419. ซูซาคุรุ่นสอง? ซือถูหนาน?
ตุ้นเทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “นี่คือพลังของธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงแห่งสำนักหลอมวิญญาณ เจ้าคิดเช่นไร?”
“ทรงพลังมาก!” หวังหลินตอบกลับ
ตุ้นเทียนหัวเราะ “การใช้ธงวิญญาณไม่ได้มีแค่วิธีเดียว ตัวอย่างเช่นบรรพชนรุ่นที่หกเก่งในเรื่องค่ายกล ดังนั้นเขาจึงใช้มันสร้างค่ายกล”
ตุ้นเทียนรีบกลับไปแคว้นพิลู เขาเล่าให้หวังหลินฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงให้มากขึ้น “เขตแดนของบรรพชนรุ่นที่สิบคือกลืนกิน ดังนั้นจึงใช้ธงวิญญาณกลืนกินวิญญาณดวงอื่นทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม”
“ทว่าหนึ่งวิชาที่ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงมักจะมีมาเสมอนั่นก็คือการรวมร่าง วิญญาณขั้นเทวะที่เจ้าเห็นถูกสร้างมาจากการรวมร่าง แม้ว่ามันไม่ได้คงอยู่ตลอดไปแต่สามารถต่อสู้กับเซียนขั้นเทวะได้ในเวลาหนึ่งก้านธูป”
“แต่ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ไพ่ตายจริงๆของธงวิญญาณสิ่งที่สามารถคุกคามเหล่าเซียนขั้นเทวะได้จริงๆคือวิญญาณหลักดวงที่สี่ ในหลายหมื่นปีมานี้วิญญาณดวงที่สี่ปรากฎขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อตอนนั้นบรรพชนของเราขั้นเทวะระดับต้นได้เข้าต่อสู้ร่วมกับซูซาคุรุ่นที่สองเพื่อต่อต้านเซียนขั้นเทวะระดับปลายสี่คนจากดาวอื่น”
การขโมยหินหยกสวรรค์เป็นเหตุผลหลักที่พวกเขาออกมา ตุ้นเทียนยังต้องการสอนหวังหลินเกี่ยวกับเรื่องราวของธงวิญญาณเพื่อให้เขาสามารถควบคุมมันได้ดีที่สุดอีกสองปีนับจากนี้
ตุ้นเทียนไม่ได้ผูกมัดอะไรหวังหลินไว้เลย เขาเลี้ยงดูหวังหลินราวกับเป็นศิษย์สายตรงจริงๆ
ความลับเกี่ยวกับธงวิญญาณปกติแล้วจะถูกส่งต่อจากอาจารย์ไปถึงลูกศิษย์เท่านั้น แม้ว่าตุ้นเทียนและหวังหลินไม่ได้เป็นศิษย์อาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่สายใยของพวกเขาคล้ายคลึงกันเช่นนั้น
หวังหลินเอ่ยถามขึ้นดวยสายตาเคร่งขรึม “พร้อมกันกับซูซาคุรุ่นสอง?”
ตุ้นเทียนพยักหน้า “หลังต่อสู้กับเผ่าละทิ้งอมตะ ซูซาคุรุ่นแรกเสียสละตัวเองพร้อมกับเซียนขั้นเทวะระดับปลายไปหลายคนเพื่อผนึกเผ่าละทิ้งอมตะเอาไว้ จากนั้นจึงแต่งตั้งคนผู้หนึ่งให้กลายเป็นซูซาคุรุ่นที่สอง”
“คนผู้นี้มีพรสวรรค์โดดเด่นแตกต่างจากซูซาคุรุ่นหลังเขามาทั้งหมด ไม่ได้กดขี่แคว้นระดับห้าเลยสักแห่งและปกครองเป็นเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งพันปี เขามีระดับบ่มเพาะสูงส่งมากกว่าซูซาคุคนใดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่าเขาได้ก้าวไปถึงขอบเขตถัดไปหลังจากขั้นเทวะและอีกเพียงครึ่งก้าวจะบรรลุระดับถัดไปอีก”
“ไม่สงสัยเลยว่าเขาเป็นเซียนอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ดาวซูซาคุ!”
หวังหลินจิตใจสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาคิดถึงสิ่งที่ซือถูหนานพูดมาตลอดและพูดว่าเขาคืออันดับหนึ่งในดาวซูซาคุ
“เขาชื่ออะไร?”
