376. วันสุดท้ายของปีนี้
ลำแสงสีเขียวหนึ่งเหาะไปทางฝั่งทิศตะวันออกของดาวเคราะห์ซูซาคุ ทว่าเขาไม่ได้เหาะเหินด้วยกายหยาบแต่เป็นวิญญาณดั้งเดิม
มีรอยบุ๋มขนาดเท่ากำปั้นสามจุดบนวิญญาณดั้งเดิมของเขา แต่ละจุดเรืองแสงสีเงินออกมา
คนผู้นี้คือบรรพชนแห่งเผ่ามารยักษ์ เขาบาดเจ็บสาหัสจากเจ้าเด็กมารของซุนไท่และต้องหลบหนีด้วยวิญญาณดั้งเดิม เขากระทั่งไม่มีเวลาพอจะห่วงเรื่องหวังหลิน
แต่เจ้าเด็กมารนั้นประหลาดมาก มันไม่พูดอะไรสักคำและเพียงไล่ล่าเขาเท่านั้น ในหลายเดือนที่ผ่านมาพวกเขาแทบจะวนไปทั้งดาวเคราะห์แล้ว
ระหว่างการไล่ล่านี้บรรพชนเผ่ามารยักษ์ถูกเจ้าเด็กมารชกกำปั้นใส่สองสามครั้ง รอยแผลกำปั้นเล็กๆนี้ดันทำให้เขาบาดเจ็บถึงวิญญาณดั้งเดม หากไม่ใช่ว่าเขาเป็นเซียนมานานและมีวิชาหลับแห่งเผ่ามารยักษ์ เขาคงไม่สามารถหนีมาได้
เขาได้รับบาดเจ็บเกินจนต้องใช้พลังสายเลือดอีกครั้ง ดังนั้นในท้ายสุดเขาก็ล่อเจ้าเด็กมารไปทิศเหนือสุดซึ่งมีกฎเกณฑ์โบราณที่ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ดาวเคราะห์ซูซาคุถูกค้นพบตั้งอยู่ มีเพียงแค่การขังเจ้าเด็กมารเอาไว้ที่นั่นจึงทำให้เขาหนีออกมาได้
เขาอ่อนแออย่างมากและไม่ต้องการได้รับความสนใจจนเกินไปดังนั้นจึงรีบกลับสู่เผ่ามารยักษ์ด้วยความรวดเร็ว ส่วนเรื่องฉีฮู่และสมาชิกในเผ่าอีกคนจะมีชีวิตรอดหรือไม่ เขาลืมเรื่องนั้นนานแล้ว
หลังกลับสู่เผ่ามารยักษ์เขาเข้าสิงร่างคนในเผ่าผู้หนึ่งทันทีและเริ่มปิดด่านฝึกตน
ส่วนหวังหลินนั้นเขาไม่กล้าค้นหาตอนนี้ ซูซาคุได้เริ่มสืบหาเรื่องนี้กันแล้ว ดังนั้นเขาเพียงต้องกัดฟันและยอมแพ้ไปก่อน
แม้ว่าเขาจับหวังหลินไม่ได้ แต่ยังขโมยกระบี่ลึกลับมาได้ ในตอนที่บรรพชนลืมตาขึ้น เขาขยับร่างไปรอบๆและดวงตามืดมิดขึ้น
ร่างกายที่เขาสิงสู่นี้จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อให้กลายเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ เวลานั้นขึ้นอยู่กับความแตกต่างเรื่องระดับเซียนของคนที่เขากำลังสิงและคนที่ถูกสิง
ดวงตาบรรพชนสว่างขึ้น เขาตบกระเป๋าและกระบี่สวรรค์ลอยออกมาเบื้องหน้าเขา
บรรพชนชี้ไปที่กระบี่และเสียงกรีดร้องผสมกับเสียงอ้อนวอนหลุดออกมาทันที
บรรพชนร้องตะโกน “วิญญาณกระบี่ ปรากฎ!”
ควันสีดำออกมาจากกระบี่สวรรค์และเกิดเป็นรูปร่างฉวี่ลี่กั๋ว หลังเขาเห็นบรรพชนเผ่ามารยักษ์ เขาก็เริ่มอ้อนวอนขอความเมตตาทันที “นายท่านข้าขอร้อง โปรดอย่าสังหารข้าเลย ข้าถูกเจ้าคนชื่อหวังบังคับ! ความเกลียดของข้าไม่น้อยไปกว่าท่าน นายท่าน! ข้าเกลียดมันเข้ากระดูก!”
