Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 469

Cover Renegade Immortal 1

469. หนึ่งปี

ห่างจากไกลดาวซูซาคุ หลิวเหมยกำลังเหาะเหินในอวกาศด้วยแสงสีม่วงทองใต้ฝ่าเท้า ใบหน้านางน่าเกลียดมาก

“หวังหลิน…” หลิวเหมยกัดริมฝีปากขณะเคลื่อนผ่านอวกาศราวกับเส้นสายฟ้า

“ถ้าหากอาจารย์ไม่บอกความลับเรื่องวิญญาณดวงที่สี่ ข้าคงไม่มีโอกาสรอดเมื่อเผชิญกับวิญญาณหลักสี่ดวงพวกนั้น!” แสงกระพริบสีม่วงทองปรากฎบนหน้าผากหลิวเหมย ภาพเข็มบางๆกำลังกระพริบถี่

“เมื่อเราเจอกันอีกครั้ง ข้าจะไม่ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ หวังหลินเจ้าไม่อาจจดจำข้าได้แน่นอนหลังจากเขตแดนพันจินตภาพไร้ปราณีกลายเป็นเขตแดนพันปิศาจมายา” ดวงตาหลิวเหมยเย็นเยียบและร่างหายวับไปท่ามกลางดวงดาว

หลิวเหมยไม่ใช่คนเดียวที่ออกจากดาวซูซาคุ ตอนนี้มีหญิงสาวอีกคนเคลื่อนไหวผ่านอวกาศอย่างรวดเร็วเช่นกัน

สตรีคนนี้สวมผ้าปิดหน้าสีม่วงและดวงตาเยือกเย็น นางคือซื่อฉิน!

ณ ดาวซูซาคุ แคว้นซู​สำนักฟ้าเมฆา

ตอนนี้มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างในกระท่อมที่ลี่มู่หวานเคยอาศัยอยู่มาอย่างยาวนาน

เขาสวมผ้าคลุมสีขาว เส้นผมสีดำปัดไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ แม้ว่าเขาดูธรรมดา ทว่ากลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนยากจะลืมเลือนเรื่องของเขา

สายตาเยือกเย็นและกระจ่างใสราวกับเด็กแต่ดูล้ำลึกด้วยเช่นกัน ง่ายดายนักที่จะทำให้ผู้คนลืมตัวตนเมื่อมองเขา

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง

พื้นที่กว้างด้านนอกมีพยัคฆ์ขี้เกียจตัวหนึ่งกำลังนอนอาบแดด มันลืมตาขึ้นเป็นพักๆส่งเสียงคำรามต่ำ พลิกตัวและหงายท้องขึ้นสู้แดดด้วย

ใต้ร่มเงาใกล้พยัคฆ์เป็นหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ในท่านั่งดอกบัว สตรีนางนี้มีภาพลักษณ์บริสุทธิ์ผุดผ่อง ความไร้เดียงสาของนางทำให้มีเสน่ห์ยิ่งไปอีก นางนั่งอยู่ที่นี่ราวกับกำลังฝึกฝน ควันสีขาวสองเส้นออกมาจากจมูกนางและลอยขึ้นเหนือศีรษะ

บุรุษในกระท่อมเป็นใครไม่ได้นอกจากหวังหลิน!

หนึ่งปีก่อนเขาออกจากสุสานซูซาคุและกลับมาแคว้นซู หลังจากกลับมาเขาก็ปิดด่านฝึกตนทันทีเป็นเวลาหนึ่งปี

ภายในเวลาหนึ่งปี หวังหลินฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั้งหมดที่ได้รับในสุสานซูซาคุและระดับฝึกฝนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้เขายังไม่ได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางแต่ระดับต้นของเขามั่นคงยิ่งขึ้น

เจ็ดวันก่อน ซูซาคุโจวหวู่ไท่เชิญชวนเขาไปพิธีแต่งตั้งแต่หวังหลินปฏิเสธไป

โจวหวู่ไท่รู้อยู่แล้วว่าหวังหลินจะไม่อยู่ที่นี่ดังนั้นจึงไม่ได้บังคับ เขาสัญญาว่าตราบใดที่โจวหวู่ไท่ยังหายไป สหายของหวังหลินจะมีชีวิตอย่างสงบ!

หวังหลินมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะถอนสายตาออกมา เขาตบกระเป๋าและกระบี่สวรรค์ลอยออกมาด้านหน้า

เมื่อกระบี่สวรรค์ปรากฎ ดาบครึ่งจันทราลอยออกมาจากกระเป๋าเช่นกัน ดาบหมุนวนรอบกระบี่สวรรค์ราวกับมันมีความสุขอย่างมาก

“นายท่าน หมายเลขสี่ได้ถูกข้าเลี้ยงดูและเชื่อฟังมาก หมายเลขสี่ออกมาคารวะนายท่าน!” น้ำเสียงฉวี่ลี่กั๋วออกมาจากกระบี่สวรรค์จากนั้นควันสีดำลอยออกมาและเกิดเป็นร่างมันที่ดูภาคภูมิใจ

ดาบครึ่งจันทราสั่นไหวและควันสีฟ้าเข้มลอยออกมาเปลี่ยนเป็นรูปร่างเด็กชายคนหนึ่ง ร่างเด็กชายไม่คมชัดทว่าหลังจากออกมามันก็คับเข้าหาหวังหลินและส่งข้อความผ่านสัมผัสวิญญาณ “ขอคำนับ!”

หลังเห็นดาบเล่มนี้หวังหลินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉวี่ลี่กั๋ว

ก่อนนั้นตอนที่พบฉวี่ลี่กั๋วเขาไม่รู้ว่ามันทำอะไรลงไปแต่เขาได้รับดาบครึ่งจันทรามาด้วยดี

เมื่อดาบครึ่งจันทราเห็นฉวี่ลี่กั๋วกำลังจะออกไป มันรีบติดตามไป ทั้งหมดนี้อยู่นอกเหนือสิ่งที่หวังหลินคาดคิด

แม้ว่าหวังหลินยังไม่สามารถควบคุมมันหรือประทับสัมผัสวิญญาณลงไปได้ ทว่าตราบใดที่ฉวี่ลี่กั๋วเผชิญอันตราย ดาบครึ่งจันทราจะช่วยเหลือมัน

เป็นผลให้ความอหังการของฉวี่ลี่กั๋วเพิ่มขึ้น หากความจริงมันไม่กลัวหวังหลินและหวังหลินกุมชีวิตมันไว้อยู่ ฉวี่ลี่กั่วคงทรยศไปแล้ว

หวังหลินรู้ตัวว่าไม่อาจเปรียบกับดาบครึ่งจันทราได้ หากต่อสู้กับมันจะอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเจ้าดาบครึ่งจันทรานี้กลับชอบฉวี่ลี่กั๋ว ดังนั้นหวังหลินจึงใช้ฉวี่ลี่กั๋วเพื่อควบคุมมันอีกที

เวลาในช่วงปีนี้ หวังหลินพยายามศึกษาดาบครึ่งจันทรา เพียงแต่เสี้ยววิญญาณของใครกันถึงมีพลังเพียงพอที่ก่อร่างกระบี่เล่มนี้ขึ้นได้?

แม้จนถึงตอนนี้หวังหลินยังไม่มีความคืบหน้าใดๆและเมื่อเวลาผ่านไปหวังหลินก็ไม่ได้ใช้เวลากับเรื่องนี้อีก

“นายท่าน ข้าจะพาหมายเลขสี่ไปเดินเล่นรอบๆ” หลังเห็นหวังหลินพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต มันพุ่งออกจากหน้าต่างทันที

ดาบครึ่งจันทราติดตามไปอย่างรวดเร็ว

กระบี่และดาบหายไปในท้องฟ้าซึ่งไม่มีใครรู้ว่าไปไหน

หวังหลินสัมผัสกระเป๋า เขายังมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำก่อนจะจากไป สมบัติจำนวนมากในกระเป๋าจำเป็นต้องหล่อหล่อมอีกครั้ง นอกจากนั้นการเดินทางไปดาวเทียนหยุนปกคลุมไปด้วยสายหมอก เขาไม่มีความคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครั้งนี้

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น น้ำเสียงเหย่อหยิ่งออกมาจากอากาศว่างเปล่าและเข้าสู่หูหวังหลิน

“หวังหลิน มาดูเรื่องที่เจ้าขอให้ข้าไปสืบเสาะ! ข้าอยู่นอกเมืองฟินิกซ์ในหมู่บ้านชื่อมัลเบอรี่! ในภายภาคหน้ารบกวนข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ข้ากำลังมีความสุขสมหวังกับชีวิตการเป็นราชา ดังนั้นข้าไม่มีเวลาให้เจ้า”

“ส่วนเรื่องนั้น เมื่อเจ้ากำลังจะจากไป จงบอกข้าด้วยและเราค่อยไปด้วยกัน!”

