ่อยครั้ง
พริบตาเดียวมีคนที่เหลืออยู่คือชายร่างกำยำหน้าบากและหวังหลิน เขานำหวังหลินเอาไปวางไว้
“น้องหก มาเอาม้าของพี่ไปด้วย” เพียงแค่เอ่ยจบมีหนุ่มร่างผอมเดินออกมาและพาม้าออกไป
“เด็กน้อยถือว่าเจ้าโชคร้ายละกัน” หนุ่มกำยำหน้าบากยิ้มอย่างเหี้ยมโหดขณะวางหวังหลินลงและถอนที่ยึดไว้ จากนั้นจี้จุดไปบนไหล่และขาของหวังหลิน
เกิดเสียงแกร๊กไม่กี่ครั้ง ไหล่และขาหวังหลินแตกละเอียด คลื่นความเจ็บปวดเต็มไปทั่วร่างเหงื่อเม็ดโป้งปกคลุมเต็มหน้าผาก สายตาจดจ้องบนชายหน้าบาก จดจำหน้ามันไว้ในความทรงจำ
ชายหน้าบากพ่นลมหายใจ นำยาออกมาป้ายบนหวังหลินจากนั้นหายตัวเข้าไปในพุ่มไม้
หวังหลินนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเจตนาสังหารอยู่เต็มหัวใจ เขาไม่เคยได้รับการกระทำเช่นนี้ในชีวิตแต่ร่างกายเขาอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้ผ่านไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หนึ่งชั่วโมงถัดมาเสียงรถม้าดังขึ้นไกลๆและค่อยๆเข้ามาใกล้
จากนั้นเหล่ารถม้าหยุดกึกและมีบางคนพุ่งออกมาจากรถม้าคันนึง เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและมองลงมาที่หวังหลินก่อนจะตะโกน “หัวหน้า มันเป็นศพ!”
สิ้นคำเขากระโดดลงและเตะหวังหลินเข้าข้างทาง จากนั้นกลับคืนมาและเข้าไปในขบวน
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้งแต่ขณะที่พวกเขาผ่านตำแหน่งหวังหลินไป คบไฟพลันสว่างขึ้นโดยรอบและสว่างเต็มไปทั่วอากาศ
“กองกำลังอำนาจสวรรค์ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ปล้นเจ้าหรือเมื่อพวกเจ้าเดินทางไกลเช่นนี้?ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังซะ!” เสียงตะโกนหนึ่งดังออกจากป่าและบุรุษเหี้ยมโหดสิบแปดคนเดินออกมา
บางคนที่จุดคบไฟขึ้นได้ป้ายสิ่งหนึ่งไปบนหวังหลินซึ่งมันเปลี่ยนไปเป็นควันในไม่นานนักจนปกคลุมกองคาราวาน
“พิษอัคคีเมฆา!” เสียงตะโกนดังออกจากกองคาราวาน หลังจากนั้นไม่นานกองกำลังแต่ละคนสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของตัวเองหายไปทั้งหมด
“ใช่แล้ว นี่คือพิษพิเศษของ 18 วีรบุรุษอัคคีเมฆา! ฮีฮี่ พิษนี้มีผลต่อโลหิตและกระตุ้นด้วยไฟ วันนี้จะไม่มีใครหนีรอดไปได้!”
การสังหารหมู่เริ่มขึ้น เพียงไม่เกินห้านาทีเหล่ากองกำลังมากกว่าครึ่งได้ถูกสังหารไป
เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องกึกก้องในยามค่ำคืน โจรทั้งสิบแปดตนต่างดูโหดร้ายภายใต้แสงคบเพลิงพร้อมกับการปลิดชีวิตเหล่ากองกำลังคุ้มกันด้วย
“ฮ่าฮ่าพี่ใหญ่ มีสตรีถึงสามคน! นี่มันเพียงพอให้เราสนุกกันทั้งคืนเมื่อกลับไปถึง” ชายหน้าบากตัดศีรษะคนผู้หนึ่งจากนั้นหอบเอาหญิงผู้หนึ่งขึ้นมา นางน่ารักแต่ใบหน้าขาวซีดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ชายกำยำหน้าบากหัวเราะ เขาสัมผัสนางเล็กน้อยก่อนจะวางไว้บนหลังตัวเองให้นางตีเขา
อีกสองคนเข้ามาเพิ่มอย่างรวดเร็วและคว้าสตรีอีกสองคนพร้อมกับหัวเราะผู้หญิงคนแรกไปด้วย ไม่นานนักก็มีฝูงม้าออกมาจากถนนด้านข้าง
หนุ่มร่างโตนำกล่องออกมาและมองดูข้างใน เขาร้องตะโกนด้วยใบหน้าพึงพอใจมาก “พี่น้อง ไปกันเถอะ!”
คนทั้งหมดขึ้นไปบนม้าของตัวเองและกำลังจะออกไปพร้อมกับสตรีสามคนร้องไห้ตามทางไปด้วย
หนุ่มหน้าบากผ่านหวังหลินพร้อมกับสตรีบนบ่า “หัวหน้า เจ้าเด็กนี่ยังมีลมหายใจอยู่ เราจะเก็บมันไว้ใช้วันอื่นอีกจะว่าอย่างไร?”