หลังบรรพชนเผ่ามารยักษ์ได้ยินคำพูดของฉวี่ลี่กั๋ว เขาตกตะลึงและจากนั้นยิ้มทันที “เจ้าเป็นวิญญาณกระบี่ที่ประหลาดจริงๆ วิญญาณกระบี่ส่วนใหญ่มักจะมุ่งมั่นและซื่อสัตย์”
ฉว่ยี่กั๋วเผยรอยยิ้มชื่นชมในทันทีและเอ่ยขึ้น “ปู่ของเจ้าฉวี่ลี่…”
บรรพชนจ้องฉวี่ลี่กั๋ว
มันรีบเปลี่ยนสีหน้าทันทีและเอ่ยขึ้น “วิญญาณกระบี่รับใช้พวกนั้นจะเปรียบกับข้าได้อย่างไร? มีแต่คนฉลาดเท่านั้นที่รู้ว่าควรจะติดตามใคร!”
บรรพชนเผ่ามารยักษ์มองฉวี่ลี่กั๋วและจากนั้นลำแสงสีเขียวหนึ่งพุ่งไปที่เขา ฉวี่ลี่กั๋วเริ่มกรีดร้องอย่างโหยหวนขณะพูดเรื่องแย่ๆของหวังหลิน
บรรพชนพ่นลมหายใจและลบล้างคาถาออก จากนั้นเขาตะโกนขึ้น “นับตั้งแต่วันนี้เจ้า เจ้าคือวิญญาณกระบี่ของเข้า เมื่อเจ้ายอมสวามิภักดิ์ด้วยตนเอง ข้าจะไม่วางกฎเกณฑ์ใส่เจ้า นอกจากนั้นในฝ่ามือข้าแล้วเจ้าจะไม่สามารถหนีไปไหนได้!”
ความจริงแสงสีเขียวนั้นหมายถึงการผนึก แต่ฉวี่ลี่กั๋วเพียงแค่เจ็บปวดแทนขณะที่กำลังถูกผนึก
ชายชราตกตะลึงแต่ไม่ได้แสงออกทางสีหน้า เขาตัดสินใจปรับตัวให้ชินกับร่างใหม่
ฉวี่ลี่กั๋วเผยท่าทางยินดีโดยพลัน เขาตบหน้าอกตนเองและเอ่ยขึ้น “นายท่านไม่ต้องห่วง ข้าจงรักภักดีตลอด หวังหลินทารุณข้าดังนั้นข้าจึงขัดขืนเขา แต่นายท่านทำดีต่อข้า ข้าไม่กล้าทรยศท่าน นี่คือคำสาบานของข้าหากข้าทำลายมันขอให้มารหมื่นตนแทงหัวใจข้าได้เลย!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ สายตาบรรพชนเผ่ามารยักษ์ส่องสว่างขึ้น ฉวี่ลี่กั๋วโล่งอก เขาลอบคิด ‘ดูเหมือนว่าปู่ฉวี่ลี่กั๋วจะฉลาด ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอสูรร้ายนั่นจะมาช่วยข้าได้เมื่อไหร่ดังนั้นข้าต้องเอาตัวรอด ข้าจะยอมไปก่อนและเอาคืนเจ้าเฒ่านี่ในอนาคต ข้าฉวี่ลี่กั๋วเป็นคนจงรักภักดีอย่างมาก เจ้าอสูรร้ายนั้นทำดีต่อข้า เช่นนั้นข้าจะทรยศเขาได้อย่างไร?’