น้ำเสียงซือถูหนานเต็มไปด้วยความสุขและจากนั้นก็หายวับไป

หวังหลินเผยรอยยิ้ม เขาพบซือถูหนานอีกครั้งหลังออกมาจากสุสานซูซาคุ เดิมทีพวกเขากำลังจะกลับไปแคว้นซูและออกจากที่นี่ไปด้วยกันหลังตกลงเรื่องราวบางอย่าง ทว่าระหว่างทางไปแคว้นซู ซือถูหนานเห็นปราสาทคนทั่วไปแห่งหนึ่งและแรงกระตุ้นการเป็นราชาก็เกิดขึ้นมา ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจเขาก็ไม่ไปแคว้นซูกับหวังหลินและเร่งรีบไปหาปราสาทแห่งนั้นแทน หวังหลินไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรแต่ว่าวันถัดไป องค์ราชาก็ทำให้ซือถูหนานกลายเป็นราชาเทียบเท่ากับราชาจริงๆ!

ตั้งแต่ตอนนั้นมาเขาก็มีชีวิตที่ไร้ความกังวล ทว่าเขายังไม่ลืมเรื่องการออกไปจากดาวและบอกหวังหลินให้บอกเขาด้วยตอนที่พร้อมจะไป

หวังหลินสูดหายใจลึก ยืนขึ้นเปิดประตูและเดินออกไป

ขณะที่เขาเดินออกมา หญิงสาวใต้ร่มเงาลืมตาอันสวยงามขึ้น หลังเห็นหวังหลินนางก็ยิ้มแย้ม จบสิ้นการฝึกและเอ่ยอย่างมีความสุข “ท่านลุง ท่านคิดว่าความเร็วการฝึกฝนของลี่เอ๋อเป็นเช่นไร? ข้าบรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับสองแล้วนะ!”

หญิงสาวคนนี้คือโจวลี่!

หนึ่งปีก่อนหลังจากหวังหลินมาถึงแคว้นซู เขาอัญเผชิญเจดีย์และปล่อยโจวลี่และเจ้าขาวน้อยออกมา

หวังหลินทิ้งอาหารไว้จำนวนมากในเจดีย์เพื่อให้โจวลี่กิน

หลังโจวลี่ออกมานางอ้อนวนอให้เขาสอนวิธีการฝึกเซียนให้นาง หวังหลินไม่อาจเอาชนะนางได้ดังนั้นจึงใช้บทร่ายการฝึกฝนขั้นรวบรวมลมปราณ

โจวลี่กลายเป็นผู้ใหญ่ในพริบตา หวังหลินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลี่มู่หวานตอนที่เขามองโจวลี่

“ท่านลุง มีอะไรผิดหรือ?” โจวลี่เดินเข้ามาและเห็นหวังหลินมองด้วยสายตาแปลกประหลาด

ความรู้ของลี่มู่หวานในโจวลี่ถูกหวังหลินกวาดล้างออกไปดังนั้นนางจึงไม่รู้เรื่องลี่มู่หวานไปโดยปริยาย ส่วนเจ้าขาวน้อยมันบอกอะไรนางไม่ได้อยู่แล้ว

หวังหลินสัมผัสเส้นผมโจวลี่พลันเผยสายตาอ่อนโยน ความอ่อนโยนเช่นนี้หายากนักจากหวังหลิน แม้เขาจะดูคล้ายกับมีอายุเท่ากับโจวลี่ ทว่าสายตาอ่อนโยนนี้เป็นไปตามธรรมชาติ

หวังหลินเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ลุงกำลังแก่ขึ้นเรื่อยๆ มองเจ้าแล้วทำให้ข้าคิดถึงคนที่ข้ารู้จัก…”

โจวลี่หัวเราะ น้ำเสียงนางคล้ายกับเสียงกระดิ่งในสายลมอ่อนโยน และกล่าวขึ้น “ท่านลุง ท่านไม่ได้แก่เลย ศิษย์น้องคนใหม่พึ่งถามข้าเมื่อวานว่าท่านเป็นพี่ชายข้าหรือ”

หวังหลินยิ้มบาง เด็กคนนี้ใช้เวลาทั้งวันเมื่อวานในการฝึกฝนบ่มเพาะ ดังนั้นจะไปมีศิษย์น้องได้ยังไงเล่า นางพูดเพื่อให้เขาสบายใจ