ตุ้นเทียนส่ายศีรษะ “มันนานมากเกินกว่าจะมีใครยังจำชื่อเขาได้ เราจดจำเขาเพียงแค่ว่าเป็นซูซาคุรุ่นที่สอง ซูซาคุคนปัจจุบันอาจจะรู้เรื่องนี้”
หวังหลินถามต่อ “สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน?”
ตุ้นเทียนเอ่ยช้าๆ “เขาอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้” พลันถอนหายใจและเอ่ยต่อ “เล่าลือกันว่าการต่อสู้กับเซียนต่างแดนไม่ได้รุนแรงน้อยไปกว่าการต่อสู้กับวิญญาณบรรพชนของเผ่าละทิ้งสวรรค์เลย ในตอนท้ายบรรพชนของสำนักหลอมวิญญาณยังไม่อาจได้เปรียบ ซึ่งเขาเป็นเพียงแค่เซียนขั้นเทวะระดับต้นเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้วิญญาณดวงที่สี่ออกมาและสังหารเหล่าเซียนต่างแดนไปหนึ่งคน ทว่าวิญญาณดวงที่สี่ได้รับบาดเจ็บหนักและหลับลึกมาตั้งแต่นั้น จากการคาดคำนวณของข้า ตอนนี้มันควรจะฟื้นฟูพลังมาได้เต็มเปี่ยมแล้ว”
“แม้ว่าการรบจะชนะ ซูซาคุรุ่นสองถูกเหล่าเซียนต่างแดนไล่ล่าและหายตัวไป”
จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขานึกถึงตอนที่ซือถูหนานเล่าให้ฟังว่าต่อสู้กับเซียนต่างแดนไปหลายคน
ท้ายที่สุดร่างเขาถูกพวกมันทำลายแต่วิญญาณเซียนหนีรอดเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและนับแต่นั้นชีวิตเขาจึงปลอดภัย
ซือถูหนานเกลียดชังคนเหล่านั้นมากมายมหาศาลนัก
จากคำบอกเล่าของตุ้นเทียน โชคชะตาของซูซาคุรุ่นสองช่างคล้ายคลึงกับซือถูหนานเสียจริงๆ
หวังหลินสูดหายใจลึกและดวงตาสว่างขึ้น เขาต้องไม่พอใจกับซูซาคุคนปัจจุบัน หากซือถูหนานตื่นขึ้นคงไปช่วยเหลือซูซาคุ…
ตุ้นเทียนมองหวังหลินและเอ่ยถาม “เจ้ากำลังคิดสิ่งใด?”
หวังหลินครุ่นคิดและเอ่ยถาม “สงครามที่เกิดขึ้นกับเผ่าละทิ้งอมตะและแคว้นซูซาคุตอนนี้ หากซูซาคุรุ่นสองยังมีชีวิตอยู่คิดว่าเขาจะช่วยเหลือซูซาคุรุ่นนี้ไหม?”
ตุ้นเทียนหัวเราะและส่ายศีรษะ “ไม่นับความเป็นไปได้ที่ซูซารุ่นสองจะมีชีวิตอยู่ แต่หากเขายังอยู่คงไม่ช่วยซูซาคุรุ่นปัจจุบันหรอกเพราะพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ข่าวลือว่าซูซาคุรุ่นสองหยิ่งยะโสนักหากไม่ใช่ว่าเขาติดค้างซูซาคุรุ่นแรกก็คงออกไปจากดาวเคราะห์นี้ไปแล้ว”
หวังหลินพยักหน้า ดวงตาสว่างขึ้นและถามอีก “ซูซาคุมีมากี่รุ่นแล้ว?”
ตุ้นเทียนพ่นลมหายใจ “ซูซาคุปัจจุบันเป็นรุ่นที่สิบสี่และเป็นคนที่ข้าเกลียดที่สุด”
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามทันที “ผู้อาวุโส วิญญาณบรรพชนเผ่าละทิ้งอมตะที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้มันคืออะไร?”