ชายหนุ่มร่างใหญ่พนักหน้ารีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ชายหน้าบากเตะหวังหลินไปให้คนอื่น เขารับไว้และหิ้วหวังหลิน ทั้งหมดร้องตะโกนพร้อมกับขับขี่ออกไปไกล ทิ้งไว้แต่ร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรง
เมื่อพระอาทิตย์สาดส่องในยามเช้า ชาย 18 คนขึ้นภูเขามาครึ่งทาง มีหมู่บ้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่พร้อมกับมีคำสามคำบนป้ายเบื้องหน้า
‘หมู่บ้านอัคคีเมฆา!’
“ทุกคนกลับมาแล้ว เปิดประตู!”
ประตูหมู่บ้านเปิดขึ้นและชายหนุ่มทั้งสิบแปดคนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในไม่นานนักหมู่บ้านก็เริ่มมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ชายหน้าบากถือหญิงสาวไปด้วยพลันลงจากม้าและเอ่ยออกมา “หัวหน้า ข้าขอตัวไปสนุกสนานก่อนนะ” สิ้นคำเขาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของหญิงสาวดังขึ้นได้ยิน
ชายกำยำพวกนี้ชัดเจนแล้วว่าเคยทำเรื่องเหล่านี้ดังนั้นทั้งหมดจึงหัวเราะ หญิงสาวอีกสองคนต่างถูกนำออกไปเช่นกัน
หวังหลินถูกโยนเข้าไปในคุกน้ำแห่งหนึ่งด้านหลังหมู่บ้าน
มันเป็นกรงขังอันมืดสนิท ไม่มีแสงสีเสียง เขาไม่สามารถรู้สึกสิ่งใดได้ด้วยเท้าของตนเองราวกับว่าถูกแขวนไว้กลางอากาศ
ร่างหวังหลินแขวนไว้กลางอากาศและแกว่งไปมา หวังหลินขยับศีรษะบวมเป่งและความเจ็บปวดจากแขนและขาพลันปรากฎราวกับไฟกำลังลุกไหม้แผ่นหนัง
หวังหลินลืมตาขึ้นและเงียบขรึมโดยสิ้นเชิง
เสียงกรีดร้องดังออกมาไกล เพียงแค่มันเบาบางลงตามเวลาที่มันมาถึงคุกแห่งนี้ ทว่าเพราะที่นี่เงียบมากเสียงกรีดร้องจึงราวกับไม่เคยมาถึง
หลังจากสูญเสียพลังปราณทั้งหมดและวิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย หวังหลินไม่มีความรู้สึกว่าเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้อีกต่อไปเหมือนเช่นก่อน แม้รอบด้านจะมืดมิดเขาตระหนักได้ว่าถูกขังไว้ในพื้นที่เล็กๆแห่งหนึ่ง แขนของเขาถูกมัดไว้และร่างกายอยู่ในน้ำเย็น
น้ำที่เขาไม่สามารถเห็นสีเหล่านี้ได้ปกคลุมร่างกายจนถึงคอและปลดปล่อยกลิ่นเหม็นที่ทำให้ทุกคนน่ารังเกียจ
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นอย่างรวดเร็วจึงสามารถหายใจได้ ราวกับเขาถูกปิดสนิทไว้ในบ่อน้ำ หลังเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนจบลงมันจึงเงียบกริบราวกับป่าช้า
“เซียนที่สูญเสียทุกสิ่งคงยิ่งเลวร้ายกว่าคนธรรมดาเสียอีก…” ดวงตาหวังหลินสงบนิ่ง ความโกรธจากความขัดข้องใจได้ถูกซ่อนไว้อย่างดีภายในแววตาเขา
หวังหลินที่สามารถเคลื่อนฟ้าสะเทือนปฐพีไม่คงอยู่อีกต่อไป หวังหลินสูญเสียพลังปราณทุกอย่าง วิญญาณดั้งเดิมแตกสลายและไม่มีความแข็งแกร่งเท่ากับคนทั่วไป แม้แต่เปิดกระเป๋ายังไม่สามารถทำได้
เขาได้สูญเสียร่องรอยกระเป๋าของตนเองอีกด้วย เป็นเรื่องแน่ชัดแล้วว่ามันถูกจอมยุทธ์พวกนั้นเอาไป
ขณะนี้เองร่างงดงามของหลิวเหมอยลอยเหนือหมู่บ้านอัคคีเมฆา นางไม่ได้กระทั่งก้มศีรษะลงเพราะไม่รู้ว่าคนที่นางกำลังค้นหาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
ส่วนหวังหลินที่ขบคิดเงียบๆ แวงตาแปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างขึ้นและกระจ่างขึ้น กรงขังน้ำแห่งนี้มีพลังปราณที่หนาแน่นกว่าพื้นที่อื่นที่เขาเคยไปหลังจากออกมาจากหมู่บ้าน
พลังปราณแห่งนี้ไม่ได้มาจากภูเขาแต่มาจากน้ำ!