“ลุงฝึกฝนมาแล้วหกร้อยปี ข้าจะไม่แก่ได้อย่างไร?” หวังหลินถอนหายใจออกมา สายตาเผยร่องรอยที่ผ่านกาลเวลา

เขาพบเจออะไรมามากมายในเวลาหกร้อยปี จากคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จักขึ้นมาถึงวันนี้ได้ทีละก้าว เขาถึงกับเป็นคนที่ตัดสินใจว่าใครจะเป็นซูซาคุคนต่อไป เมื่อสะท้อนเรื่องราวทั้งหมดนี้บางครั้งหวังหลินรู้สึกราวกับทั้งหมดเป็นเพียงความฝันตื่นนึง

หกร้อยปีแห่งการฝึกฝนทำให้หวังหลินเห็นเรื่องราวมามากมาย รวมถึงเขาต้องใจแข็งดั่งเหล็กนั่นทำให้เขาโดดเด่นยิ่งขึ้น

“ลี่เอ๋อ เจ้ายังจำครอบครัวเจ้าได้ไหม?” หวังหลินมองโจวลี่

ร่างโจวลี่สั่นเทาขณะเผยแววตาสับสน หลังจากนั้นไม่นานนางก้มศีรษะและเอ่ยขึ้น “มีเพียงความทรงจำคลุมเครือเท่านั้น…”

หวังหลินมองโจวลี่แฝงแววตาเชิงขอโทษ หากไม่เป็นเพราะเขา นางคงอยู่กับครอบครัวและมีช่วงชีวิตวัยเด็กอันอบอุ่น ไม่เหมือนที่ตอนนี้นางมีเพียงเจ้าพยัคฆ์เป็นเพื่อนคนเดียว

“ลี่เอ๋อ ลุงจะพาเจ้ากลับบ้าน…” คำพูดของหวังหลินเบาบาง เพียงโบกแขนเสื้อ ก้อนเมฆหนึ่งปรากฎใต้พวกเขาและลอยออกไปไปพร้อมกับมีโจวลี่ไปด้วย

เจ้าขาวน้อยพลิกตัวขึ้นและไม่อาบแดดอีกแล้ว มันร้องคำรามกระโดดขึ้นบนท้องฟ้าและติดตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว

บนก้อนเมฆ โจวลี่กัดริมฝีปากและเอ่ยถามเบาๆ “ท่านลุง ท่าน…ท่านพบครอบครัวข้าหรือ?”

“ข้าเจอพวกเขาอยู่แล้ว โจวลี่จงจดจำไว้ว่าเมื่อเจ้าเห็นหน้าครอบครัว เจ้าต้องกตัญญูต่อท่าน จำไว้ว่าความรักกตัญญูเป็นความรักแรกที่ผู้คนมี หากเจ้าไม่เป็นคนกตัญญูเมื่อนั้นเจ้าไม่ถือว่าเป็นคน!” คำพูดของหวังหลินราวกับมีร่างครอบครัวของเขาปรากฎด้านหน้าสายตา

โจวลี่พยักหน้าจากนั้นมองหวังหลินด้วยความลังเลเล็กน้อย “ท่านลุง ท่านไม่ได้พูดว่าจะพาข้าไปด้วยตอนที่ท่านออกจากดาวซูซาคุใช่ไหม…”

หวังหลินมองโจวลี่และถอนหายใจ “ลี่เอ๋อ โชคชะตาของเราสิ้นสุดที่นี่…”

“ท่านลุง!!” ร่างโจวลี่เริ่มสั่นเทา ใบหน้าเปลี่ยนแปลง ดวงตาขึ้นสีแดงและหยดน้ำตาเริ่มตื้นขึ้น

“อย่าพูดอะไรอีก!” หวังหลินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพียงหนึ่งจังหวะ ก้อนเมฆใต้พวกเขาก็เหาะเหินเร็วยิ่งขึ้น

เจ้าขาวน้อยคำรามออกมาเบื้องหลังพวกเขาและเหาะเหินอย่างต่อเนื่อง มันลอบคิด ‘แม้ว่าปู่พยัคฆ์ตนนี้ไม่อาจวิ่งได้เร็วเท่าท่าน อย่าฝันว่าท่านจะสลัดข้าได้ง่ายๆ แม้ข้ากระอักโลหิตข้าก็จะยังไล่ตามไปให้ทัน!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version