ตุ้นเทียนส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้อะไรนักและเห็นจากบันทึกในสำนักเท่านั้น เมื่อตอนนั้นระหว่างการต่อสู้ครั้งใหญ่กับเผ่าละทิ้งอมตะ จิตวิญญาณบรรพชนปรากฎขึ้นทำให้เซียนขั้นเทวะตายไปจำนวนมาก เราจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ทวีปซูซาคุอยู่ไม่ไกลแล้ว เจ้ารีบบรรลุขั้นแปลงวิญญาณเข้าเถอะ” สิ้นคำตุ้นเทียนพลันเร่งความเร็วขึ้นทันที
ในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่เดือน ตุ้นเทียนพาหวังหลินเดินทางไปเกือบครึ่งดาว กระทั่งตอนนี้พวกเขาเห็นทวีปซูซาคุปรากฎเบื้องหน้าแล้ว
“ท่านบรรพชนบันทึกชื่ของหนึ่งในเซียนต่างแดนเอาไว้ เขาพูดว่ามาจากดาวเคราะห์เบญจธาตุและเรียกตัวเองว่า หน่าต้าว ใช่แล้วชื่อนี้น่าจะถูกต้องเมื่อเรากลับไปข้าจะยกหินหยกบันทึกให้”
[TL: หน่าต้าวปรากฎตัวในบทที่ 248 ขอเปลี่ยนจากหน่าตัวเป็นหน่าต้าวนะครับ]
“หน่าต้าว!” ร่างหวังหลินสั่นสะท้าน
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” ตุ้นเทียนหันมาหาหวังหลินและมองเขาด้วยสายตาสงสัย
หวังหลินสูดหายใจลึกและเอ่ยออกมา “ข้าเคยพบกับหน่าต้าวคนนี้”
ตุ้นเทียนตกตะลึง สายตาสว่างวาบและถามออกมา “เจ้าเคยพบกับหน่าต้าวรึ?”
จากหวังหลินจึงเล่าเรื่องราวของหน่าต้าวให้ตุ้นเทียนทันที
“น่าสนใจ! เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่านั่นอาศัยมาหลายหมื่นปีต้องผ่านขั้นเทวะและบรรลุระดับถัดไปแล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้!”
ทั้งสองเหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้าอย่างรวดเร็วมาถึงพื้นที่ส่วนเหนือของทวีปซูซาคุ
ตอนนี้สายตาหวังหลินเคร่งเครียด ตุ้นเทียนดูเหมือนจะสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ทำให้เขาคว้าตัวหวังหลินและถอยกลับไป
ม่านแสงสีเขียวปรากฎขึ้นบนขอบทวีปซูซาคุและปกคลุมทั้งทวีป
“ค่ายกลซูซาคุ!” ตุ้นเทียนไม่ชอบใจ
ค่ายกลซูซาคุเป็นค่ายกลที่ทรงพลังที่สุดบนดาวเคราะห์ กล่าวได้ว่าค่ายกลนี้ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เมื่อมันใช้พลังเต็มที่มันสามารถปกคลุมดวงดาวเพื่อปกป้องเซียนต่างแดนหรืออสูรที่อาศัยในอวกาศได้
ขนาดเล็กที่สุดสามารถใช้เป็นโล่ห์ขนาดเท่าคนธรรมดาและมีพลังแข็งแกร่งมาก
“ดูเหมือนว่าแคว้นซูซาคุตัดสินใจจะเอาชนะเผ่าละทิ้งสวรรค์แน่นอนแล้ว หินวิญญาณที่ต้องใช้กระตุ้นค่ายกลซูซาคุนั้นถือว่ามากมายเหนือคณานับและยังต้องใช้หินหยกสวรรค์จำนวนมาก ฮ่าฮ่า นั่นเพียงพอที่จะปะทะกับเซียนขั้นเทวะระดับปลายสักคน” ดวงตาตุ้นเทียนสว่างไสวและชี้ไปเบื้องหน้า ควันสีดำเส้นนึงออกมาจากนิ้วร่อนลงบนม่านแสงสีเขียว
ในจังหวะควันพุ่งเข้าไปใกล้ ม่านแสงสีเขียวสั่นสะท้านเกิดเป็นกำปั้นเขียวชกใส่ควัน
ตู้มมมม!