ดวงตาบรรพชนสำนักมารยักษ์ส่องสว่างขึ้น เดิมทีเขาต้องการกวาดล้างวิญญาณกระบี่ออกไปและหาตัวใหม่ใส่เข้าไปแทน ทว่าหากมันไม่ใช่วิญญาณกระบี่ตั้งแต่แรกเริ่ม มันจะไม่สามารถใช้พลังของกระบี่ได้เต็มที่
อีกทั้งวิญญาณกระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ของง่าย มันมีความฉลาดพอที่จะอ้อนวอนขอความเมตตา ดังนั้นมันยิ่งทำให้เขาไม่เต็มใจจะให้มันหายไป
อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณกระบี่ที่มีสติปัญญาถือว่าหายากมาก ในระหว่างการต่อสู้วิญญาณกระบี่ที่มีสติปัญญาถือว่าได้เปรียบมหาศาล
เขาไม่รู้ว่าฉวี่ลี่กั๋วเดิมทีไม่ใช่วิญญาณดั้งเดิมและเหตุผลที่เขามีสตปัญญาก็เพราะเป็นปิศาจ
แม้ฉวี่ลี่กั๋วจะผิดคำสาบานที่ให้ไว้ บทลงโทษจะไม่เป็นอันตรายต่อเขาเลย ความจริงเขาก็รอให้บทลงโทษนี้เกิดขึ้นเพราะว่ามันจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แทน
บรรพชนเผ่ามารยักษ์ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเก็บฉวี่ลี่กั๋วเข้าไปในกระบี่และตรวจสอบมันอย่างละเอียด ยิ่งเขามองดูก็ยิ่งตื่นตกใจ
“กระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน! ข้าไม่รู้แม้กระทั่งวัตถุดิบที่สร้างมันขึ้นมา”
ดวงตาพลันสว่างวาบและเก็บวางกระบี่เข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง
ส่วนหวังหลิน เขานำป้ายสิทธิ์เหาะเหินตามภูเขาจนพบถ้ำที่ 1090 และเหาะเหินเข้าไปข้างใน
ถ้ำแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มันคล้ายคลึงกับที่เขาใช้ตอนที่อยู่ในสำนักเหิงยั่ว ทั้งหมดมีแค่เตียงหิน แม้กระทั่งโต๊ะก็ไม่มี
แต่พลังปราณในนี้ถือว่าหนาแน่นมากกว่าข้างนอกหลายเท่า มันดีกว่าบ่อในหมู่บ้านอัคคีเมฆาตอนที่เพิ่มพลังด้วยหินวิญญาณระดับสูงสามก้อน
แม้ว่าพลังปราณที่ปลดปล่อยจากหินวิญญาณระดับสูงถือว่าดูดซับได้ง่าย แต่มันขาดความรู้สึก โดยเฉพาะหินวิญญาณที่ใกล้จะหมดลงซึ่งไม่มีแรงเหลืออยู่เลย พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากสายแร่วิญญษณที่นี่ยังดีมากกว่าอีก
หวังหลินนั่งลงในท่านั่งดอกบัวบนเตียงหินและเริ่มบ่มเพาะ
สามวันถัดมาหวังหลินลืมตาขึ้นและส่ายศีรษะ เขารู้สึกว่ามันยังอ่อนเกินไป เขาตบกระเป๋าและนำหินวิญญาณระดับสูงออกมาสามก้อน จากนั้นวางกฎเกณฑ์บนผนังและทางเข้าก่อนจะหลับตาบ่มเพาะอีกครั้ง
ซึ่งทำให้พลังปราณในห้องที่ 1090 หนาแน่นโดยทันที เมื่อพลังปราณไปถึงกำแพง กฎเกณฑ์ที่วางเอาไว้จะทำให้มันกระดอนกลับเพื่อป้องกันไม่ให้มันกระจายออกไป
ถ้ำได้กลายเป็นเหมือนห้องอบไอน้ำ พลังปราณไม่มีที่ไหนจะไปดังนั้นหวังหลินจึงเป็นทางออกเดียวของมัน
ขณะที่เขาหายใจ พลังปราณจำนวนมากพรั่งพรูในร่างกาย
ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆขณะบ่มเพาะอย่างเงียบเชียบ
จำนวนพลังปราณในร่างเขาค่อยๆเติบโตขึ้นแต่มันยังห่างไกลจากที่เขาต้องการทำลายเขตแดนและผนึกมากนัก เขตแดนแห่งชาและผนึกดูดกลืนพลังปราณที่ติดมาแม้ระดับฝึกฝนของหวังหลินจะเพิ่มขึ้นมันก็ยากที่จะทำลายได้
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่หวังหลินกลายเป็นศิษย์สายนอกของสำนักหลอมวิญญาณ