หลังเสียงดังรุนแรง ควันสีดำหายไปและกำปั้นคืนกลับเข้าม่านแสงสีเขียว
ตุ้นเทียนเยาะเย้ย “ถึงกับใส่โลหิตของเผ่ามารยักษ์ มิน่าเล่าค่ายกลจึงมีพลังอำนาจสายเลือดเผ่ามารยักษ์”
“เจ้าไม่ควรทิ้งปัญหามากมายไว้เบื้องหลังตอนที่ไปเผ่ามารยักษ์ หากข้าไปด้วยตัวเองข้าคงสังหารพวกมันทั้งหมดเพื่อป้องกันพวกมันเอาคืนในอนาคต ตอนที่เผ่าละทิ้งอมตะโจมตี เฉียนเฟิง ศิษย์คนที่สองของซูซาคุเข้าไปในเผ่ามารยักษ์ ปลดผนึกพวกเขาและเคลื่อนย้ายคนทั้งหมดมาที่แคว้นซูซาคุ”
“ข้ากำลังสงสัยว่าทำไมแคว้นซูซาคุถึงใจกว้างได้ขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าหลังจากได้โลหิตจำนวนมากจากเผ่ามารยักษ์ ค่ายกลนี้จึงมีพลังสายเลือดบางส่วน”
หวังหลินนิ่งเงียบ เมื่อมีฉีฮู่อยู่ที่นี่ไม่มีทางที่เขาจะสังหารคนทั้งหมดได้เลย
ตุ้นเทียนเปลี่ยนสายตาเย็นชาพร้อมกับตะโกนจ้องค่ายกลซูซาคุ “ค่ายกลซูซาคุล้อมรอบทั้งทวีป ต้องมีสักคนกำลังควบคุมค่ายกลไว้ทุกห้าพันลี้ ออกมาหาตาเฒ่าผู้นี้ไม่เช่นนั้นข้าจะเปิดมันเองก่อนที่เผ่าละทิ้งอมตะจะมาถึง!”
“ข้ามีความอดทนจำกัด! จะให้เวลาเจ้าสามลมหายใจ!”
สองลมหายใจถัดมา ร่างหนึ่งปรากฎในม่านแสงสีเขียว คนผู้นี้มีผมยาว สวมเสื้อคลุมสีขาว ดูหล่อเหลาแต่แฝงไปด้วยความชั่วร้าย รวมกันแล้วมีเสน่ห์อย่างลึกลับ
คนผู้นี้ยิ้มออกมาและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสโปรดอย่าโกรธเกรี้ยว เมื่อท่านขอให้ผู้น้อยออกไป ผู้น้อยก็จะออกไป”
ตุ้นเทียนเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “เปิดค่ายกล!”
“ตามที่ท่านสั่ง” ชายหนุ่มดูชั่วร้ายยกฝ่ามือขึ้นและชี้ไปที่ม่านแสงสีเขียว หลุมหนึ่งเปิดชึ้นและตุ้นเทียนพ่นลมหายใจพร้อมเข้าไปในทวีปซูซาคุ
หวังหลินตามไปอย่างใกล้ชิด
ขณะนั้น แววตาชายหนุ่มดูชั่วร้ายส่องสว่างวาบและโบกสะบัดแขน ม่านแสงสีเขียวปิดลง ดวงตาหวังหลินเย็นชาทันที เขาติดอยู่ข้างนอก
“เจ้าหนุ่ม รนหาที่ตาย!” ดวงตาเย็นชาของตุ้นเทียนมองชายหนุ่มที่ดูชั่วร้ายคนนั้น
เขาไม่ได้เผยความหวาดกลัวแต่อย่างใดทว่ายิ้มเบาๆและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสโปรดอย่าพึ่งโกรธเกรี้ยว ข้าเพียงแค่ต้องการต่อสู้กับสหายเซียนเซิ่งหนิวผู้สั่นสะเทือนไปทั้งดาวเคราะห์ เซิ่งหนิวเจ้ากล้าสู้กับข้าไหม?”
ชายหนุ่มดูชั่วร้ายมองไปที่หวังหลินซึ่งอยู่นอกม่านแสงสีเขียว
“เจ้าเป็นใคร?” หวังหลินขมวดคิ้ว
“สหายเซียนเซิ่งหนิว แม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่เราพบกัน แต่ข้ารู้จักเจ้าจนเอียนแล้ว ผีเสื้อสีชาดนางบำเรอของข้าเพียงแค่ไม่อาจหยุดคิดถึงเจ้าเลย” ชายหนุ่มยิ้มออกมา
“เฉียนเฟิง!” ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น