วันนี้หวังหลินลืมตาขึ้น ดวงตาสว่างสดใสมากกว่าเมื่อก่อน ในเดือนที่ผ่านมานี้เขาดูดซับพลังปราณอย่างบ้าคลั่ง หินวิญญาณระดับสูงสามก้อนมีจำนวนสองก้อนที่สลายกลายเป็นฝุ่นและเหลือก้อนสุดท้ายกำลังจะหมดอายุ
หลังจากใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปอย่างไร้ค่า สิ่งที่เขาได้รับในเดือนนี้ถือว่ามหาศาล เขาเริ่มที่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับต้นและทำการบรรลุไปถึงระดับปลายขั้นสูงสุดและเหลือเพียงก้าวเดียวไปสู่ระดับปลาย
“มันยังช้าเกินไป ข้าต้องเสียหินวิญญาณระดับสูงอย่างไร้ค่าเพื่อมาถึงขั้นนี้ ข้าเหลือหินวิญญาณระดับสูงเพียงแค่สิบห้าก้อนเท่านั้น ของพวกนี้จะไม่พอแน่” หวังหลินถอนหายใจและขยับร่างกาย
รอยร้าวปรากฎบนเตียงหินจนเกิดเสียงแตกไปทั่วห้อง
รอยแตกปรากฎไปจนถึงกำแพงรอบด้าน
หวังหลินจดจ้องและจากนั้นเริ่มคิด เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเพราะพลังปราณหนาแน่นเกินไปจนถ้ำไม่สามารถรับไหว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปรอยร้าวจะยิ่งขยายมากขึ้น
“ข้าไม่สามารถใช้ถ้ำแห่งนี้ได้อีกต่อไป ข้าต้องเปลี่ยนถ้ำ” ฝ่ามือหวังหลินกดไปบนกำแพงและรอยร้าวทั้งหมดติดกันในทันที
แม้กระทั่งเตียงหินก็กลับคืนสู่ปกติตอนที่หวังหลินกดลงไป
หวังหลินรู้ได้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น หากพลังปราณเพิ่มขึ้นรอยร้าวจะปรากฎอีกครั้ง
แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้ใช้หินวิญญาณระดับสูง รอยร้าวจะไม่ปรากฎและจะไม่เกิดความสงสัยใด
หวังหลินขบคิดและยืนขึ้นเปิดประตูถ้ำเดินออกไป
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำและดวงอาทิตย์เรืองแสงสีแดงกำลังลาลับเส้นขอบฟ้า วันนี้เป็นคือวันสุดท้ายของปีนี้ หวังหลินมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังตก แสงอาทิตย์ยามฤดูหนาวไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย ตอนที่มันกระทบบนร่างกายมันยิ่งทำให้หนาว
เขาครุ่นคิดและจดจำได้ว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของปีนี้ เมื่อวันนี้ผ่านพ้นไปจะเป็นปีใหม่ เขาคิดว่าโจวลี่น้อยกำลังทำอะไร หรือนางยังคงแกล้งเจ้าขาวน้อย…
เมื่อคิดเรื่องนี้หวังหลินยิ้มบางๆ ใบหน้าเผชิญกับดวงอาทิตย์และสูดหายใจลึก
หวังหลินพึมพำกับตนเอง “ชีวิตที่ลุกขึ้นจากกองขี้เถ้า!” จากสถานะที่สูงขึ้นไปเท่าเทียมสวรรค์ เขาตกลงมากลายเป็นคนธรรมดาแต่ยังสามารถผ่านทั้งหมดนี้ได้ด้วยความมุ่งมั่นของตนเอง
มันจะไม่ถึงวันนี้ได้หากเขายังคงเศร้าเสียใจและก่นด่า ขณะที่คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่สูญเสียระดับฝึกตน ความรู้สึกอันซับซ้อนปรากฎขึ้นในใจเขา
วันนี้คือวันสุดท้ายของปีนี้ นั่นแสดงถึงการร่วงหล่นของหวังหลิน แต่วันพรุ่งนี้คือวันแรกของปีใหม่นั่นแสดงถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆอันไร้ที่สิ้นสุด
หวังหลินกระซิบ “มันผ่านไปแล้ว…”
ขณะนั้นร่างหญิงงามผู้หนึ่งลอยไปทางสำนักหลอมวิญญาณพร้อมกับพระอาทิตย์กำลังลาลับ
ดวงตาหวังหลินเพ่งพินิจ “คนผู้นี้…ช่างคุ้นเคย..”